" Sea silk " ผ้าไหมที่ล้ำค่าจากหอย " Pinna nobilis " ใต้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน




ผ้าไหมทะเล (Sea silk) เป็นผ้าล้ำค่าที่หายากมาก ที่ขณะนี้มีผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่บนโลกเท่านั้นที่รู้ความลับในการสร้าง ในขณะที่ผ้าไหมเป็นที่รู้จักกันดีว่าได้มาจาก " Pinna nobilis " หรือ " pen shell " ซึ่งเป็นหอยทะเลเมดิเตอร์เรเนียนขนาดยักษ์ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างมาก และมีความยาวเกือบหลา

ซึ่งในการยึดติดกับโขดหินหรือพื้นทะเลนั้น หอยบางชนิดจะหลั่งโปรตีนที่เมื่อสัมผัสกับน้ำทะเลจะแข็งตัวเป็นเส้นใยเนียนที่เรียกว่า " byssus " หรือไหมทะเลซึ่งเป็นด้ายที่หายากที่สุดในโลก โดยเส้นใยนี้มีความโดดเด่น มีความแข็งแรงมากและสามารถเกาะกับวัตถุที่เปียกได้ โดย  " Pinna nobilis " เป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองตั้งแต่ปี 1992 ที่ห้ามมิให้ตกหรือนำส่วนใดส่วนหนึ่งไป

เช่นเดียวกับผ้าไหมทั่วไป ผ้าไหมทะเลเป็นผลิตภัณฑ์ที่หรูหรา แต่การสร้างมันเป็นงานศิลปะที่กำลังจะตาย และมีเพียงไม่กี่คนที่ได้สัมผัสกับผ้าที่หายากชนิดนี้  ซึ่งปัจจุบันมีเพียงคนเดียวที่มีชีวิตอยู่ ที่รู้วิธีเก็บเกี่ยวย้อมและปั่นด้ายให้ไหมทะเลกลายเป็นผ้าที่มีลวดลายวิจิตรงดงามราวกับทองคำ และนี่คือที่ตำนานเริ่มต้นของ Chiara Vigo วัย 62 ปี

โดย Vigo ดำน้ำลงไปในทะเลลึกถึง 17 หลาเพื่อรวบรวมเส้นใย byssus โดยอาศัยแสงจากดวงจันทร์ที่ส่องเข้าไปภายในถ้ำใต้น้ำนอกชายฝั่ง Sardinia (เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของอิตาลี ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน)  ซึ่งสามารถพบหอยได้ ในขณะที่หน่วยยามฝั่งอิตาลีเฝ้าดูการป้องกันจากชายฝั่ง


Pinna nobilis เป็นหอยที่ผลิตไหมทะเลที่เติบโตได้ยาวถึง 1 หลา ARNAUD ABADIE / CC BY 2.0


จากรายงานของ BBC อธิบายว่า เธออาจต้องดำน้ำถึง 100 ครั้งเพื่อสร้างเส้นใยหนึ่งออนซ์ โดยการตัดแต่ง byssus ออกจากหอยแต่ละอันด้วยมีดผ่าตัดเล็ก ๆ ซึ่งเส้นใยเหล่านี้อาจมีความยาวได้ถึง 6 นิ้ว โดยก่อนเธอที่จะดำน้ำแต่ละครั้ง เธอจะสวดมนต์และยึดมั่นในสิ่งโบราณศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า “Sea Oath” เป็นคำสาบานโบราณ ซึ่งตราบเท่าที่ทะเลยังคงมีอยู่คำสาบานจะไม่สามารถละเมิดได้  เพื่อป้องกันไม่ให้นำไหมทะเลไปทำการซื้อหรือขาย

การผลิตผ้าไหมทะเลนั้น เป็นประเพณีที่กล่าวกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งในการผลิตสินค้าที่หรูหรานี้ก่อนอื่นเราต้องเก็บเกี่ยว byssus (มัดของเส้นใยที่หลั่งโดยหอยสองฝาบางชนิดเพื่อยึดติดกับพื้นผิวที่มั่นคง) ของ " pen shell " (โดยเฉพาะชนิด Pinna nobilis หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘noble pen shell)

จากนั้น byssus จะต้องได้รับการจัดการและปั่นเป็นเกลียวก่อนจึงจะสามารถใช้ทอหรือเย็บปักถักร้อยได้ ผลลัพธ์สุดท้ายคือวัสดุที่เปล่งประกายระยิบระยับในแสงแดดคล้ายเส้นทองคำ ซึ่งลักษณะของผ้าไหมทะเลที่มีลักษณะคล้ายทองคำนี้ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความนิยมในหมู่คนร่ำรวยและมีอำนาจ
ในโลกยุคโบราณ และเนื่องจากมีน้ำหนักเบาผ้าไหมทะเลจึงมีมูลค่ามาก

ดังนั้น ผ้าไหมทะเลในโลกยุคโบราณจึงได้รับการกล่าวขานว่ามีคุณค่าจากวัฒนธรรมเก่าแก่มากมาย ตัวอย่างเช่น กล่าวกันว่ากษัตริย์แห่งเมโสโปเตเมีย
มีเสื้อผ้าไหมทะเลที่ทำขึ้นสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ และยังมีการอ้างว่าผ้าไหมทะเลเป็นที่รู้จักของชาวอียิปต์ โรมัน และกรีกโบราณ นอกจากนี้ วัสดุล้ำค่านี้อาจได้รับการกล่าวถึงในตำราโบราณด้วย


ชายฝั่งของเกาะ Sant'Antioco ใกล้กับเกาะ Sardinia ซึ่งสามารถพบ " pen shells " ได้
Cr.ROBERTO FERRARRI / CC BY-SA 2.0


ในอดีตคำว่า "byssus" นั้น มีการชี้ให้เห็นว่าถูกปรากฏในพันธสัญญาเดิมมากถึง 45 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี "byssus" เหมือนจะเป็นการอ้างอิงถึง
ผ้าประเภทอื่น ๆ เช่นผ้าฝ้าย ผ้าลินิน หรือผ้าไหม นอกจากนี้ ยังได้รับการแนะนำว่าวัตถุบางอย่างจากเทพนิยายก็อาจเป็นผ้าไหมทะเล เช่น การตีความของขนแกะทองคำที่พบในตำนานกรีกเรื่อง Jason and the Argonauts ก็อาจเป็นไหมทะเลนี้ก็ได้ แต่ในสมัยใหม่ "byssus" หมายถึง เส้นใยเนื้อนุ่มที่หลั่งโดยหอย Pinna nobilis 
 
ทั้งนี้ การอ้างสิทธิ์ของครอบครัว Vigo ในการเป็นเจ้าของความลับของหอยแต่เพียงผู้เดียวนั้นน่าจะไม่เป็นความจริง เพราะในช่วงปี 1950 ที่ Sant'Antioco เกาะเล็ก ๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Sardinia เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่ผลิตผ้าไหมทะเลด้วย  โดย Italo Diana ช่างทอผ้าไหมทะเลที่มีชื่อเสียงได้ถ่ายทอดความรู้ของเธอให้กับคนในพื้นที่หลายคนแต่ไม่ได้มากมายนัก รวมถึง Efisia Murroni ซึ่งเสียชีวิตในปี 2013 

นอกจากนั้น ในหนังสือของ Helen Scales นักชีววิทยาทางทะเลเมื่อปี 2015 ที่ชื่อ " Spirals in Time: The Secret Life and Curious Afterlife of Seashells " ได้เล่าเรื่องราวของ Giuseppina และ Assuntina Pes พี่น้องสองคนในเกาะ Sant'Antioco ที่เรียนรู้การเตรียมผ้าไหมทะเลจากผลิตภัณฑ์ Murroni แต่ได้รับความสนใจน้อยกว่า Vigo
ไหมทะเลมีความละเอียดอ่อนกว่าเส้นผมของมนุษย์ถึงสามเท่า โดยมีความเงางามเป็นสีทอง  
Cr.JOHN HILL/CC BY-SA 3.0

สำหรับขั้นตอนทั้งหมด ได้ถูกอธิบายกระบวนการต่างๆไว้ว่า ขั้นแรกให้นำเส้นใยไปแช่ในน้ำทะเลจากนั้นก็ในน้ำจืด จากนั้น ทำให้เป็นปุยด้วยหวี แล้วหมุนเส้นใยให้เป็นเกลียวละเอียดด้วยแกนหมุน และแช่ด้วยน้ำมะนาวจะทำให้ด้ายสว่างและกระจ่างใสขึ้น ซึ่งมีตั้งแต่สีบรอนซ์ไปจนถึงสีทอง ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาหลายวันและตามมาด้วยการปั่นด้ายด้วยมือ และการถักทอการปักหรือการเย็บแบบขนสัตว์

กลับมายังยุคปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่าประเพณีโบราณในการผลิตผ้าไหมทะเลแทบจะสูญหายไป แต่ผู้หญิงชื่อ Chiara Vigo บนเกาะ Sardinia กำลังรักษาประเพณีการเลี้ยงไหมทะเลให้คงอยู่ ในขณะที่ ยังคงมีผู้หญิงอีกหลายคนข้างต้นและใน Apulia ที่มีความรู้เรื่องการทอผ้าไหมทะเลก็จริง แต่ก็มีการอ้างว่าไม่มีใครเก็บเกี่ยววัตถุดิบด้วยตนเอง และไม่มีใครสามารถผลิตผ้าที่ตรงกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ของ Vigo ได้

ซึ่งจากข้อมูลของ Vigo ความรู้เกี่ยวกับการผลิตผ้าไหมทะเลถูกนำมาสู่ Sardinia โดย Berenice of Cilicia สมาชิกราชวงศ์ Herodian และหลานสาวของ Herod มหาราชผู้ก่อตั้งราชวงศ์  ทักษะนี้ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นต่อไปโดยผู้หญิงในครอบครัว เช่น Vigo ที่ได้รับการสอนศิลปะการผลิต
ผ้าไหมทะเลโดยคุณยายของเธอ


Chiara Vigo ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตผ้าไหมทะเลคนสุดท้าย กำลังทอผ้าไหมทะเล
(Guilio Gigante CC BY-SA 2.0 )


ในขณะที่ผ้าไหมทะเลถูกผลิตขึ้นในอดีตเพื่อคนร่ำรวยและมีอำนาจ แต่ Vigo กลับทอผ้านี้สำหรับคนที่ถูกขับไล่ คนยากจน และคนขัดสนเป็นหลัก นอกจากนี้ ผ้าไหมทะเลที่ผลิตโดย Vigo ก็ไม่ได้ถูกนำไปขาย มีรายงานว่า ที่ผ่านมาผู้ทอผ้าไหมทะเลบางรายพยายามทำธุรกิจจากฝีมือของตน และผลิตผ้าไหมทะเลในเชิงอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ความพยายามดังกล่าวไม่เคยประสบความสำเร็จ

ทุกวันนี้  Vigo แทบจะไม่ได้ทำผ้าล้ำค่าเหล่านี้ เพราะเส้นใยนั้นหายากและกระบวนการปั่นด้ายใช้เวลานานเกินไป  แต่ Vigo ก็พยายามทำให้มันคงอยู่ด้วยการสอนให้คนบางคนรู้จักวิธีการทอผ้านี้ นอกจากนี้ เธอหวังว่าลูกสาวของเธอจะเดินตามรอยเท้าของเธอดังนั้นการรักษาประเพณีโบราณนี้ให้คงอยู่สืบไปชั่วลูกชั่วหลาน

ปัจจุบัน เสื้อผ้าไหมทะเลประมาณ 60 ตัวอย่าง ยังคงมีอยู่ในคอลเล็กชันของพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุในช่วงไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา หากแนวโน้มปัจจุบันของประชากร " pen shell " ยังคงมีอยู่ อาจมีโอกาสที่จะได้ตัดเส้นไหมเหล่านี้อีกครั้ง


เสื้อคลุมไหมทะเล Cr.ภาพถ่ายผ่าน Musée des Confluences (ศูนย์วิทยาศาสตร์และพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยา) เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส
Cr.ภาพ thethinkersgarden.com



ถุงน่องที่ทำจากผ้าไหมทะเล (byssus) จากหอย Pinna nobilis ในปีค.ศ. 1765-1800
ที่พิพิธภัณฑ์ Naturhistorisches เมือง Braunschweig ประเทศเยอรมนี 


ถุงมือถักที่ทำจากผ้าไหมทะเลจากเมือง Taranto ประเทศอิตาลีซึ่งน่าจะเป็นช่วงปลายศตวรรษที่ 19



Sant'Antioco island 


Sant'Antioco เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงใต้เกาะ Sardinia ในภูมิภาค Sulcis-Iglesiente ประมาณ 90 กิโลเมตรจากเมือง Cagliari ซึ่งจะเชื่อมต่อ Sardinia ผ่านคอคอดเทียมที่สร้างโดยชาว Punics ที่ต่อมาเสร็จสมบูรณ์โดยชาวโรมัน โดยในอดีต Sant'Antioco เป็นอาณานิคมของ
ชาวฟินีเซียน - พิวนิกมาก่อน  จากนั้น ก็กลายเป็นเมืองโรมันที่มีชื่อเสียง และปัจจุบันเป็นหมู่บ้านริมทะเลที่น่าสนใจ

Sant'Antioco มีชื่อเสียงมากในเรื่องชายหาดที่สวยงาม แต่ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ก็น่าสนใจเช่นกัน ในบรรดาคริสตจักรโดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิหาร
Basilica of Sant'Antioco Martire เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวขวัญ รวมทั้งหอคอย Torre Cannai ที่สร้างขึ้นในปี 1757 และป้อมปราการ Forte su Pisu ก็คุ้มค่าแก่การเข้าชม




(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่