สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้วสำหรับเรื่องสั้นจากประสบการณ์จริงเพียงน้อยนิดที่ถูกแต่งเติมสีสัน เรื่อง ครั้งเมื่อผมบวช
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะค่อนข้างเบาสบายไม่มีหวือหวา ก็เหมือนทุกตอนที่ผ่านตาท่านนั่นแหละครับ ไม่มีหวือหวาเลยซักกะตอนเดียว
เอาล่ะครับอย่าเสียเวลามาพบกับพวกผมและชาวคณะกับท้องเรื่อง ครั้งเมื่อผมบวชปัจฉิมบท ลาสิกขา ขา ขา
และแล้ววันเวลาก็ผ่านพ้นไป ในช่วงนี้เป็นช่วงอาทิตย์สุดท้ายแล้วหากจะยึดเอาตามกำหนดการวันฤกษ์งามยามดีที่ผมจะต้องลาสิกขาบอกลาผ้าเหลือง
จากที่ผมคิดว่ามันจะต้องเต็มไปด้วยความหม่นหมองเศร้าใจแต่เปล่าเลยครับ มันยุ่งจนหัวหมุน เพราะภายในวัดมีพิธีกรรมต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทั้งงานวันสารท ต่อมาก็ออกพรรษา มันวุ่นวายชนิดไม่มีเวลาให้ทำตัวซึมเศร้าเป็นพระเอกเอ็มวีกันเลยทีเดียว
วันสารท เป็นการทำบุญใหญ่ให้กับญาติโกโหติกาผู้ล่วงลับ จะจัดขึ้นในเดือนสิบตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งในวันนี้ชาวบ้านญาติโยมที่มีจิตศรัทธาจะนำข้าวปลาอาหารหวานคาวมาร่วมตักบาตรทำบุญอุทิศกุศลให้กับผู้ล่วงลับ
โดยกล่าวกันว่าวันนี้ประตูนรกจะเปิด ปลดปล่อยให้เหล่าดวงวิญญาณที่ได้รับทุกขเวทนาจากกรรมที่ตนก่อ ได้ออกมายังภพภูมิของมนุษย์เพื่อรับเอากุศลผลบุญที่ลูกหลานอุทิศให้
หากวิญญาณดวงใดลูกหลานมีใจใฝ่ทางธรรมอยู่บ้าง กรวดน้ำตักบาตรมิเคยขาดว่างเว้น ผลบุญก็จะส่งให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นหลุดพ้นจากความหิวโหยทรมาน
แต่หากลูกหลานบ้านใดไม่เคยคิดจะสละเวลาเพื่อสร้างกุศล เจียดข้าวปลาอาหารใส่บาตรให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ดวงวิญญาณนั้นก็ได้แต่นั่งเฝ้ารอตั้งคอชะเง้อแลหาลูกหลานอยู่ข้างวัด คอยว่าเมื่อใดกันหนอลูกหลานของกูจะทำบุญให้
ได้แต่นั่งมองผีตนอื่นกินข้าวกินปลากันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนตัวเองนั่งท้องร้องอย่างอเนจอนาถเพราะลูกหลานมิใส่ใจ สุดท้ายก็ต้องกลับสู่ห้วงอเวจีด้วยใจที่ห่อเหี่ยว ก้มหน้ารับกรรมต่อไป
ผมว่าเรื่องนี้เป็นกุศโลบายที่ดีนะครับ เพราะการที่ลูกหลานไม่ลืมพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดที่จากไป ยังคอยทำบุญให้ มันเหมือนกับเป็นการบอกแก่ตนเองว่า ฉันไม่ใช่คนเนรคุณ ฉันไม่เคยลืมบุญพ่อแม่ ถือเป็นกุศโลบายชั้นยอดที่เหล่าคนรุ่นก่อนคิดค้นได้อย่างยอดเยี่ยมและใช้ได้ผลอย่างเยี่ยมยอด
เพราะในวันนี้ลูกหลานที่พลัดพลากจากถิ่นเกิดไปทำงานต่างด้าวต่างแดน จะได้มีโอกาศกลับบ้านเพื่อทำบุญและยังได้พบเจอพี่น้องที่ต่างจากกันไปนานเพราะหน้าที่ความรับผิดชอบ ได้กินข้าวร่วมวงกันอย่างพร้อมหน้า ถือเป็นการเติมกำลังใจให้มีแรงขับเคลื่อนกลับไปสู้งานต่อได้อีก
นอกจากบรรยากาศที่แสนครึกครื้นของเหล่าผู้คนที่มีจิตศรัทธา อาหารมากมายที่พวกเขาเหล่านั้นนำมาถวายด้วยจำนวนที่เยอะจนขนาดตักแค่จานละคำยังทำให้อิ่มจนอืด แต่สิ่งที่จัดว่าเป็นเมนูเด็ดสำหรับผมต้องยกให้ขนมกระยาสารท ขนมโบราณที่มีส่วนผสมของข้าวตอก ข้าวเม่า ถั่วลิสง และน้ำตาลเป็นสารตั้งต้น
ความพิเศษของขนมชนิดนี้นอกจากจุดเด่นคือความหอมหวานมันอร่อยแล้ว มันยังมีความเหนียวและความแข็งเป็นจุดนำ
ซึ่งไอ้จุดนำที่ว่านี่ล่ะครับ ที่สร้างความลำบากยากเข็ญให้แก่พระผู้ใหญ่หลายๆท่าน
ด้วยว่าอายุอานามที่แท้จริงไม่เกี่ยวกับพรรษา ฟันฟางที่เคยแข็งแรงก็เริ่มอ่อนล้าตามสังขารที่โรยรา ฉะนั้นแม้กระยาสารทจะมีความอร่อยเพียงใด แต่เหล่าหลวงพ่อหลวงตาทั้งหลายก็ต้องยอมตัดใจมองผ่านด้วยสายตาละห้อย ขนาดหลวงพ่อชอุ่มที่เคี้ยวหมากเป็นประจำยังยอมยกธงขาวสิโรราบ กราบกรานยกกระยาสารทที่รับประเคนมาให้ผมทั้งหมด
"ไม่ไหวท่านนิ่มเอ้ย ฟันขบไม่ขาดยังพอทน อุตส่าห์ค่อยๆเคี้ยวแล้วยังมิวายแว้งมาแทงเหงือกกันได้ ท่านเอาไปเถอะพระหนุ่มเนื้อแน่นฟันยังแข็งแรง เชิญอร่อยให้เต็มที่" ท่านบอกพลางส่ายหัวเอามือลูบแก้ม
"แล้วไหงมันเยอะแบบนี้ล่ะครับ" ผมถามกลับเพราะกระยาสารทที่ท่านมอบให้ด้วยใจอันบอบช้ำ มันมีจำนวนเกือบยี่สิบแผ่น
"ของเจ้าอาวาสด้วย รายนั้นไม่เคี้ยวอมไว้ในปากอย่างเดียว ท่านเก็บไว้แผ่นนึงเห็นบอกว่าคงเกือบเดือนโน่นแหละกว่าจะฉันหมด" ท่านบอกพร้อมหัวเราะออกมา
ระหว่างที่ผมกับหลวงพ่อชอุ่มพากันนั่งดูดกระยาสารทตามวิธีฉันสุดเอ็กซ์คลูซีฟของท่านเจ้าอาวาส ไอ้เต้ก็ถือกระดาษร้อยปอนด์ม้วนหนึ่งเดินยิ้มร่ามาหาผม คราวนี้มันเดินอย่างระมัดระวังเต็มที่เพราะแผลเก่ายังไม่หายดี
"อะไรวะเต้กระดานผีถ้วยแก้วงะ" ผมถามขึ้นพลางชี้มือไปที่สิ่งของน่าสงสัย
"รูปวาดสิหลวงพี่ ผีถ้วยกงถ้วยแก้วไรล่ะ เพ้อเจ้อ" นั่นแค่หยอกนิดหน่อยโดนซะหนึ่งดอก หมดละครับความเคารพศรัทธาที่มีให้กัน
"รูปไรไหนเอามาดูดิ๊" ผมเอ่ยพลางคว้าเอากระดาษมาจากมือมัน พอเปิดออกดูทั้งผมกับหลวงพ่อชอุ่มก็ต้องตกตะลึงครับ ภาพนั้นคือภาพพญานาคที่สวยงามจริงๆ เป็นพญานาคแท้ๆไม่ใช่ไส้เดือนหรืองูเขียว
"โห้ววว สวยว่ะใครวาดนิ" ผมถาม
ไอ้เต้ยิ้มพลางชี้ให้ดูตรงมุมกระดาษด้านล่าง มันลงชื่อพร้อมวันที่ไว้ ชื่อคนวาดคือไอ้เต้ครับ แค่นั้นผมก็อึ้งสุดๆแล้ว แต่ชื่อภาพนี่สิต้องทำให้อึ้งคูณแปดเข้าไปอีก
"พญาอนันตนาคราช จอห์นปอลที่สอง ไอ้เต้! มันไม่มี๊!!" ผมหันไปหามันกล่าวเสียงดัง พอได้ยินชื่อหลวงพ่อชอุ่มถึงกับพ่นกระยาสารทออกจมูกเลยทีเดียว
เราทั้งสามหัวเราะร่วน กับผลงานชิ้นโบว์แดงที่มีชื่อแสลงหูของไอ้เต้
"ผมให้หลวงพี่เก็บไว้ เป็นที่ระทึก" ไอ้เต้กล่าว
"ระลึกโว้ย!! ไอ้นี่" ผมเอ่ยแก้ เขกหัวมันเบาๆด้วยความเอ็นดู
วันก่อนตอนที่ไอ้เต้มันรู้ว่าอีกไม่กี่วันผมจะต้องสึก มันร้องไห้วิ่งไปฟ้องหลวงพ่อชอุ่มว่าผมจะหนีวัด ให้เรียกตำรวจมาจับเลยห้ามให้สึกนะ
ผมที่เดินตามไปได้ยินดังนั้นก็ถึงกับน้ำตาตกใน เอ็นดูในความไร้เดียงสาของไอ้เด็กคนนี้ หลวงพ่อชอุ่มต้องอธิบายกึ่งปลอบโยนกันอยู่นานกว่ามันจะยอมเข้าใจ แต่ก็ยังมีอาการเซื่องซึมอยู่บ้าง พอพ้นวันมันก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม ผมล่ะอิจฉาในความลืมง่ายของเด็กจริงๆ
ผมวานให้ลุงภาไปหาซื้อกรอบรูปให้ เพราะแกจะเข้าเมืองไปซื้อสมุนไพรพอดี และก็ไม่ลืมกำชับแกว่าขอกรอบที่ขอบเล็กๆนะ เดี๋ยวจะบังชื่อภาพ
สามสหายธรรมบันดาลหลังจากผลัดเปลี่ยนผ้าผ่อนเรียบร้อยก็เดินมานั่งลงที่โต๊ะหินกับพวกผม พวกเราคุยกันสนุกสนานเฮฮา จู่ๆรถยนต์คันหนึ่งก็แล่นเข้ามาอย่างรีบร้อน
พอรถจอดก็มีชายหญิงเดินลงมาจากรถประมาณ 5 6 คน ผมจำเขาเหล่านั้นได้ พวกนั้นคือญาติของไอ้ต้อมหนุ่มหน้าหล่อที่ฟันศอกเข้าหน้าผมคนนั้น
พวกเขาเดินมาทางผมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย พอมาถึงก็พากันคุกเข่ากราบทำความเคารพพวกเรา ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะเอ่ยขึ้น
"หลวงพ่อ หลวงน้าเจ้าคะ ต้อมเสียแล้วเจ้าค่ะ" เธอกล่าวเสียงเคลือ สะอื้นอย่างหนักแถมยังทำท่าจะเป็นลม
ผมแม้จะมีความเกลียดคนครอบครัวนี้อยู่บ้าง แต่ก็ต้องใจหายกับข่าวร้ายนั้น แถมสีหน้าของคนเป็นแม่ยังดูน่าเวทนา เขาคงรับกรรมที่ตนก่อไว้แล้ว
"เอ่อ..ลุกขึ้นก่อนนะโยมแม่ ค่อยๆคุยกัน ไอ้เต้ไปเอาเก้าอี้มาให้เขานั่งที" ผมเอ่ยขึ้นแล้วร้องบอกไอ้เต้เสียงดัง มันรับคำแล้ววิ่งหายไปทางวิหาร
(มีต่อครับ)
ครั้งเมื่อผมบวช ลาสิกขา
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะค่อนข้างเบาสบายไม่มีหวือหวา ก็เหมือนทุกตอนที่ผ่านตาท่านนั่นแหละครับ ไม่มีหวือหวาเลยซักกะตอนเดียว
เอาล่ะครับอย่าเสียเวลามาพบกับพวกผมและชาวคณะกับท้องเรื่อง ครั้งเมื่อผมบวชปัจฉิมบท ลาสิกขา ขา ขา
และแล้ววันเวลาก็ผ่านพ้นไป ในช่วงนี้เป็นช่วงอาทิตย์สุดท้ายแล้วหากจะยึดเอาตามกำหนดการวันฤกษ์งามยามดีที่ผมจะต้องลาสิกขาบอกลาผ้าเหลือง
จากที่ผมคิดว่ามันจะต้องเต็มไปด้วยความหม่นหมองเศร้าใจแต่เปล่าเลยครับ มันยุ่งจนหัวหมุน เพราะภายในวัดมีพิธีกรรมต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทั้งงานวันสารท ต่อมาก็ออกพรรษา มันวุ่นวายชนิดไม่มีเวลาให้ทำตัวซึมเศร้าเป็นพระเอกเอ็มวีกันเลยทีเดียว
วันสารท เป็นการทำบุญใหญ่ให้กับญาติโกโหติกาผู้ล่วงลับ จะจัดขึ้นในเดือนสิบตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งในวันนี้ชาวบ้านญาติโยมที่มีจิตศรัทธาจะนำข้าวปลาอาหารหวานคาวมาร่วมตักบาตรทำบุญอุทิศกุศลให้กับผู้ล่วงลับ
โดยกล่าวกันว่าวันนี้ประตูนรกจะเปิด ปลดปล่อยให้เหล่าดวงวิญญาณที่ได้รับทุกขเวทนาจากกรรมที่ตนก่อ ได้ออกมายังภพภูมิของมนุษย์เพื่อรับเอากุศลผลบุญที่ลูกหลานอุทิศให้
หากวิญญาณดวงใดลูกหลานมีใจใฝ่ทางธรรมอยู่บ้าง กรวดน้ำตักบาตรมิเคยขาดว่างเว้น ผลบุญก็จะส่งให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นหลุดพ้นจากความหิวโหยทรมาน
แต่หากลูกหลานบ้านใดไม่เคยคิดจะสละเวลาเพื่อสร้างกุศล เจียดข้าวปลาอาหารใส่บาตรให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ดวงวิญญาณนั้นก็ได้แต่นั่งเฝ้ารอตั้งคอชะเง้อแลหาลูกหลานอยู่ข้างวัด คอยว่าเมื่อใดกันหนอลูกหลานของกูจะทำบุญให้
ได้แต่นั่งมองผีตนอื่นกินข้าวกินปลากันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนตัวเองนั่งท้องร้องอย่างอเนจอนาถเพราะลูกหลานมิใส่ใจ สุดท้ายก็ต้องกลับสู่ห้วงอเวจีด้วยใจที่ห่อเหี่ยว ก้มหน้ารับกรรมต่อไป
ผมว่าเรื่องนี้เป็นกุศโลบายที่ดีนะครับ เพราะการที่ลูกหลานไม่ลืมพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดที่จากไป ยังคอยทำบุญให้ มันเหมือนกับเป็นการบอกแก่ตนเองว่า ฉันไม่ใช่คนเนรคุณ ฉันไม่เคยลืมบุญพ่อแม่ ถือเป็นกุศโลบายชั้นยอดที่เหล่าคนรุ่นก่อนคิดค้นได้อย่างยอดเยี่ยมและใช้ได้ผลอย่างเยี่ยมยอด
เพราะในวันนี้ลูกหลานที่พลัดพลากจากถิ่นเกิดไปทำงานต่างด้าวต่างแดน จะได้มีโอกาศกลับบ้านเพื่อทำบุญและยังได้พบเจอพี่น้องที่ต่างจากกันไปนานเพราะหน้าที่ความรับผิดชอบ ได้กินข้าวร่วมวงกันอย่างพร้อมหน้า ถือเป็นการเติมกำลังใจให้มีแรงขับเคลื่อนกลับไปสู้งานต่อได้อีก
นอกจากบรรยากาศที่แสนครึกครื้นของเหล่าผู้คนที่มีจิตศรัทธา อาหารมากมายที่พวกเขาเหล่านั้นนำมาถวายด้วยจำนวนที่เยอะจนขนาดตักแค่จานละคำยังทำให้อิ่มจนอืด แต่สิ่งที่จัดว่าเป็นเมนูเด็ดสำหรับผมต้องยกให้ขนมกระยาสารท ขนมโบราณที่มีส่วนผสมของข้าวตอก ข้าวเม่า ถั่วลิสง และน้ำตาลเป็นสารตั้งต้น
ความพิเศษของขนมชนิดนี้นอกจากจุดเด่นคือความหอมหวานมันอร่อยแล้ว มันยังมีความเหนียวและความแข็งเป็นจุดนำ
ซึ่งไอ้จุดนำที่ว่านี่ล่ะครับ ที่สร้างความลำบากยากเข็ญให้แก่พระผู้ใหญ่หลายๆท่าน
ด้วยว่าอายุอานามที่แท้จริงไม่เกี่ยวกับพรรษา ฟันฟางที่เคยแข็งแรงก็เริ่มอ่อนล้าตามสังขารที่โรยรา ฉะนั้นแม้กระยาสารทจะมีความอร่อยเพียงใด แต่เหล่าหลวงพ่อหลวงตาทั้งหลายก็ต้องยอมตัดใจมองผ่านด้วยสายตาละห้อย ขนาดหลวงพ่อชอุ่มที่เคี้ยวหมากเป็นประจำยังยอมยกธงขาวสิโรราบ กราบกรานยกกระยาสารทที่รับประเคนมาให้ผมทั้งหมด
"ไม่ไหวท่านนิ่มเอ้ย ฟันขบไม่ขาดยังพอทน อุตส่าห์ค่อยๆเคี้ยวแล้วยังมิวายแว้งมาแทงเหงือกกันได้ ท่านเอาไปเถอะพระหนุ่มเนื้อแน่นฟันยังแข็งแรง เชิญอร่อยให้เต็มที่" ท่านบอกพลางส่ายหัวเอามือลูบแก้ม
"แล้วไหงมันเยอะแบบนี้ล่ะครับ" ผมถามกลับเพราะกระยาสารทที่ท่านมอบให้ด้วยใจอันบอบช้ำ มันมีจำนวนเกือบยี่สิบแผ่น
"ของเจ้าอาวาสด้วย รายนั้นไม่เคี้ยวอมไว้ในปากอย่างเดียว ท่านเก็บไว้แผ่นนึงเห็นบอกว่าคงเกือบเดือนโน่นแหละกว่าจะฉันหมด" ท่านบอกพร้อมหัวเราะออกมา
ระหว่างที่ผมกับหลวงพ่อชอุ่มพากันนั่งดูดกระยาสารทตามวิธีฉันสุดเอ็กซ์คลูซีฟของท่านเจ้าอาวาส ไอ้เต้ก็ถือกระดาษร้อยปอนด์ม้วนหนึ่งเดินยิ้มร่ามาหาผม คราวนี้มันเดินอย่างระมัดระวังเต็มที่เพราะแผลเก่ายังไม่หายดี
"อะไรวะเต้กระดานผีถ้วยแก้วงะ" ผมถามขึ้นพลางชี้มือไปที่สิ่งของน่าสงสัย
"รูปวาดสิหลวงพี่ ผีถ้วยกงถ้วยแก้วไรล่ะ เพ้อเจ้อ" นั่นแค่หยอกนิดหน่อยโดนซะหนึ่งดอก หมดละครับความเคารพศรัทธาที่มีให้กัน
"รูปไรไหนเอามาดูดิ๊" ผมเอ่ยพลางคว้าเอากระดาษมาจากมือมัน พอเปิดออกดูทั้งผมกับหลวงพ่อชอุ่มก็ต้องตกตะลึงครับ ภาพนั้นคือภาพพญานาคที่สวยงามจริงๆ เป็นพญานาคแท้ๆไม่ใช่ไส้เดือนหรืองูเขียว
"โห้ววว สวยว่ะใครวาดนิ" ผมถาม
ไอ้เต้ยิ้มพลางชี้ให้ดูตรงมุมกระดาษด้านล่าง มันลงชื่อพร้อมวันที่ไว้ ชื่อคนวาดคือไอ้เต้ครับ แค่นั้นผมก็อึ้งสุดๆแล้ว แต่ชื่อภาพนี่สิต้องทำให้อึ้งคูณแปดเข้าไปอีก
"พญาอนันตนาคราช จอห์นปอลที่สอง ไอ้เต้! มันไม่มี๊!!" ผมหันไปหามันกล่าวเสียงดัง พอได้ยินชื่อหลวงพ่อชอุ่มถึงกับพ่นกระยาสารทออกจมูกเลยทีเดียว
เราทั้งสามหัวเราะร่วน กับผลงานชิ้นโบว์แดงที่มีชื่อแสลงหูของไอ้เต้
"ผมให้หลวงพี่เก็บไว้ เป็นที่ระทึก" ไอ้เต้กล่าว
"ระลึกโว้ย!! ไอ้นี่" ผมเอ่ยแก้ เขกหัวมันเบาๆด้วยความเอ็นดู
วันก่อนตอนที่ไอ้เต้มันรู้ว่าอีกไม่กี่วันผมจะต้องสึก มันร้องไห้วิ่งไปฟ้องหลวงพ่อชอุ่มว่าผมจะหนีวัด ให้เรียกตำรวจมาจับเลยห้ามให้สึกนะ
ผมที่เดินตามไปได้ยินดังนั้นก็ถึงกับน้ำตาตกใน เอ็นดูในความไร้เดียงสาของไอ้เด็กคนนี้ หลวงพ่อชอุ่มต้องอธิบายกึ่งปลอบโยนกันอยู่นานกว่ามันจะยอมเข้าใจ แต่ก็ยังมีอาการเซื่องซึมอยู่บ้าง พอพ้นวันมันก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม ผมล่ะอิจฉาในความลืมง่ายของเด็กจริงๆ
ผมวานให้ลุงภาไปหาซื้อกรอบรูปให้ เพราะแกจะเข้าเมืองไปซื้อสมุนไพรพอดี และก็ไม่ลืมกำชับแกว่าขอกรอบที่ขอบเล็กๆนะ เดี๋ยวจะบังชื่อภาพ
สามสหายธรรมบันดาลหลังจากผลัดเปลี่ยนผ้าผ่อนเรียบร้อยก็เดินมานั่งลงที่โต๊ะหินกับพวกผม พวกเราคุยกันสนุกสนานเฮฮา จู่ๆรถยนต์คันหนึ่งก็แล่นเข้ามาอย่างรีบร้อน
พอรถจอดก็มีชายหญิงเดินลงมาจากรถประมาณ 5 6 คน ผมจำเขาเหล่านั้นได้ พวกนั้นคือญาติของไอ้ต้อมหนุ่มหน้าหล่อที่ฟันศอกเข้าหน้าผมคนนั้น
พวกเขาเดินมาทางผมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย พอมาถึงก็พากันคุกเข่ากราบทำความเคารพพวกเรา ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะเอ่ยขึ้น
"หลวงพ่อ หลวงน้าเจ้าคะ ต้อมเสียแล้วเจ้าค่ะ" เธอกล่าวเสียงเคลือ สะอื้นอย่างหนักแถมยังทำท่าจะเป็นลม
ผมแม้จะมีความเกลียดคนครอบครัวนี้อยู่บ้าง แต่ก็ต้องใจหายกับข่าวร้ายนั้น แถมสีหน้าของคนเป็นแม่ยังดูน่าเวทนา เขาคงรับกรรมที่ตนก่อไว้แล้ว
"เอ่อ..ลุกขึ้นก่อนนะโยมแม่ ค่อยๆคุยกัน ไอ้เต้ไปเอาเก้าอี้มาให้เขานั่งที" ผมเอ่ยขึ้นแล้วร้องบอกไอ้เต้เสียงดัง มันรับคำแล้ววิ่งหายไปทางวิหาร
(มีต่อครับ)