ครั้งเมื่อผมบวช ลาสิกขา

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้วสำหรับเรื่องสั้นจากประสบการณ์จริงเพียงน้อยนิดที่ถูกแต่งเติมสีสัน เรื่อง ครั้งเมื่อผมบวช
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะค่อนข้างเบาสบายไม่มีหวือหวา ก็เหมือนทุกตอนที่ผ่านตาท่านนั่นแหละครับ ไม่มีหวือหวาเลยซักกะตอนเดียว

        เอาล่ะครับอย่าเสียเวลามาพบกับพวกผมและชาวคณะกับท้องเรื่อง ครั้งเมื่อผมบวชปัจฉิมบท ลาสิกขา ขา ขา





       และแล้ววันเวลาก็ผ่านพ้นไป ในช่วงนี้เป็นช่วงอาทิตย์สุดท้ายแล้วหากจะยึดเอาตามกำหนดการวันฤกษ์งามยามดีที่ผมจะต้องลาสิกขาบอกลาผ้าเหลือง
        
       จากที่ผมคิดว่ามันจะต้องเต็มไปด้วยความหม่นหมองเศร้าใจแต่เปล่าเลยครับ มันยุ่งจนหัวหมุน เพราะภายในวัดมีพิธีกรรมต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทั้งงานวันสารท  ต่อมาก็ออกพรรษา มันวุ่นวายชนิดไม่มีเวลาให้ทำตัวซึมเศร้าเป็นพระเอกเอ็มวีกันเลยทีเดียว
       
       วันสารท เป็นการทำบุญใหญ่ให้กับญาติโกโหติกาผู้ล่วงลับ จะจัดขึ้นในเดือนสิบตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งในวันนี้ชาวบ้านญาติโยมที่มีจิตศรัทธาจะนำข้าวปลาอาหารหวานคาวมาร่วมตักบาตรทำบุญอุทิศกุศลให้กับผู้ล่วงลับ

       โดยกล่าวกันว่าวันนี้ประตูนรกจะเปิด ปลดปล่อยให้เหล่าดวงวิญญาณที่ได้รับทุกขเวทนาจากกรรมที่ตนก่อ ได้ออกมายังภพภูมิของมนุษย์เพื่อรับเอากุศลผลบุญที่ลูกหลานอุทิศให้
       
       หากวิญญาณดวงใดลูกหลานมีใจใฝ่ทางธรรมอยู่บ้าง กรวดน้ำตักบาตรมิเคยขาดว่างเว้น ผลบุญก็จะส่งให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นหลุดพ้นจากความหิวโหยทรมาน
       
       แต่หากลูกหลานบ้านใดไม่เคยคิดจะสละเวลาเพื่อสร้างกุศล เจียดข้าวปลาอาหารใส่บาตรให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ดวงวิญญาณนั้นก็ได้แต่นั่งเฝ้ารอตั้งคอชะเง้อแลหาลูกหลานอยู่ข้างวัด คอยว่าเมื่อใดกันหนอลูกหลานของกูจะทำบุญให้
        
       ได้แต่นั่งมองผีตนอื่นกินข้าวกินปลากันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนตัวเองนั่งท้องร้องอย่างอเนจอนาถเพราะลูกหลานมิใส่ใจ สุดท้ายก็ต้องกลับสู่ห้วงอเวจีด้วยใจที่ห่อเหี่ยว ก้มหน้ารับกรรมต่อไป
       
       ผมว่าเรื่องนี้เป็นกุศโลบายที่ดีนะครับ เพราะการที่ลูกหลานไม่ลืมพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดที่จากไป ยังคอยทำบุญให้ มันเหมือนกับเป็นการบอกแก่ตนเองว่า ฉันไม่ใช่คนเนรคุณ ฉันไม่เคยลืมบุญพ่อแม่ ถือเป็นกุศโลบายชั้นยอดที่เหล่าคนรุ่นก่อนคิดค้นได้อย่างยอดเยี่ยมและใช้ได้ผลอย่างเยี่ยมยอด
       
       เพราะในวันนี้ลูกหลานที่พลัดพลากจากถิ่นเกิดไปทำงานต่างด้าวต่างแดน จะได้มีโอกาศกลับบ้านเพื่อทำบุญและยังได้พบเจอพี่น้องที่ต่างจากกันไปนานเพราะหน้าที่ความรับผิดชอบ ได้กินข้าวร่วมวงกันอย่างพร้อมหน้า ถือเป็นการเติมกำลังใจให้มีแรงขับเคลื่อนกลับไปสู้งานต่อได้อีก
       
       นอกจากบรรยากาศที่แสนครึกครื้นของเหล่าผู้คนที่มีจิตศรัทธา อาหารมากมายที่พวกเขาเหล่านั้นนำมาถวายด้วยจำนวนที่เยอะจนขนาดตักแค่จานละคำยังทำให้อิ่มจนอืด แต่สิ่งที่จัดว่าเป็นเมนูเด็ดสำหรับผมต้องยกให้ขนมกระยาสารท ขนมโบราณที่มีส่วนผสมของข้าวตอก ข้าวเม่า ถั่วลิสง และน้ำตาลเป็นสารตั้งต้น
       
       ความพิเศษของขนมชนิดนี้นอกจากจุดเด่นคือความหอมหวานมันอร่อยแล้ว มันยังมีความเหนียวและความแข็งเป็นจุดนำ
       
       ซึ่งไอ้จุดนำที่ว่านี่ล่ะครับ ที่สร้างความลำบากยากเข็ญให้แก่พระผู้ใหญ่หลายๆท่าน
       
       ด้วยว่าอายุอานามที่แท้จริงไม่เกี่ยวกับพรรษา ฟันฟางที่เคยแข็งแรงก็เริ่มอ่อนล้าตามสังขารที่โรยรา ฉะนั้นแม้กระยาสารทจะมีความอร่อยเพียงใด แต่เหล่าหลวงพ่อหลวงตาทั้งหลายก็ต้องยอมตัดใจมองผ่านด้วยสายตาละห้อย ขนาดหลวงพ่อชอุ่มที่เคี้ยวหมากเป็นประจำยังยอมยกธงขาวสิโรราบ กราบกรานยกกระยาสารทที่รับประเคนมาให้ผมทั้งหมด
       
       "ไม่ไหวท่านนิ่มเอ้ย ฟันขบไม่ขาดยังพอทน อุตส่าห์ค่อยๆเคี้ยวแล้วยังมิวายแว้งมาแทงเหงือกกันได้ ท่านเอาไปเถอะพระหนุ่มเนื้อแน่นฟันยังแข็งแรง เชิญอร่อยให้เต็มที่" ท่านบอกพลางส่ายหัวเอามือลูบแก้ม
       
       "แล้วไหงมันเยอะแบบนี้ล่ะครับ" ผมถามกลับเพราะกระยาสารทที่ท่านมอบให้ด้วยใจอันบอบช้ำ มันมีจำนวนเกือบยี่สิบแผ่น
       
       "ของเจ้าอาวาสด้วย รายนั้นไม่เคี้ยวอมไว้ในปากอย่างเดียว ท่านเก็บไว้แผ่นนึงเห็นบอกว่าคงเกือบเดือนโน่นแหละกว่าจะฉันหมด" ท่านบอกพร้อมหัวเราะออกมา
        
       ระหว่างที่ผมกับหลวงพ่อชอุ่มพากันนั่งดูดกระยาสารทตามวิธีฉันสุดเอ็กซ์คลูซีฟของท่านเจ้าอาวาส ไอ้เต้ก็ถือกระดาษร้อยปอนด์ม้วนหนึ่งเดินยิ้มร่ามาหาผม คราวนี้มันเดินอย่างระมัดระวังเต็มที่เพราะแผลเก่ายังไม่หายดี
       
       "อะไรวะเต้กระดานผีถ้วยแก้วงะ" ผมถามขึ้นพลางชี้มือไปที่สิ่งของน่าสงสัย
       
       "รูปวาดสิหลวงพี่ ผีถ้วยกงถ้วยแก้วไรล่ะ เพ้อเจ้อ" นั่นแค่หยอกนิดหน่อยโดนซะหนึ่งดอก หมดละครับความเคารพศรัทธาที่มีให้กัน
       
       "รูปไรไหนเอามาดูดิ๊" ผมเอ่ยพลางคว้าเอากระดาษมาจากมือมัน พอเปิดออกดูทั้งผมกับหลวงพ่อชอุ่มก็ต้องตกตะลึงครับ ภาพนั้นคือภาพพญานาคที่สวยงามจริงๆ เป็นพญานาคแท้ๆไม่ใช่ไส้เดือนหรืองูเขียว
       
       "โห้ววว สวยว่ะใครวาดนิ" ผมถาม
       
       ไอ้เต้ยิ้มพลางชี้ให้ดูตรงมุมกระดาษด้านล่าง มันลงชื่อพร้อมวันที่ไว้ ชื่อคนวาดคือไอ้เต้ครับ แค่นั้นผมก็อึ้งสุดๆแล้ว แต่ชื่อภาพนี่สิต้องทำให้อึ้งคูณแปดเข้าไปอีก
       
       "พญาอนันตนาคราช จอห์นปอลที่สอง ไอ้เต้! มันไม่มี๊!!" ผมหันไปหามันกล่าวเสียงดัง พอได้ยินชื่อหลวงพ่อชอุ่มถึงกับพ่นกระยาสารทออกจมูกเลยทีเดียว

เราทั้งสามหัวเราะร่วน กับผลงานชิ้นโบว์แดงที่มีชื่อแสลงหูของไอ้เต้
       
       "ผมให้หลวงพี่เก็บไว้ เป็นที่ระทึก" ไอ้เต้กล่าว

       "ระลึกโว้ย!! ไอ้นี่" ผมเอ่ยแก้ เขกหัวมันเบาๆด้วยความเอ็นดู
       
       วันก่อนตอนที่ไอ้เต้มันรู้ว่าอีกไม่กี่วันผมจะต้องสึก มันร้องไห้วิ่งไปฟ้องหลวงพ่อชอุ่มว่าผมจะหนีวัด ให้เรียกตำรวจมาจับเลยห้ามให้สึกนะ
       
        ผมที่เดินตามไปได้ยินดังนั้นก็ถึงกับน้ำตาตกใน เอ็นดูในความไร้เดียงสาของไอ้เด็กคนนี้ หลวงพ่อชอุ่มต้องอธิบายกึ่งปลอบโยนกันอยู่นานกว่ามันจะยอมเข้าใจ แต่ก็ยังมีอาการเซื่องซึมอยู่บ้าง พอพ้นวันมันก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม ผมล่ะอิจฉาในความลืมง่ายของเด็กจริงๆ
        
        ผมวานให้ลุงภาไปหาซื้อกรอบรูปให้ เพราะแกจะเข้าเมืองไปซื้อสมุนไพรพอดี และก็ไม่ลืมกำชับแกว่าขอกรอบที่ขอบเล็กๆนะ เดี๋ยวจะบังชื่อภาพ
        
        สามสหายธรรมบันดาลหลังจากผลัดเปลี่ยนผ้าผ่อนเรียบร้อยก็เดินมานั่งลงที่โต๊ะหินกับพวกผม พวกเราคุยกันสนุกสนานเฮฮา จู่ๆรถยนต์คันหนึ่งก็แล่นเข้ามาอย่างรีบร้อน
        
        พอรถจอดก็มีชายหญิงเดินลงมาจากรถประมาณ 5 6 คน ผมจำเขาเหล่านั้นได้ พวกนั้นคือญาติของไอ้ต้อมหนุ่มหน้าหล่อที่ฟันศอกเข้าหน้าผมคนนั้น
        
        พวกเขาเดินมาทางผมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย พอมาถึงก็พากันคุกเข่ากราบทำความเคารพพวกเรา ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะเอ่ยขึ้น
        
        "หลวงพ่อ หลวงน้าเจ้าคะ ต้อมเสียแล้วเจ้าค่ะ" เธอกล่าวเสียงเคลือ สะอื้นอย่างหนักแถมยังทำท่าจะเป็นลม
        
        ผมแม้จะมีความเกลียดคนครอบครัวนี้อยู่บ้าง แต่ก็ต้องใจหายกับข่าวร้ายนั้น แถมสีหน้าของคนเป็นแม่ยังดูน่าเวทนา เขาคงรับกรรมที่ตนก่อไว้แล้ว
        
        "เอ่อ..ลุกขึ้นก่อนนะโยมแม่ ค่อยๆคุยกัน ไอ้เต้ไปเอาเก้าอี้มาให้เขานั่งที" ผมเอ่ยขึ้นแล้วร้องบอกไอ้เต้เสียงดัง มันรับคำแล้ววิ่งหายไปทางวิหาร


(มีต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่