สวัสดีครับชาวพันทิปทุกท่าน สงกรานต์ปีนี้มีที่เที่ยวกันรึยังครับ ถ้าหากมีแล้วก็ขอให้สนุกกับวันหยุดยาว แต่ถ้าหากยังไม่มีก็ขอเรียนเชิญทุกท่านมานั่งอ่านเรื่องราวเล่าขานตำนานของอดีตพระหนุ่มหน้ามนคนหน้ามึน ตรัยโศก ผู้นี้กันสักหน่อยดีไหมครับ ถือว่าเป็นการฆ่าเวลาไปอีกแบบ
อย่ารอช้ากันเลยครับ เชิญทุกท่านไปร่วมแบ่งปันประสบการณ์ความ(เกือบ)หลอนกับผมในท้องเรื่อง คาถาไล่ผี........
วันนี้ผมต้องไปเรียนนักธรรมที่วัดของเจ้าคณะตำบล การเรียนนักธรรมนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เหล่าพระนวกะต้องปฏิบัติ โดยจะมีการเรียนการสอนแค่ในช่วงเข้าพรรษาอาทิตย์ละ 1 วัน และจะมีการสอบในช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนออกพรรษาเรียกว่าสอบนักธรรมสนามหลวง
พระเณรรูปใดที่บวชยาวๆ และมีความประสงค์จะศึกษาต่อในระดับเปรียญธรรม ท่านเจ้าคณะตำบลก็จะให้การสนับสนุนมีที่เรียนที่หลับที่นอนให้พร้อม แต่สำหรับพระรูปใดที่บวชเพียงเวลาสั้นๆก็เรียนนักธรรมตามปกติ รู้สึกว่าจะเป็นกฏหมายบังคับ
พระที่เป็นเจ้าอาวาสได้ในสมัยนี้ต้องเรียนนักธรรมจบทั้ง 3 ชั้นปี คือ ตรี โท เอก และยังจำเป็นต้องเรียนจบปริญญาตรีด้วย โดยจะมีโรงเรียนสำหรับภิกษุโดยเฉพาะ เรียกว่าการจะได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสมาครองนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเหมือนเมื่อก่อน ที่ขอแค่มีพรรษามาก หรือชาวบ้านยอมรับก็เป็นได้แล้ว หากยังเรียนไม่จบก็จะรับตำแหน่งรักษาการไปก่อน
สิ่งหนึ่งที่ยากสำหรับผมในการเรียนและสอบนักธรรมคือการเขียนเรียงความกระทู้ธรรม ความจริงมันก็คือการเขียนเรียงความทั่วไปนั่นแหละครับ เพียงแต่เราต้องนำเอาพุธศาสนสุภาษิตมาตั้งเป็นหัวข้อ จากนั้นก็เขียนบรรยายให้เกี่ยวข้องกัน หลักในการตรวจให้คะแนนคือย่อหน้าและคำผิด ส่วนเนื้อหานั้นไม่จำเป็น
"หลวงพี่บอล ผมขอดูของหลวงพี่หน่อยผมนึกไม่ออกว่าจะเขียนยังไง" ผมเอ่ยขึ้นบอกหลวงพี่บอลในช่วงพักกลางวัน บรรดาสามสหายก็มาเช่นกันเพียงแต่ไม่ได้มาเรียน พวกหลวงพี่มีตำแหน่งเป็นอาจารย์สอน
หลวงพี่บอลยื่นกระดาษที่แกเขียนมาให้ดู ผมอ่านดูคร่าวๆ รู้สึกว่าภาษาที่แกเขียนลงไปนั้นช่างสละสลวยยิ่งนัก แต่แล้วพออ่านถึงช่วงกลางๆผมก็ต้องชะงัก สะดุดกับเนื้อหาที่หลวงพี่บอลเขียนลงไป
อัง อัง อัง โดะเตะโมดาอิซุคิ โดราเอ มอน...
ครับนี่มันเนื้อเพลงในตำนานชัดๆ
"หลวงพี่ ไหงใส่เนื้อเพลงลงไปด้วยล่ะครับ" ผมถามชี้ไปที่เนื้อหาวรรคที่เป็นประเด็น
หลวงพี่บอลก็ตอบผมกลับมาใบหน้ายิ้มกริ่ม "เนื้อหาด้านในน่ะ กรรมการเค้าไม่อ่านหรอกท่านนิ่ม เค้าจะดูแค่หัวกระทู้ การเว้นวรรค และการจบกระทู้เท่านั้นแหละ"
ผมรู้สึกแคลงใจกับคำตอบของหลวงพี่บอล จึงหันหน้าไปพึ่งคนที่มีภาษีดีดูน่าเชื่อถือที่สุด นั่นคือหลวงพี่เพ็ญ ผมรับเอากระดาษของหลวงพี่เพ็ญมาอ่าน พอถึงช่วงกลางๆก็ต้องชะงักอีกครั้ง
ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไหร่ ครับพี่ตูนก็มา ผมหันกลับไปมองหน้าหลวงพี่เพ็ญแล้วส่ายหัว
"ของหลวงพี่หน่องนี่เด็ดดวง ใส่พาหุงไปทั้งบท" หลวงพี่เพ็ญเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าผมทำท่าจะขอดูของหลวงพี่หน่อง ผมนั่งเอามือกุมขมับ จะทำเยี่ยงไรดี ต้องส่งตอนบ่ายซะด้วย ไอ้จะให้ทำแบบบรรดาสามสหายก็ใจไม่กล้าพอ มันมีความรู้สึกผิดมันตะหงิดในใจ
ประมาณบ่าย 3 โมงรถของทางเจ้าคณะตำบลก็ไปส่งพวกเราและพระรูปอื่นตามวัดที่สังกัดอยู่
เมื่อถึงวัด พวกเราก็นั่งรวมกลุ่มกันที่เดิมคือม้าหินปลุกเสกหน้าห้องผม ผมจัดแจงเอาหนังสือและเอกสารประกอบการเรียนออกจากย่าม หลวงพี่บอลเห็นเข้าก็หยิบเอากระดาษที่ผมแต่งกระทู้ธรรมไปดู
"ไหนดูซิ พระนิ่มผู้ทรงภูมิ" แกเอ่ยทำท่ากวาดสายตาเลื่อนดูกระดาษอยู่สักพักก็ปล่อยก๊ากเสียงดัง หลวงพี่เพ็ญกับหลวงพี่หน่องเห็นดังนั้นก็ดึงเอาไปดูบ้างแล้วก็พากันยิ้มมองมาที่ผม
ครับผมที่ปฏิญาณตนว่าจะไม่เอาอย่างหลวงพี่ทั้ง 3 ในการเขียนเรียงความ ก็ใช่ไงครับ ผมไม่ได้ใส่เนื้อเพลงลงไป
"สูตรการทำผัดกระเพราเนี่ยนะท่านนิ่ม ครีเอทดีแท้" หลวงพี่เพ็ญกล่าวผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก็จะให้ทำไงล่ะครับมันนึกอะไรไม่ออก แถมพอส่งแล้วยังผ่านอีกด้วย
"ตอนสอบจริงๆจะทำแบบนี้ไม่ได้นะท่าน อ่านหนังสือเยอะๆ พยายามตีความหมายสุภาษิตให้แตกแล้วหาเรื่องราวมาเชื่อม" หลวงพี่เพ็ญกล่าวสีหน่าจริงจัง
สายวันต่อมาขณะที่พวกเรากำลังทำความ
สะอาดวิหารกันอยู่นั้น รถอีแต๋นคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาในวัด ส่งเสียงกระหึ่มจนแสบแก้วหู ผมสังเกตุเห็นว่าท้ายรถบรรทุกอะไรบางอย่างมาด้วยพอมองดูดีๆจึงรู้ว่าเป็นธรรมาสน์
พอเครื่องยนต์ดับสนิท ชายวัยรุ่นประมาณ 4 5 คนก็ช่วยกันยกธรรมาสน์ลงจากท้ายรถด้วยความทุลักทุเล เนื่องจากขนาดและน้ำหนักของธรรมาสน์และความสูงของตัวรถ
"ฝากเอาไว้ที่วัดหน่อยนะหลวงน้า ไม่ไหวเฮี้ยนจริงๆ" ชายคนหนึ่งกล่าวขณะที่พวกผมเดินเข้าไปดู
เฮี้ยน!! คำง่ายๆแต่ความหมายสุดลึกล้ำ เพียงแค่ผมได้ยินคำๆนี้ ร่างกายก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ทันที ผมถอยหลังออกมา 2 ก้าวให้ห่างจากธรรมาสน์หลังนั้น
"เอามาจากไหนล่ะเนี่ย" หลวงพี่เพ็ญถามขึ้น
"วัด...น่ะหลวงน้า ที่มีพระหัวใจวายคาธรรมมาสน์เมื่อ 2 3 เดือนก่อนไง" ชายวัยรุ่นคนเดิมตอบ
อะไรล่ะครับนั่น หัวใจวายคาธรรมาสน์ ตอนนั้นท่านแสดงธรรมเรื่องอะไรกันเล่าครับ มันเร้าใจขนาดนั้นเลยหรือ แต่ที่เป็นประเด็นหลักคือ เอาของผีสิงย้ายจากวัดนึงมาไว้อีกวัดนึง พระที่นั่นไม่สามารถไล่ผีหรือกันผีได้เหมือนกันหรือนี่ โอ้! ผมอยากจะพบปะสังสรรค์กับสหายธรรมเหล่านั้นเหลือเกิน ถ้าเจอผมจะเดินเข้าไปขอจับมือแล้วเอ่ยเบาๆ
เราพวกเดียวกันนะครับ
ชายวัยรุ่นพากันยกธรรมาสน์หลังนั้นไปไว้ที่ศาลาหอฉันตามคำสั่งหลวงพี่เพ็ญ จากนั้นจึงพากันกลับ ก่อนกลับยังตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่ม
"เฮี้ยนมากเลยหลวงน้า"
พูดจบก็ส่ายหัวแล้วรถอีแต๋นที่เพิ่งนำอาถรรพ์บทใหม่มาส่งให้พวกเราถึงที่ เดลิเวอรี่แบบไม่มีเก็บค่าขนส่งปลายทางก็แล่นจากไป ทิ้งให้พวกกระผมยืนนิ่งเป็นขอนไม้ มีเพียงสายลมอ่อนๆที่พัดผ่านพอให้ชายสบงกระพือนิดหน่อยตามแรงลม สายลมนั้นราวกับจะบอกพวกผมว่า โดนแน่ๆเตรียมตัวเลย
พวกหลวงพี่พากันเดินขึ้นไปบนศาลาหอฉันเพื่อจะไปดูสิ่งของบรรจุความสยองชิ้นใหม่ โดยพวกท่านเหล่านั้นไม่ยอมที่จะลืมลากเอาผมไปด้วย ทั้งๆที่ผมปฏิเสธจนแทบกราบลงกับผืนธรณีเพื่ออ้อนวอนขอร้องว่าอย่าไปเลย ถ้าจะไปก็ไปกันแค่ 3 รูปเถิด หัวใจดวงน้อยๆดวงนี้ของผมยังไม่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ขออยู่สงบๆหน่อยมิได้หรือ
บนศาลา พวกเรายืนล้อมธรรมาสน์หลังนั้น ต่างก็พิจารณาวิพากษ์วิจารกันไปต่างๆนาๆ
จากที่เห็นธรรมาสน์หลังนั้นทำจากไม้สัก เคลือบเงาไว้วาววับ สภาพยังใหม่มีเพียงรอยถลอกนิดหน่อยเท่านั้น บ่งบอกว่าถูกดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี
"อ้าว สั่งธรรมาสน์มาใหม่รึหลวงน้า" เสียงลุงภาเอ่ยขึ้นด้านหลังพวกเรา แกเดินขึ้นมายืนรวมกลุ่มแล้วจ้องไปที่ธรรมาสน์หลังนั้น
"เปล่า เอามาจากวัด...น่ะ" หลวงพี่หน่องกล่าว เมื่อทราบที่มาลุงภาก็ทำท่าสำรวจธรรมาสน์หลังนั้นทันที แกเดินวนดูรอบๆเหมือนจะหาอะไรสักอย่าง สุดท้ายก็ก้มลงไปมองข้างใต้ แล้วโพล่งขึ้น
"นี่ไง! หลวงน้าขอผ้าชุบน้ำให้โยมพ่อหน่อย" แกกล่าวพลางยื่นมืออกมาทางผม ผมก็เดินไปหยิบผ้าขี้ริ้วแถวนั้นชุบน้ำแล้วส่งให้แกไปแบบงงๆ แกรับผ้าไปแล้วเช็ดอะไรอยู่สักครู่ก็ยืนขึ้น กระพริบตาถี่ๆเพราะหน้ามืด
"โยมพ่อทำอ่ะไรน่ะเมื่อกี้" ผมถาม
"อ้อ ยันต์สะกดน่ะ สัปเหร่อเค้าสะกดวิญญาณพระที่มรณะภาพไว้ที่ธรรมาสน์นี่ แต่ไม่ต้องห่วงโยมพ่อเช็ดออกแล้ว สบายใจได้"
สบายใจกะผีอะไรล่ะครับ ผมนี่ร้องกรี๊ดดังลั่นในใจเลย อยากถามลุงภาดังๆว่าไปลบออกทำไม แล้วผ้าที่ใช้ลบยังเป็นผ้าขี้ริ้วอีกต่างหาก แถมคนที่จัดหาผ้าที่แสนจะสกปรกผืนนั้นให้ดันเป็นผมซะอีก
"ยะ โยมพ่อ!! จะลบออกทำม๊ายย" ผมโพล่งขึ้น
"ก็ลบเพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณไงหลวงน้า ขังเค้าไว้ทำไมน่าสงสาร แทนที่จะได้ไปผุดไปเกิด กลับต้องมาติดแหง็กอยู่กับธรรมาสน์นี่" ลุงภาเอ่ยตอบพลางมองไปที่ธรรมาสน์เจ้าปัญหา
ผมนี่แทบลมจับเลยครับ ถ้าลบออกแล้วเค้าไปผุดไปเกิดตามที่แกว่าผมก็วางใจ แต่ถ้าเกิดแกดันเห่อเหิมกับอิสระภาพครั้งใหม่ที่เพิ่งได้รับ โผล่ออกมาขอบคุณผมที่เป็นผู้ยื่นกุญแจใช้ไขปลดโซ่ตรวนแห่งการหน่วงเหนี่ยวเล่าจะทำยังไง
หรือที่ร้ายกว่านั้นถ้าวิญญาณดวงนั้นเกิดชอบบรรยากาศอันแสนสบงสุขของที่นี่ขึ้นมา ขออาศัยอยู่ยาว วันดีคืนดีพวกเราฉันข้าวกันอยู่แล้วมีเสียงเทศน์ปริศนาไร้ที่มาที่ไปดังขึ้น มิวงแตกกันรึ โธ่เวรกรรม....
(มีต่อครับ)
ครั้งเมื่อผมบวช ตอน คาถาไล่ผี
อย่ารอช้ากันเลยครับ เชิญทุกท่านไปร่วมแบ่งปันประสบการณ์ความ(เกือบ)หลอนกับผมในท้องเรื่อง คาถาไล่ผี........
วันนี้ผมต้องไปเรียนนักธรรมที่วัดของเจ้าคณะตำบล การเรียนนักธรรมนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เหล่าพระนวกะต้องปฏิบัติ โดยจะมีการเรียนการสอนแค่ในช่วงเข้าพรรษาอาทิตย์ละ 1 วัน และจะมีการสอบในช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนออกพรรษาเรียกว่าสอบนักธรรมสนามหลวง
พระเณรรูปใดที่บวชยาวๆ และมีความประสงค์จะศึกษาต่อในระดับเปรียญธรรม ท่านเจ้าคณะตำบลก็จะให้การสนับสนุนมีที่เรียนที่หลับที่นอนให้พร้อม แต่สำหรับพระรูปใดที่บวชเพียงเวลาสั้นๆก็เรียนนักธรรมตามปกติ รู้สึกว่าจะเป็นกฏหมายบังคับ
พระที่เป็นเจ้าอาวาสได้ในสมัยนี้ต้องเรียนนักธรรมจบทั้ง 3 ชั้นปี คือ ตรี โท เอก และยังจำเป็นต้องเรียนจบปริญญาตรีด้วย โดยจะมีโรงเรียนสำหรับภิกษุโดยเฉพาะ เรียกว่าการจะได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสมาครองนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเหมือนเมื่อก่อน ที่ขอแค่มีพรรษามาก หรือชาวบ้านยอมรับก็เป็นได้แล้ว หากยังเรียนไม่จบก็จะรับตำแหน่งรักษาการไปก่อน
สิ่งหนึ่งที่ยากสำหรับผมในการเรียนและสอบนักธรรมคือการเขียนเรียงความกระทู้ธรรม ความจริงมันก็คือการเขียนเรียงความทั่วไปนั่นแหละครับ เพียงแต่เราต้องนำเอาพุธศาสนสุภาษิตมาตั้งเป็นหัวข้อ จากนั้นก็เขียนบรรยายให้เกี่ยวข้องกัน หลักในการตรวจให้คะแนนคือย่อหน้าและคำผิด ส่วนเนื้อหานั้นไม่จำเป็น
"หลวงพี่บอล ผมขอดูของหลวงพี่หน่อยผมนึกไม่ออกว่าจะเขียนยังไง" ผมเอ่ยขึ้นบอกหลวงพี่บอลในช่วงพักกลางวัน บรรดาสามสหายก็มาเช่นกันเพียงแต่ไม่ได้มาเรียน พวกหลวงพี่มีตำแหน่งเป็นอาจารย์สอน
หลวงพี่บอลยื่นกระดาษที่แกเขียนมาให้ดู ผมอ่านดูคร่าวๆ รู้สึกว่าภาษาที่แกเขียนลงไปนั้นช่างสละสลวยยิ่งนัก แต่แล้วพออ่านถึงช่วงกลางๆผมก็ต้องชะงัก สะดุดกับเนื้อหาที่หลวงพี่บอลเขียนลงไป
อัง อัง อัง โดะเตะโมดาอิซุคิ โดราเอ มอน...
ครับนี่มันเนื้อเพลงในตำนานชัดๆ
"หลวงพี่ ไหงใส่เนื้อเพลงลงไปด้วยล่ะครับ" ผมถามชี้ไปที่เนื้อหาวรรคที่เป็นประเด็น
หลวงพี่บอลก็ตอบผมกลับมาใบหน้ายิ้มกริ่ม "เนื้อหาด้านในน่ะ กรรมการเค้าไม่อ่านหรอกท่านนิ่ม เค้าจะดูแค่หัวกระทู้ การเว้นวรรค และการจบกระทู้เท่านั้นแหละ"
ผมรู้สึกแคลงใจกับคำตอบของหลวงพี่บอล จึงหันหน้าไปพึ่งคนที่มีภาษีดีดูน่าเชื่อถือที่สุด นั่นคือหลวงพี่เพ็ญ ผมรับเอากระดาษของหลวงพี่เพ็ญมาอ่าน พอถึงช่วงกลางๆก็ต้องชะงักอีกครั้ง
ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไหร่ ครับพี่ตูนก็มา ผมหันกลับไปมองหน้าหลวงพี่เพ็ญแล้วส่ายหัว
"ของหลวงพี่หน่องนี่เด็ดดวง ใส่พาหุงไปทั้งบท" หลวงพี่เพ็ญเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าผมทำท่าจะขอดูของหลวงพี่หน่อง ผมนั่งเอามือกุมขมับ จะทำเยี่ยงไรดี ต้องส่งตอนบ่ายซะด้วย ไอ้จะให้ทำแบบบรรดาสามสหายก็ใจไม่กล้าพอ มันมีความรู้สึกผิดมันตะหงิดในใจ
ประมาณบ่าย 3 โมงรถของทางเจ้าคณะตำบลก็ไปส่งพวกเราและพระรูปอื่นตามวัดที่สังกัดอยู่
เมื่อถึงวัด พวกเราก็นั่งรวมกลุ่มกันที่เดิมคือม้าหินปลุกเสกหน้าห้องผม ผมจัดแจงเอาหนังสือและเอกสารประกอบการเรียนออกจากย่าม หลวงพี่บอลเห็นเข้าก็หยิบเอากระดาษที่ผมแต่งกระทู้ธรรมไปดู
"ไหนดูซิ พระนิ่มผู้ทรงภูมิ" แกเอ่ยทำท่ากวาดสายตาเลื่อนดูกระดาษอยู่สักพักก็ปล่อยก๊ากเสียงดัง หลวงพี่เพ็ญกับหลวงพี่หน่องเห็นดังนั้นก็ดึงเอาไปดูบ้างแล้วก็พากันยิ้มมองมาที่ผม
ครับผมที่ปฏิญาณตนว่าจะไม่เอาอย่างหลวงพี่ทั้ง 3 ในการเขียนเรียงความ ก็ใช่ไงครับ ผมไม่ได้ใส่เนื้อเพลงลงไป
"สูตรการทำผัดกระเพราเนี่ยนะท่านนิ่ม ครีเอทดีแท้" หลวงพี่เพ็ญกล่าวผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก็จะให้ทำไงล่ะครับมันนึกอะไรไม่ออก แถมพอส่งแล้วยังผ่านอีกด้วย
"ตอนสอบจริงๆจะทำแบบนี้ไม่ได้นะท่าน อ่านหนังสือเยอะๆ พยายามตีความหมายสุภาษิตให้แตกแล้วหาเรื่องราวมาเชื่อม" หลวงพี่เพ็ญกล่าวสีหน่าจริงจัง
สายวันต่อมาขณะที่พวกเรากำลังทำความ
สะอาดวิหารกันอยู่นั้น รถอีแต๋นคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาในวัด ส่งเสียงกระหึ่มจนแสบแก้วหู ผมสังเกตุเห็นว่าท้ายรถบรรทุกอะไรบางอย่างมาด้วยพอมองดูดีๆจึงรู้ว่าเป็นธรรมาสน์
พอเครื่องยนต์ดับสนิท ชายวัยรุ่นประมาณ 4 5 คนก็ช่วยกันยกธรรมาสน์ลงจากท้ายรถด้วยความทุลักทุเล เนื่องจากขนาดและน้ำหนักของธรรมาสน์และความสูงของตัวรถ
"ฝากเอาไว้ที่วัดหน่อยนะหลวงน้า ไม่ไหวเฮี้ยนจริงๆ" ชายคนหนึ่งกล่าวขณะที่พวกผมเดินเข้าไปดู
เฮี้ยน!! คำง่ายๆแต่ความหมายสุดลึกล้ำ เพียงแค่ผมได้ยินคำๆนี้ ร่างกายก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ทันที ผมถอยหลังออกมา 2 ก้าวให้ห่างจากธรรมาสน์หลังนั้น
"เอามาจากไหนล่ะเนี่ย" หลวงพี่เพ็ญถามขึ้น
"วัด...น่ะหลวงน้า ที่มีพระหัวใจวายคาธรรมมาสน์เมื่อ 2 3 เดือนก่อนไง" ชายวัยรุ่นคนเดิมตอบ
อะไรล่ะครับนั่น หัวใจวายคาธรรมาสน์ ตอนนั้นท่านแสดงธรรมเรื่องอะไรกันเล่าครับ มันเร้าใจขนาดนั้นเลยหรือ แต่ที่เป็นประเด็นหลักคือ เอาของผีสิงย้ายจากวัดนึงมาไว้อีกวัดนึง พระที่นั่นไม่สามารถไล่ผีหรือกันผีได้เหมือนกันหรือนี่ โอ้! ผมอยากจะพบปะสังสรรค์กับสหายธรรมเหล่านั้นเหลือเกิน ถ้าเจอผมจะเดินเข้าไปขอจับมือแล้วเอ่ยเบาๆ
เราพวกเดียวกันนะครับ
ชายวัยรุ่นพากันยกธรรมาสน์หลังนั้นไปไว้ที่ศาลาหอฉันตามคำสั่งหลวงพี่เพ็ญ จากนั้นจึงพากันกลับ ก่อนกลับยังตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่ม
"เฮี้ยนมากเลยหลวงน้า"
พูดจบก็ส่ายหัวแล้วรถอีแต๋นที่เพิ่งนำอาถรรพ์บทใหม่มาส่งให้พวกเราถึงที่ เดลิเวอรี่แบบไม่มีเก็บค่าขนส่งปลายทางก็แล่นจากไป ทิ้งให้พวกกระผมยืนนิ่งเป็นขอนไม้ มีเพียงสายลมอ่อนๆที่พัดผ่านพอให้ชายสบงกระพือนิดหน่อยตามแรงลม สายลมนั้นราวกับจะบอกพวกผมว่า โดนแน่ๆเตรียมตัวเลย
พวกหลวงพี่พากันเดินขึ้นไปบนศาลาหอฉันเพื่อจะไปดูสิ่งของบรรจุความสยองชิ้นใหม่ โดยพวกท่านเหล่านั้นไม่ยอมที่จะลืมลากเอาผมไปด้วย ทั้งๆที่ผมปฏิเสธจนแทบกราบลงกับผืนธรณีเพื่ออ้อนวอนขอร้องว่าอย่าไปเลย ถ้าจะไปก็ไปกันแค่ 3 รูปเถิด หัวใจดวงน้อยๆดวงนี้ของผมยังไม่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ขออยู่สงบๆหน่อยมิได้หรือ
บนศาลา พวกเรายืนล้อมธรรมาสน์หลังนั้น ต่างก็พิจารณาวิพากษ์วิจารกันไปต่างๆนาๆ
จากที่เห็นธรรมาสน์หลังนั้นทำจากไม้สัก เคลือบเงาไว้วาววับ สภาพยังใหม่มีเพียงรอยถลอกนิดหน่อยเท่านั้น บ่งบอกว่าถูกดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี
"อ้าว สั่งธรรมาสน์มาใหม่รึหลวงน้า" เสียงลุงภาเอ่ยขึ้นด้านหลังพวกเรา แกเดินขึ้นมายืนรวมกลุ่มแล้วจ้องไปที่ธรรมาสน์หลังนั้น
"เปล่า เอามาจากวัด...น่ะ" หลวงพี่หน่องกล่าว เมื่อทราบที่มาลุงภาก็ทำท่าสำรวจธรรมาสน์หลังนั้นทันที แกเดินวนดูรอบๆเหมือนจะหาอะไรสักอย่าง สุดท้ายก็ก้มลงไปมองข้างใต้ แล้วโพล่งขึ้น
"นี่ไง! หลวงน้าขอผ้าชุบน้ำให้โยมพ่อหน่อย" แกกล่าวพลางยื่นมืออกมาทางผม ผมก็เดินไปหยิบผ้าขี้ริ้วแถวนั้นชุบน้ำแล้วส่งให้แกไปแบบงงๆ แกรับผ้าไปแล้วเช็ดอะไรอยู่สักครู่ก็ยืนขึ้น กระพริบตาถี่ๆเพราะหน้ามืด
"โยมพ่อทำอ่ะไรน่ะเมื่อกี้" ผมถาม
"อ้อ ยันต์สะกดน่ะ สัปเหร่อเค้าสะกดวิญญาณพระที่มรณะภาพไว้ที่ธรรมาสน์นี่ แต่ไม่ต้องห่วงโยมพ่อเช็ดออกแล้ว สบายใจได้"
สบายใจกะผีอะไรล่ะครับ ผมนี่ร้องกรี๊ดดังลั่นในใจเลย อยากถามลุงภาดังๆว่าไปลบออกทำไม แล้วผ้าที่ใช้ลบยังเป็นผ้าขี้ริ้วอีกต่างหาก แถมคนที่จัดหาผ้าที่แสนจะสกปรกผืนนั้นให้ดันเป็นผมซะอีก
"ยะ โยมพ่อ!! จะลบออกทำม๊ายย" ผมโพล่งขึ้น
"ก็ลบเพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณไงหลวงน้า ขังเค้าไว้ทำไมน่าสงสาร แทนที่จะได้ไปผุดไปเกิด กลับต้องมาติดแหง็กอยู่กับธรรมาสน์นี่" ลุงภาเอ่ยตอบพลางมองไปที่ธรรมาสน์เจ้าปัญหา
ผมนี่แทบลมจับเลยครับ ถ้าลบออกแล้วเค้าไปผุดไปเกิดตามที่แกว่าผมก็วางใจ แต่ถ้าเกิดแกดันเห่อเหิมกับอิสระภาพครั้งใหม่ที่เพิ่งได้รับ โผล่ออกมาขอบคุณผมที่เป็นผู้ยื่นกุญแจใช้ไขปลดโซ่ตรวนแห่งการหน่วงเหนี่ยวเล่าจะทำยังไง
หรือที่ร้ายกว่านั้นถ้าวิญญาณดวงนั้นเกิดชอบบรรยากาศอันแสนสบงสุขของที่นี่ขึ้นมา ขออาศัยอยู่ยาว วันดีคืนดีพวกเราฉันข้าวกันอยู่แล้วมีเสียงเทศน์ปริศนาไร้ที่มาที่ไปดังขึ้น มิวงแตกกันรึ โธ่เวรกรรม....
(มีต่อครับ)