ใครเคยทำอะไรที่ผิดต่อ พ่อกับแม่ สุดๆ บ้างไหมครับ ที่รู้สึกว่าขอโทษหรือทำยังไงก็ไม่หายรู้สึกผิด

สวัสดีครับ กระทู้นี้ ผมจะขอแชร์ประสบการณ์ที่รู้สึกผิดในอดีต ที่ได้ทำกับพ่อและแม่ ที่จำฝั่งใจไม่เคยลืม และอยากทราบว่าเพื่อนๆ เคยมีเหตุการณ์ฝั่งใจ
ที่เราเคยทำผิดกับพ่อแม่ ทั้งแบบตั้งใจ และแบบไม่ตั้งใจกันบ้างไหมครับ  ยาวหน่อยนะครับ มี 2 ช่วง

เริ่มเลยนะครับ สำหรับความผิดต่อพ่อ  
ครั้งที่ 1  สมัยเรียน ปวช. ที่พัทยาครับ ผมเป็นคนชลบุรี ตอนช่วง ม.ต้นก็เรียน โรงเรียนประจำตำบลแถวบ้านตามประสา นักเรียนปกติ เลิกเรียนพ่อก็มารับ
เช้าแม่ก็ปลุกตื่น พ่อก็ขับรถไปส่ง เป็นอยู่แบบนี้ จะมีบ้างที่เสาร์อาทิตย์ จะได้ขอแม่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวบ้านเพื่อนแถวโรงเรียน ไปหาเล่นน้ำตามบึง เล่นเกมส์ที่ร้าน แล้วก็ปิดท้ายด้วยไปหาทำกับข้าวกินกันบ้านเพื่อน เป็นแบบนี้ไปจนผมเรียน จบ ม.ต้น แล้วไปเรียนต่อที่พัทยา 

ก็นั้นแหละครับ ยอมรับว่าใจแตกและเป็นจุดเปลี่ยนที่สุดในชีวิตเลย ผมกับเพื่อนเช่าห้องอยู่ด้วยกัน 5 คนข้าง วิทยาลัย ชีวิตเด็กวัยรุ่นหลังจากลับตาพ่อกับแม่ อะครับ อยากทำไรก็ทำ อะไรที่พ่อแม่ห้ามไม่ให้ทำก็ทำ อะไรที่เค้าไม่ให้กินก็กิน
แรกๆ ปวช.1 ติดเหล้าครับ กินเหล้ากินเบียร์กันทุกวัน บุหรี่จากไม่เคยก็มาสูบ เพราะตามเพื่อน เล่นเกมส์ในร้านอินเตอร์เน็ตจาก 9 โมงยัน ตี 2-3 ค่อยกลับห้อง เงินแทบไม่มีใช้จ่าย หนักเข้าๆ วิทยาลัยก็ไม่ไปเรียน  
จน ปวช.2 ก็ยิ่งหนักไปใหญ่เลยครับ รู้จักรุ่นพี่ รุ่นพี่พาไปเที่ยวชายหาด พาไปกินเหล้า พาไปเที่ยวผับบาร์ และที่หนักกว่านั้น พาเข้าสู่วงจร ยาเสพติด หนักเลยครับ เพื่อนๆ ในวิทยาลัยก็เริ่มไม่คบ เรียนก็ไม่ไปเรียน ครูก็ตามแล้วตามอีก

ผมขอเงินจากทางบ้านเยอะมากๆ ในแต่ละสัปดาห์ จากปกติ พ่อให้ใช้ สัปดาห์ละ 1000 บาท ก็เปลี่ยนมาเป็น 2000 บาท 3000 บาท จนหนักเข้า ไปถึง 5000 บาท ต่อสัปดาห์ เพราะติดยาครับ ต้องเสพกันทุกวัน เสพไม่พอเลี้ยงเพื่อนอีก เงินไม่พอ ก็ยืมเพื่อน วนเวียนไปอย่างงั้น เพื่อนที่มาด้วยกัน 5 คนก็ถยอยกลับบ้านเพราะทางบ้านส่งเงินให้ ไม่ไหว จนเหลือ 3 คน วงการนี้เข้าง่ายออกยากจริงๆ ครับ มันแย่มากๆ ช่วงนั้น กลางวันนอน กลางคืนตาสว่าง ระบบการทำงานในร่างกายทำงานสับสนไปหมด ตื่นอยู่ก็เหมือนหลับอยู่  หวาดระแวงได้ยินเสียงถุงพลาสติกก็ใจไม่ดีแล้วครับ จนพ่อผมเริ่มไม่ไหวและเริ่มสงสัย เลยเป็นครั้งแรกที่พ่อโทรมาคุยแบบจริงจังกับผม เค้าถามผมว่า " ติดพนันบอลหรือเปล่า มีปัญหาอะไรบอกพ่อได้นะ" ผมก็โวยวายใส่เค้าเลยครับ ว่าติดบ้าติดบออะไร คนมาเรียน ก็ต้องส่งเงินมาซิ ถ้าไม่ส่งเงินมาแล้วจะเอาที่ไหนใช้ พอเค้าไม่ให้ผมก็ดึงดราม่า ถ้าไม่ให้ก็ไม่เป็นไรก็กินมาม่าเอา ขู่เค้าอีกเพื่อจะได้เงิน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วผมเอาเงินไปเสพยาหมด ทำผิดกับพ่ออยู่แบบนี้ จน ใช้เงินต่อสัปดาห์อยู่ที่ 7000 บาท ก็ยังไม่หยุด ในใจคิดอยากเลิกหลายครั้งรู้ว่าสิ่งที่ทำมันไม่ดี แต่พอยาหมดฤทธิ์ ก็ลืมความคิดตัวเองจนหมดสิ้น ก็วนเวียนอยู่ใน วงโคจรเดิม จนมาถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตครับ 

มีอยู่คืนหนึ่ง ผมกับเพื่อนออกไปซื้อยามาเสพ ก็ขับเข้าไปในซอยที่เคยซื้อมาตามปกติ ยาเสพติดตอนนั้นเม็ดละ 250 บาท ซื้อมาทั้งหมด 4 เม็ด ระหว่างขับรถออกมา ผมรู้สึกแปลกๆ แบบบอกไม่ถูก เหมือนจะเกิดเรื่องซึ่งปกติผมจะเอา ยาใส่ในกระเป๋ากางเกงรูดซิป แต่ครั้งนี้ผมกำไว้ในมือ พอเพื่อนขับรถกำลังจะออกจากซอย อยู่ๆ รถตำรวจก็จอดปิดซอยเลยครับ ผมด้วยความตกใจ ก็เลยปล่อยยาทิ้งไปตามถนน ได้ยินเสียงตำรวจพูดว่า ทิ้งแล้วๆ 
ผมเข้าใจเลยคำว่า หน้าพ่อหน้าแม่ลอยเข้ามามันเป็นแบบไหน อยู่ๆ หน้าพ่อหน้าแม่ลอยเข้ามาคิดในใจ จบแล้วอนาคตเรา ติดคุกแน่ๆ ระยะใกล้แค่นั้นยังไงก็ต้องหาเจอ ยาตั้ง 4 เม็ด  ผมเลยภาวนา ขออย่าให้หาเจอ ถ้าผมรอดไปได้ผมจะไม่แตะต้องไอของพวกนี้อีก  ตำรวจค้นตัวผมกับเพื่อนสองคน และจับถ่ายรูปทำประวัติ และถามเข้าไปในซอยนี้ทำไม ไปทำอะไรมา ส่วนตำรวจอีก 3 คนเดินเอาไฟฉายส่องตามถนน หาของ 

ซึ่งปาฏิหาริย์ มีจริงครับ !! 
เค้าหาไม่เจอ ตอนนั้นพอโดนปล่อยตัวผมขับรถกลับห้องกับเพื่อนผมบอกเพื่อนเลยว่าผม จะเลิกและไม่ขอยุ่งเกี่ยวอีก แต่เพื่อนผมพอไปส่งผมที่ห้องมันวนกลับมาหาของ ดันหาเจอและเอากลับไปเสพต่อ ส่วนผม ช็อคและไม่ขอใช้ยาอีกครับ

แต่อย่างว่าครับ เราอยู่ห้อง รวมกับเพื่อน 3 คน เราเลิก 1 คนอีก 2 ยังไม่เลิกมันก็ทำให้เรา อึดอัดและทำใจลำบาก ผมเลยเลือกที่จะกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่บ้าง เพราะไม่ได้กลับไปเป็นปี จนได้รู้ว่า เงินที่ผมใช้ทุกบาททุกสตางค์ ที่เค้าโอนให้ผม เป็นเงินที่มาจาก พ่อผมโดนรถโฟล์คลิฟท์ ชนขาหัก เป็นเงินค่าเสียหายที่ทางคู่กรณีจ่ายให้ ซึ่งผมไม่รู้อะไรเลย วันที่พ่อผมเค้าเจ็บนอนอยู่โรงพยาบาลก็คือวันที่เค้าโทรมาถามผมเรื่องการใช้เงินนั้นแหละครับ เค้าจะบอกให้ผมมาเยี่ยมแต่ผมดันไป ใส่อารมณ์และตัดสายเค้าทิ้งก่อน หลังจากนั้นพ่อแม่และ พี่สาวไม่มีใครบอกผมสักคนปิดเงียบหมด ผมเสียใจมาก พ่อบอกแม่กับพี่สาวผมว่า ผมเรียนหนักมาก ไม่อยากให้ผมเครียด ไม่อยากให้ผมคิดมาก และไม่อยากให้ผมเดินทางกลับบ้าน มาหาเค้าเพราะเป็นห่วงกลัวผมยืนรอรถนาน กลัวผมข้ามถนนแล้วโดนรถชน ซึ่งผมพอมารู้ตอนหลังผมร้องไห้ไม่หยุดเลยครับ เสียใจมากที่ เราไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่เค้าคิด เราใช้เงินเป็นกระดาษ ส่วนพ่อกับแม่ลำบากอดมื้อกินมื้อ สมัยนั้น จะโอนเงินแต่ละที พ่อต้องขับรถไป จ้างคนให้โอนให้ แล้วจ่ายเงินสดแทน เพราะไม่มีตู้โอน และไม่มี โมบายแบงค์กิ้งเหมือนสมัย นี้ พอตอนหลังพ่อขาเจ็บก็ใช้แม่ไปโอนแทน  

หลังจากที่ผมรู้แบบนี้ผมเลยตัดสินใจขอยืมเงินพี่สาว 5,000 บาท ผมกลับไปพัทยา แล้วย้ายหอไปอยู่คนเดียวครับ เป็นหอพักถูกๆ ห้องเล็กมากเหมือนห้องเก็บของ ทิ้งเพื่อน อีก 2 คนมาแบบไม่คิดอะไรเลย ผมตัดสินใจ ตั้งหน้าตั้งตาแก้ไขข้อผิดพลาดที่ได้ทำลงไป ปวช.ปี 2เทอม2 ผมลงเรียนซ่อมวิชาต่างๆ ที่ผมตก กิจกรรมเข้าแถวตอนเช้าที่ผมไม่เคยเข้าเลย ตั้งแต่ปี 1 ผมลงแก้จนเต็มหน่วยกิต  จนถึง ปวช.3 ก็ยังแก้ไม่หมดเพราะเยอะมากๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตาเอาให้จบพร้อมเพื่อน 
เงิน 5,000 ที่ผมยืมจากพี่สาวมา ส่วนหนึ่งเป็นค่ามัดจำห้อง และที่เหลือผมเก็บไว้ใช้ ไปรับจ็อป ทำงานพาสไทม์ ที่โรงแรม กับเพื่อนๆ ใน วิทยาลัยอีกกลุ่ม หาเลี้ยงตัวเอง จนเรียนจบ และก็ใช้หนี้จากเพื่อน 1 ใน 2 ที่เคยอยู่หอด้วยกัน ที่ผมติดค้างมันอยู่ 5000 กว่าบาทผมก็ใช้พวกมันจนหมดและตัดสินใจเลิกคบหาทันที 
เรียกได้ว่า งานโรงแรมแถวนั้นผม กับเพื่อนสนิท ทำกันมาเกือบจะทุกโรงแรมแล้วก็ว่าได้ครับ ตั้งแต่โรงแรม 3 ดาว ยัน 5 ดาว ทำตั้งแต่ คนล้างจาน คนซักผ้า คนเก็บห้อง เด็กเสริพ ผู้ช่วยกุ๊ก กรรมกรแบกหาม จัดสถานที่ ทำมาหมดแล้วครับ และอยากขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยหางานให้ทำ ช่วยติวช่วยเรื่องเรียนจนผมแก้ 0 แก้ ร. จนหมด และจบพร้อมกับพวกมัน  
การคบเพื่อนมีสำคัญมากจริงๆ ครับดั่งที่โบราณเค้าว่าไว้ว่า "คบคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตพาไปหาผล" จริงๆ ครับ

ครั้งที่2  
เรื่องนี้ผ่านมานานมากๆ แล้วครับแต่ผมเพิ่งทราบเมื่อ ช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมาไม่นานนี้เอง ผมกับครอบครัวมีโอกาส ได้กลับไปบ้านแม่ที่ เชียงรายที่ไม่ได้กลับไปนานมากๆ เป็น 10 ปี
ซึ่งมันไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องให้กลับไปแล้วครับ คนเฒ่าคนแก่ ก็เสียหมดแล้ว แต่แม่แกคิดถึงบ้านเก่าแก แกอยากกลับไปหาญาติ พี่น้อง ซึ่งผมกับพ่อและพี่สาวก็ไม่ค่อยอยากกลับไปเท่าไร เพราะ ไหนจะเรื่อง "โควิด" และการเดินทางไกลๆ ช่วงนี้ และไหนจะการล็อคดาวน์ที่อาจจะเกิดขึ้นอีก แต่ก็นั้นแหละครับ ก็ต้องยอมแม่ สุดท้ายก็ต้องไป 
พอไปถึง ก็เจอญาติพี่น้องตามปกติ ซึ่งผมมีญาติผู้พี่ ที่อายุมากว่าผมเป็น สิบปีอยู่ซึ่งเค้าเป็นอาจารย์สอนหนังสือ เราเจอกันครั้งสุดท้ายตอนผมอายุ  15 จนตอนนี้ ผม 27 แล้ว ก็เลยนั่งคุยกันตามประสาญาติ ก็มีดื่มกันนิดหน่อย พอเริ่มได้ที่ พี่เค้าก็เล่าว่า ถ้าเค้าจะเอาใครเป็นแบบอย่างในชีวิตสักคน เค้าจะเอาพ่อผมเป็นแบบอย่าง เค้าบอกว่า ถ้านับเอาความลำบากความอดทนของพ่อผม ตีเป็นปริมาณน้ำตา ร้องไห้ 3 วันก็ไม่หาย (อันนี้อาจจะงง หน่อยนะครับเพราะพี่เค้าพูดเป็น ภาษาเหนือ ) 
ผมก็เลยถามว่าทำไมเพราะอะไร  เค้าเลยเล่าว่า สมัยก่อนพ่อผมเรียน ม.3 ไม่จบ หนีตามแม่ไปอยู่เชียงราย เด็กวัยรุ่นกรุงเทพ ที่ไม่รู้ประสีประสา อะไร เค้าหาเลี้ยงครอบครัวของเค้ายังไง พี่เค้าถามผมว่าถ้าเป็นผมผมจะทำยังไง ผมก็ตอบไม่ได้ 
เค้าเล่าว่า พ่อผม เดินขึ้นดอย ไปหาฟันไม้ไผ่ แบกลงดอยมาขาย บางวันก็ขึ้นดอยไปหาหน่อไม้ บางทีก็หลงกลับบ้านไม่ได้ จนแม่ต้องพาคุณตาผม ออกเดินตามหาพ่อกัน เพราะพอพ่อขึ้นดอยไปไกลมากๆ เข้าพระอาทิตย์เริ่มตกดิน ไฟฉายก็ไม่มี ก็หาทางกลับไม่ได้ เค้าบอกว่าถ้าเป็นเค้าคงเป็นบ้าไปแล้ว 
แต่เชื่อไหมครับ พ่อผมหาหน่อไม้ขาย จนมีพี่สาวผม และมีผม ตามมา พ่อกับแม่ผมลำบากมาก จนน่าจะที่สุดในหมู่บ้านแล้วมั้ง คนในพื้นที่เค้าจะรู้ว่าต้องหาหน่อไม้ตรงไหน ที่มันจะขึ้นดีที่มันจะเยอะเค้าก็ จะไม่บอกกัน เพราะกลัวจะโดนไปแย่งเอา แต่มีดอยอยู่ลูกหนึ่ง ที่ชาวบ้านบางคนที่ผิดหวังในเรื่องไหน หรือว่าติดโรคร้ายที่สมัยนั้นยารักษาไม่ได้ ก็จะชอบไปผูกคอตายกัน ทำให้ดอยลูกนั้นไม่มีคนกล้าแม้แต่จะผ่าน และเวลาที่คนดอยเสียชีวิต เค้าก็จะเอาศพไปฝั่งที่ดอยนั้น  คนเหนือก็แปลกนะครับ ไปทำไร่ ทำนา เดินผ่านจุดที่มีคนตาย พอกลับบ้านแล้วป่วยไม่สบาย ก็ชอบคิดกันไปเอง ว่าผีเป็นคนทำ ผีเป็นคนแกล้ง 

มันเลยทำให้ไม่มีใครกล้าไปเฉียดแถวนั้นเลย แต่นั้นแหละครับ พ่อผมดันกล้าไปผมไม่รู้ว่าเพราะความจนที่ต้องหาเลี้ยง ผม เลี้ยงพี่สาว เลี้ยงแม่ เลี้ยงคุณตา หรือว่าแกไม่รู้ก็ไม่ทราบ แกขึ้นไปหา หน่อ ในดอยนั้นอยู่ทุกวัน จนมาตอนหลังชาวบ้านเค้าก็บอกว่า อย่าไปมันเฮี้ยนแกก็ ยังไปเหมือนเก่า สมัยนั้นผม เรียนอยู่ ป.3 ยังเด็กอยู่ ตอนเช้าๆ ที่รอรถรับส่งไปโรงเรียน เด็กคนอื่นในหมู่บ้านที่บ้านพอมีเงินแม่ก็จะซื้อพวกขนม ซื้อข้าวเช้าให้กินระหว่างนั่งรอรถส่วนของผม แม่ทำข้าวปั้นที่ข้างในเป็นไส้ปลาทูให้ แต่ผมไม่ชอบ ผมอยากกินข้าวมันไก่ 15 บาท ผมก็ร้องจะกิน ให้ได้ พ่อก็ต้องซื้อให้กินเกือบทุกเช้า 

จนผมมารู้เรื่องเอาตอนโต ผมเลยถามพ่อระหว่างที่ขับรถกำลังจะไปเที่ยวต่างอำเภอ ว่าสมัยนั้นพ่อขายหน่อไม้ ได้เงินวันละกี่บาท พ่อบอกว่า พ่อไปหาหน่อไม้ ตั้งแต่ เช้า กลับเย็น พอได้มา แม่ก็ต้องเอาไปต้ม เอาไปดองไว้ สะสมเอาไว้เรื่อยๆ  3 วัน ถึงจะพอขาย  ก็จะได้แค่ 100-150 บาท ต่อ3 วัน ก็ตกวันละ 50 บาท ส่วนผมก็กินข้าวมันไก่ทุกเช้า วันละ 15 บาท แถมตอนเย็นก็ ขอเงินซื้อขนมอีก 10 บาท ทุกวัน ถ้าไม่ได้ก็ร้องไห้ ไม่ยอมเอาแต่ใจ เค้าก็จะเหลือแค่ วันละ 25 บาท ทั้งครอบครัว ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้หรอกครับว่าเราจนขนาดนี้ รู้แค่ว่า ถ้าไม่ได้กินคือไม่ยอม ถ้าไม่ได้คือต้องร้องโวยวาย เอาแต่ใจ 
แล้วผมเป็นคนกินยากมาก อันนั้นก็ไม่กิน อันนี้ก็ไม่กิน มานึกเอาตอนนี้แล้วเกลียดตัวเองมาก 

เราลำบากจนถึงขั้นที่ต้องขโมยข้าวคนอื่นกินก็มี ตอนที่พ่อกับแม่ ไปขโมยปีนยุ้ง ที่เค้าใช้เก็บข้าวสาร ของคุณตาญาติห่างๆ กันที่บ้านอยู่ใกล้กัน เพื่อขโมยข้าวมานึ่งกินกัน แม่ผมนั่งร้องไห้อยู่ล่างยุ้งข้าวพ่อผมก็ปีนขึ้นไปตักลงมา จำได้ว่า 3 ขันอาบน้ำ แล้วเค้าก็ยกมือไหว้หันหน้าไปที่ บ้านคุณตาคนนั้น เป็นภาพที่ผมจำได้ติดตาจริงๆ คนเราถ้าไม่ถึงทางตันคงไม่ขโมยแบบนี้

นี้เลยเป็นเหตุผลว่า ทำไมผมถึงรักพ่อกับแม่ผมมากขนาดนี้ ผมรักพวกเค้ามากผมใจหายกับสิ่งที่ในชีวิต พ่อเค้าทำเพื่อผม เพื่อครอบครัว ผมจิตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าผมเป็นเค้า ผมจะทำได้ดีเหมือนที่เค้าทำไหม เมื่อก่อนรู้สึกรำคาณทุกครั้งที่เค้าพูดอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ แต่ตอนนี้ไม่แล้วครับ ที่เค้าพูดเดิมๆ ซ้ำๆ ก็เพราะเค้าลืม ผมนึกภาพไม่ออกจริงๆ ถ้าไม่มีพวกเค้าอยู่ชีวิตผมจะเป็นยังไง
ปล.พ่อผมเป็นคนพูดน้อยมาก ส่วนแม่ขี้บ่น แต่ปัจจุบัน สลับกันแล้วครับ พ่อพูดเยอะขึ้น ส่วนแม่พูดน้อยลง แปลกดีเหมือนกัน ^^


เรียงจากซ้ายไปขวา : พ่อผม , พี่สาว , ผม , แม่  
แล้วเพื่อนๆ ละครับ มีเรื่องอะไรที่รู้สึกทำผิดกับ พ่อแม่ ที่เราคิดว่าขอโทษท่านยังไงก็ไม่สามารถลบล้างได้ไหม?
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่