MUSTANG ถือว่าเป็นรถยนต์ Muscle Car ที่หลายๆคนนั้นน่าจะรู้จักกันเป็นตำนานรุ่นนึงของทางค่ายนี้เลยก็ว่าได้เพราะว่าเป็นรุ่นที่มีความนิยมอย่างมากในเจนแรกๆทั้งรูปทรงและความสวยงามของตัวรถ เรียกได้ว่ากู้ชื่อของค่าย Ford เลยและในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่ 6 แล้ว ต้องบอกว่ารุ่นที่เป็นตำนาน จะเป็นรุ่น 1 และ รุ่นที่ 5 รวมถึงรุ่นที่ 6 ที่ยังคงความเป็น Muscle Car ได้และสวยลงตัว ก็ต้องบอกว่ารุ่น 2-4 นั้นแอบไม่ค่อยสวยเท่ารุ่นแรกซักเท่าไรนัก และถ้ามองถึงตัวแบรนด์หลายๆคนนั้น เมื่อเห็นสัญลักษณ์ม้าป่าก็น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี รวมถึงในยุคใหม่ก็เริ่มใช้ชื่อ Mustang ในการทำรถยนต์ไฟฟ้าของค่ายในชื่อ Mach-E แล้วด้วยเช่นกัน ถือว่าสานต่อได้หลากหลายแนวทางอย่างมาก และในปีนี้ก็ครบรอบ 55 ปีของแบรนด์ Mustang ตัวนี้แล้วจากทางค่าย Ford ถือว่ายาวนานพอสมควร และ เราก็ได้มาอยู่กับ FORD Mustang 2.3L Ecoboost รุ่นพิเศษ 55th Anniversary ตัวครบรอบของรุ่นนี้
Ford Mustang 2.3L Ecoboost นั้นจริงๆเป็นสเปกที่ต้องบอกว่าเหมาะสำหรับการขับขี่ทั่วไป ไม่เน้นพละกำลังหรือความเร็วโหดอะไรมากนัก แต่จะได้ทรงของตัวรถที่เน้นสวยงามและการตกแต่งเดียวกับรุ่น 5.0 เลยนั้นเอง แต่ถ้ามองเรื่องของงานออกแบบทั้งหมดจะแตกต่างกันแค่ กระจังหน้า ตัวล้อ และ สัญลักษณ์ GT 5.0 เท่านั้นจริงๆ ซึ่งตัว 2.3L Ecoboost นั้นจริงๆก็รองรับการใช้งานได้ดีในการขับขี่ในเมืองทั่วไป อัตราสิ้นเปลืองที่ไม่โหดมากนัก รวมถึงกำลังเหลือๆต่อการขับขี่ และยังมีความดิบๆ เสียงก็ดุดันไม่ใช่น้อยแม้จะเป็นรุ่นเล็กก็ตามครับ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC Direct Injection Ti-VCT ขนาด 2.3 ลิตร พ่วงเทอร์โบ กำลังสูงสุด 290 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 441 นิวตันเมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อม Limited Slip Differential ส่งกำลังขับเคลื่อนล้อหลัง ความดิบๆตามสไตล์รถมะกันแบบนี้ครับ แน่นอน่วารุ่น 55 ปีนั้นจะได้จุดที่แตกต่างกับทั่วไปคือ ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ พร้อมกับ แดชบอร์ดหน้า พร้อมสัญลักษณ์ ” Fifty Five Years “ รวมถึงการใช้งาน เบาะคู่หน้า RECARO แค่นั้นเลย เสียดายว่าไม่มี Badge ในด้านข้างหรือด้านหลังบอกว่าครบรอบ 55 ปีครับ มีแค่ภายในเท่านั้น ส่วนออฟชั่นฟีเจอร์นั้นยังคงเหมือนกับรุ่นปกติทั้งหมด ใช้งาน ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว คู่หน้า – คู่หลัง 19″ x 9 J พร้อมกับ แอปพลิเคชัน Track Apps สนามแข่ง ไฟหน้า Projector Lens แบบ LED เปิด-ปิดไฟหน้า แบบอัตโนมัติ และ ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam อีกทั้งยังมี หน้าจอระบบสัมผัส Multi-Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple Carplay Android Auto และ ระบบเสียง B&O และใส่ระบบช่วยเหลือ ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System และ ระบบเบรกอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน AEB with Pedestrian Detection ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control และ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร Lane Keeping System ถือว่ายังคงจัดเต็มมาให้ครบๆแม้จะเป็นรถสปอร์ตก็ตามครับ
สำหรับทางด้านราคา ในรุ่น 2.3 EcoBoost Coupe’ Performance Pack 3,699,000 บาท พร้อมกับ นำเข้าทั้งคัน CBU จากโรงงาน Flat Rock Assembly Plant : Michigan, USA มาพร้อมแพ็กเกจ ” Ford Five Years Premium Care ” รับประกันตัวรถ Warranty นาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร รวมถึง ฟรี ค่าบำรุงรักษา Maintenance ฟรีค่าแรง และ ค่าอะไหล่ ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Asssistance 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี !
EXTERIOR
งานออกแบบภายนอกนั้นทางรุ่น 6 หน้าตานี้จะเป็นรุ่นที่มีการปรับเปลี่ยนหน้าตาเป็น Minorchange แล้วนั้นเองจะเปลี่ยนแปลงในด้านไฟหน้าเล็กน้อยครับ และข้างใน ส่วนชุดแต่งนั้นจะเป็นชุดแต่ง Performance Pack อยู่แล้วจึงได้ความดุดันความสปอร์ตถือว่าลงตัวมากๆครับ รวมถึงล้อที่ให้สีดำแบบนี้รูปทรงสวยงามและเสริมให้ตัวรถนั้นดูสปอร์ตมากขึ้น ทางด้านโลโก้ ม้ายังคงโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เช่นเดิมพร้อมกับรูปทรงตัวที่มีมัดกล้ามสมกับชื่อ Muscle Car และมีความใหญ่มากๆ แต่ระดับความสูงจากพื้นถือว่าสูงอยู่เหมือนกันขับในไทยสบายๆครับ มาพร้อมกับ ยาว x กว้าง x สูง 4,788 x 1,915 x 1,379 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,720 มิลลิเมตร ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd = 0.32 ก็ถือว่ารูปทรงขนาดตัวรถแอบใหญ่เอาเรื่อง เป็นขนาดเป็นสไตล์ของบรรดา Muscle Car
งานออกแบบภาพรวมนั้นต้องบอกว่าตั้งแต่รุ่นก่อนหน้าจนถึงรุ่นนี้ Gen 5-6 นั้นถือว่าเป็นรุ่นที่ดึงการออกแบบรูปทรงที่สวยและเตะตามากขึ้นอิงจากตำนานรุ่นแรกเลยทีเดียวมีความเป็นสันเหลี่ยมเป็น Muscle Car แบบแน่นๆทั้งเรื่องของรูปทรงและมัดกล้ามเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์แบบนี้ จะเห็นว่าตัวรถนั้นแอบมีความสูงจากพื้นถนนเยอะพอสมควรเหมือนกันไม่ได้เตี้ยมากนัก ก็ถือว่าเป็นข้อดีในการขับขี่บนถนนเมืองไทยเรา แต่ที่เด่นจริงๆคงเป็นรูปทรงกระโปรงหน้ายาวพร้อมกับ หลังคาลาด การวางบอดี้กว้างทำให้บนท้องถนนตัวนี้จะโดดเด่นอย่างมากเช่นกัน รวมถึงการใช้งานสีแดงตัดกับสีดำทำให้ตัวรถยนต์นั้นดูมีความดุดันมากขึ้นและดูไม่เรียบมากเกินไป ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
เมื่อมองหน้าตรงเราจะเห็นว่าตัวรถมีความดุดัน โหดทั้งเส้นสายกระจังหน้าหรือว่าจะเป็นไฟหน้ากดมุมต่ำทำให้ดูมีความเกรี้ยวกราดมากขึ้น กระจังหน้าพร้อมกับรูปทรงปากคว่ำและม้าตัวโตๆเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นที่สุดของค่ายนี้และในชุดแต่งที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งกับชนหน้าบอดี้ และ ฝากระโปรงบอกเลยว่าดูสวยลงตัวมากกว่าเดิม และด้านท้ายนั้นในไทยใจดีใส่ชุดแต่งมาให้ในด้านหลังและสปอยเลอร์ต่างๆทำให้มีความดุดันและไม่โล้นแบบรุ่นทั่วไปเยอะมากเมื่อมองตรงๆทั้งหน้าและท้ายตัวรถจะมีความตีโป่งข้างแบบเด่นๆทำให้ตัวรถนั้นดูบึกบึนมากกว่าเดิมชัดเจนมากครับ ในด้านหลังจะมาพร้อมกับท่อคู่ และ ไฟตัดหมอก พร้อมไฟถอยในด้านล่าง และการตกแต่งชายล่างสีดำเล็กน้อยครับ
เมื่อลองมองดูดีเทลในแต่ละจุดนั้นจะเห็นว่าเส้นสายอะไรนั้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนเปลี่ยนหน้าตาจะมีความซับซ้อนและคมมากขึ้นกว่าเดิมแม้จะเป็นรุ่น 2.3 แต่ก็ทำออกมาได้ประทับใจดูแรงไม่แตกต่างกับรุ่นพี่เลยแม้แต่น้อยกระจังหน้าขนาดใหญ่ทรงคว่ำเป็นเอกลักษณ์ของค่ายตระกุลนี้ พร้อมกับโลโก้ม้าขนาดใหญ่ รวมถึงบนฝากระโปรงมีช่องระบายทิศทางลมเสริมเข้ามาทำให้จัดการเรื่องอากาศไหลเวียนได้ดีกว่าเดิม และใส่ช่องดักลมในบริเณใต้ไฟเลี้ยวเสริมเข้ามาอีกเช่นกันรวมถึงลิ้นด้านหน้าสีดำด้านเป็นพลาสติกแอบน่าเสียดายไม่ใช่คาร์บอนครับ และช่องใต้ไฟหน้าด้วยเช่นกันแต่ส่วนใต้ไฟหน้าจะเป็นการตกแต่งสวยๆซะมากกว่านั้นเอง พร้อมกับโคมไฟที่เพรียวบางกว่ารุ่นก่อนเปลี่ยนหน้า
กระจกมองข้างในรุ่นนี้ยังคงไม่มีกล้องรอบคันใส่เข้ามาครับแต่จะเป็นการออกแบบที่มาพร้อมกับไฟเลี้ยวในตัวรวมถึงตัวยิงไฟลงพื้นสำหรับเวลากลางคืน ทางด้านล้อนั้นเป็นล้อสีดำจากโรงงานในขนาด 19 นิ้วพร้อมกับยาง Pirelli P Zero ขนาด 255/40 ZR19 และ เบรกคู่หน้า ขนาด 352 x 32 มิลลิเมตร – คู่หลัง ขนาด 330 x 25 มิลลิเมตร ถือว่าเป็นจุดแตกต่างกับรุ่นพี่ที่จะเป็นขนาดใหญ่ Brembo 6 pots นั้นเองส่วนตัวชายล่างตรงกลางนั้นจะเป็นชุดแต่งสีดำมาตรฐานเป็นพลาสติกสีดำด้านเช่นเดียวกับในด้านหน้า ทำให้มันมีมัดกล้ามเด่นขึ้นและดูสปอร์ตมากกว่าเดิม
ชายด้านล่างนั้นเราจะเห็นว่าท่อไอเสียยังคงใช้งานท่อไอเสียจริงอยู่แม้จะไม่ได้มีรูปทรงหรือขนาดใหญ่มากนักแต่ความดิบความที่ใช้งานท่อจริงๆเริ่มหายากขึ้นทุกวันในบรรดาค่ายรถยนต์จุดนี้ถือว่าชอบครับ พร้อมกับเซนเซอร์ด้านหลัง และไฟทับทิมในด้านล่างเสริมเข้ามาให้ ส่วนโลโก้ในด้านหลังส่วนบนนั้นจะเป็นรูปม้าป่า แต่ถ้าตัว 5.0 นั้นจะเป็น GT ครับทำให้มันค่อนข้างเป้นจุดหลักๆในการมองว่าตัวไหนรหัสเครื่องไหนนั้นเอง พร้อมกับวงกลม และพื้นหลังสีดำตัดกันได้อย่างลงตัวเลยทีเดียวครับ ส่วนชายด้านล่างนั้นจะเป็นไฟถอย 2 ดวงพร้อมกับไฟตัดหมอกตรงกลางเสริมเข้ามา
ไฟท้ายยังคงเป็นเอกลักษณ์ MUSTANG ดั้งเดิมในรุ่นแรกไฟท้ายแนวตั้งทั้ง 3 ขีดมองจากไกลก็ยังทราบเลยว่าเป็น ม้าป่า และแม้ว่า Mustang จะมีหลุดแนวทางออกไปบ้างแต่ก็กลับมาพร้อมกับงานออกแบบที่หายไปในรุ่นหลังๆและพัฒนาต่อมาจนถึงรุ่นนี้ได้ดี พร้อมกับไฟเบรกและไฟเลี้ยวในตัว ไฟเบรค 3 ช่อง และผสมกับไฟเลี้ยวมุมรถมีมิติสวยงามและเป็นไฟท้ายที่สวยมากๆคันนึงในท้องถนนครับ ส่วนไฟหน้ามีความเพียวมากขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า พร้อมกับไฟ LED ตัวหลัก และไฟ DRL 3 ขีดเอกลักษณ์ใส่เข้ามาให้ แต่น่าเสียดายว่าเป็นแค่ DRL เท่านั้นส่วนไฟหรี่จะเป็นส่วนขีดเส้นด้านล่างใต้ไฟเลี้ยว และไฟตัดหมอกในส่วนล่างเช่นกัน จริงๆน่าจะทำ DRL ให้เป็นไฟหรี่ในตัวน่าจะดีกว่า
ยามค่ำคืนนั้นเป็นจุดที่สวยงามอย่างมากในด้านท้ายรถเมื่อเปิดไฟครบทุกดวง ไฟท้ายโดดเด่นมาแต่ไกลทำงานร่วมกับไฟเบรกดวงที่ 3 ข้างบนพร้อมกับไฟตัดหมอกในด้านล่างทำให้ตัวรถนั้นดูเด่นมากเช่นกัน เรียกได้ว่ายามกลางคืนไฟท้ายทำได้ดีมากๆ ส่วนไฟหน้านั้นอาจจะไม่ได้หวือหวามากเท่าไรนักเป็นไฟตัดหมอกและไฟขีดเส้นส่วนด้านล่างสีขาวพร้อมกับไฟใหญ่ที่รองรับระบบไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam มีความสว่างระดับนึงเลยทีเดียวครับแต่ถ้ามองเทียบกับแสงความคมเทียบกับบรรดารุ่นใหม่ๆจริงๆนั้นไฟหน้าตัวนี้แอบยังไม่คมหรือว่าทะลุได้โหดเท่าไรนักครับ
[SR] รีวิว FORD MUSTANG 2.3 Ecoboost รุ่น 55th Anniversary ทรงสวย ขับสนุก สไตล์ดิบๆ !
MUSTANG ถือว่าเป็นรถยนต์ Muscle Car ที่หลายๆคนนั้นน่าจะรู้จักกันเป็นตำนานรุ่นนึงของทางค่ายนี้เลยก็ว่าได้เพราะว่าเป็นรุ่นที่มีความนิยมอย่างมากในเจนแรกๆทั้งรูปทรงและความสวยงามของตัวรถ เรียกได้ว่ากู้ชื่อของค่าย Ford เลยและในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่ 6 แล้ว ต้องบอกว่ารุ่นที่เป็นตำนาน จะเป็นรุ่น 1 และ รุ่นที่ 5 รวมถึงรุ่นที่ 6 ที่ยังคงความเป็น Muscle Car ได้และสวยลงตัว ก็ต้องบอกว่ารุ่น 2-4 นั้นแอบไม่ค่อยสวยเท่ารุ่นแรกซักเท่าไรนัก และถ้ามองถึงตัวแบรนด์หลายๆคนนั้น เมื่อเห็นสัญลักษณ์ม้าป่าก็น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี รวมถึงในยุคใหม่ก็เริ่มใช้ชื่อ Mustang ในการทำรถยนต์ไฟฟ้าของค่ายในชื่อ Mach-E แล้วด้วยเช่นกัน ถือว่าสานต่อได้หลากหลายแนวทางอย่างมาก และในปีนี้ก็ครบรอบ 55 ปีของแบรนด์ Mustang ตัวนี้แล้วจากทางค่าย Ford ถือว่ายาวนานพอสมควร และ เราก็ได้มาอยู่กับ FORD Mustang 2.3L Ecoboost รุ่นพิเศษ 55th Anniversary ตัวครบรอบของรุ่นนี้
Ford Mustang 2.3L Ecoboost นั้นจริงๆเป็นสเปกที่ต้องบอกว่าเหมาะสำหรับการขับขี่ทั่วไป ไม่เน้นพละกำลังหรือความเร็วโหดอะไรมากนัก แต่จะได้ทรงของตัวรถที่เน้นสวยงามและการตกแต่งเดียวกับรุ่น 5.0 เลยนั้นเอง แต่ถ้ามองเรื่องของงานออกแบบทั้งหมดจะแตกต่างกันแค่ กระจังหน้า ตัวล้อ และ สัญลักษณ์ GT 5.0 เท่านั้นจริงๆ ซึ่งตัว 2.3L Ecoboost นั้นจริงๆก็รองรับการใช้งานได้ดีในการขับขี่ในเมืองทั่วไป อัตราสิ้นเปลืองที่ไม่โหดมากนัก รวมถึงกำลังเหลือๆต่อการขับขี่ และยังมีความดิบๆ เสียงก็ดุดันไม่ใช่น้อยแม้จะเป็นรุ่นเล็กก็ตามครับ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC Direct Injection Ti-VCT ขนาด 2.3 ลิตร พ่วงเทอร์โบ กำลังสูงสุด 290 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 441 นิวตันเมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อม Limited Slip Differential ส่งกำลังขับเคลื่อนล้อหลัง ความดิบๆตามสไตล์รถมะกันแบบนี้ครับ แน่นอน่วารุ่น 55 ปีนั้นจะได้จุดที่แตกต่างกับทั่วไปคือ ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ พร้อมกับ แดชบอร์ดหน้า พร้อมสัญลักษณ์ ” Fifty Five Years “ รวมถึงการใช้งาน เบาะคู่หน้า RECARO แค่นั้นเลย เสียดายว่าไม่มี Badge ในด้านข้างหรือด้านหลังบอกว่าครบรอบ 55 ปีครับ มีแค่ภายในเท่านั้น ส่วนออฟชั่นฟีเจอร์นั้นยังคงเหมือนกับรุ่นปกติทั้งหมด ใช้งาน ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว คู่หน้า – คู่หลัง 19″ x 9 J พร้อมกับ แอปพลิเคชัน Track Apps สนามแข่ง ไฟหน้า Projector Lens แบบ LED เปิด-ปิดไฟหน้า แบบอัตโนมัติ และ ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam อีกทั้งยังมี หน้าจอระบบสัมผัส Multi-Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple Carplay Android Auto และ ระบบเสียง B&O และใส่ระบบช่วยเหลือ ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System และ ระบบเบรกอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน AEB with Pedestrian Detection ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control และ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร Lane Keeping System ถือว่ายังคงจัดเต็มมาให้ครบๆแม้จะเป็นรถสปอร์ตก็ตามครับ
สำหรับทางด้านราคา ในรุ่น 2.3 EcoBoost Coupe’ Performance Pack 3,699,000 บาท พร้อมกับ นำเข้าทั้งคัน CBU จากโรงงาน Flat Rock Assembly Plant : Michigan, USA มาพร้อมแพ็กเกจ ” Ford Five Years Premium Care ” รับประกันตัวรถ Warranty นาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร รวมถึง ฟรี ค่าบำรุงรักษา Maintenance ฟรีค่าแรง และ ค่าอะไหล่ ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Asssistance 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี !
EXTERIOR
งานออกแบบภายนอกนั้นทางรุ่น 6 หน้าตานี้จะเป็นรุ่นที่มีการปรับเปลี่ยนหน้าตาเป็น Minorchange แล้วนั้นเองจะเปลี่ยนแปลงในด้านไฟหน้าเล็กน้อยครับ และข้างใน ส่วนชุดแต่งนั้นจะเป็นชุดแต่ง Performance Pack อยู่แล้วจึงได้ความดุดันความสปอร์ตถือว่าลงตัวมากๆครับ รวมถึงล้อที่ให้สีดำแบบนี้รูปทรงสวยงามและเสริมให้ตัวรถนั้นดูสปอร์ตมากขึ้น ทางด้านโลโก้ ม้ายังคงโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เช่นเดิมพร้อมกับรูปทรงตัวที่มีมัดกล้ามสมกับชื่อ Muscle Car และมีความใหญ่มากๆ แต่ระดับความสูงจากพื้นถือว่าสูงอยู่เหมือนกันขับในไทยสบายๆครับ มาพร้อมกับ ยาว x กว้าง x สูง 4,788 x 1,915 x 1,379 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,720 มิลลิเมตร ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd = 0.32 ก็ถือว่ารูปทรงขนาดตัวรถแอบใหญ่เอาเรื่อง เป็นขนาดเป็นสไตล์ของบรรดา Muscle Car
งานออกแบบภาพรวมนั้นต้องบอกว่าตั้งแต่รุ่นก่อนหน้าจนถึงรุ่นนี้ Gen 5-6 นั้นถือว่าเป็นรุ่นที่ดึงการออกแบบรูปทรงที่สวยและเตะตามากขึ้นอิงจากตำนานรุ่นแรกเลยทีเดียวมีความเป็นสันเหลี่ยมเป็น Muscle Car แบบแน่นๆทั้งเรื่องของรูปทรงและมัดกล้ามเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์แบบนี้ จะเห็นว่าตัวรถนั้นแอบมีความสูงจากพื้นถนนเยอะพอสมควรเหมือนกันไม่ได้เตี้ยมากนัก ก็ถือว่าเป็นข้อดีในการขับขี่บนถนนเมืองไทยเรา แต่ที่เด่นจริงๆคงเป็นรูปทรงกระโปรงหน้ายาวพร้อมกับ หลังคาลาด การวางบอดี้กว้างทำให้บนท้องถนนตัวนี้จะโดดเด่นอย่างมากเช่นกัน รวมถึงการใช้งานสีแดงตัดกับสีดำทำให้ตัวรถยนต์นั้นดูมีความดุดันมากขึ้นและดูไม่เรียบมากเกินไป ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
เมื่อมองหน้าตรงเราจะเห็นว่าตัวรถมีความดุดัน โหดทั้งเส้นสายกระจังหน้าหรือว่าจะเป็นไฟหน้ากดมุมต่ำทำให้ดูมีความเกรี้ยวกราดมากขึ้น กระจังหน้าพร้อมกับรูปทรงปากคว่ำและม้าตัวโตๆเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นที่สุดของค่ายนี้และในชุดแต่งที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งกับชนหน้าบอดี้ และ ฝากระโปรงบอกเลยว่าดูสวยลงตัวมากกว่าเดิม และด้านท้ายนั้นในไทยใจดีใส่ชุดแต่งมาให้ในด้านหลังและสปอยเลอร์ต่างๆทำให้มีความดุดันและไม่โล้นแบบรุ่นทั่วไปเยอะมากเมื่อมองตรงๆทั้งหน้าและท้ายตัวรถจะมีความตีโป่งข้างแบบเด่นๆทำให้ตัวรถนั้นดูบึกบึนมากกว่าเดิมชัดเจนมากครับ ในด้านหลังจะมาพร้อมกับท่อคู่ และ ไฟตัดหมอก พร้อมไฟถอยในด้านล่าง และการตกแต่งชายล่างสีดำเล็กน้อยครับ
เมื่อลองมองดูดีเทลในแต่ละจุดนั้นจะเห็นว่าเส้นสายอะไรนั้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนเปลี่ยนหน้าตาจะมีความซับซ้อนและคมมากขึ้นกว่าเดิมแม้จะเป็นรุ่น 2.3 แต่ก็ทำออกมาได้ประทับใจดูแรงไม่แตกต่างกับรุ่นพี่เลยแม้แต่น้อยกระจังหน้าขนาดใหญ่ทรงคว่ำเป็นเอกลักษณ์ของค่ายตระกุลนี้ พร้อมกับโลโก้ม้าขนาดใหญ่ รวมถึงบนฝากระโปรงมีช่องระบายทิศทางลมเสริมเข้ามาทำให้จัดการเรื่องอากาศไหลเวียนได้ดีกว่าเดิม และใส่ช่องดักลมในบริเณใต้ไฟเลี้ยวเสริมเข้ามาอีกเช่นกันรวมถึงลิ้นด้านหน้าสีดำด้านเป็นพลาสติกแอบน่าเสียดายไม่ใช่คาร์บอนครับ และช่องใต้ไฟหน้าด้วยเช่นกันแต่ส่วนใต้ไฟหน้าจะเป็นการตกแต่งสวยๆซะมากกว่านั้นเอง พร้อมกับโคมไฟที่เพรียวบางกว่ารุ่นก่อนเปลี่ยนหน้า
กระจกมองข้างในรุ่นนี้ยังคงไม่มีกล้องรอบคันใส่เข้ามาครับแต่จะเป็นการออกแบบที่มาพร้อมกับไฟเลี้ยวในตัวรวมถึงตัวยิงไฟลงพื้นสำหรับเวลากลางคืน ทางด้านล้อนั้นเป็นล้อสีดำจากโรงงานในขนาด 19 นิ้วพร้อมกับยาง Pirelli P Zero ขนาด 255/40 ZR19 และ เบรกคู่หน้า ขนาด 352 x 32 มิลลิเมตร – คู่หลัง ขนาด 330 x 25 มิลลิเมตร ถือว่าเป็นจุดแตกต่างกับรุ่นพี่ที่จะเป็นขนาดใหญ่ Brembo 6 pots นั้นเองส่วนตัวชายล่างตรงกลางนั้นจะเป็นชุดแต่งสีดำมาตรฐานเป็นพลาสติกสีดำด้านเช่นเดียวกับในด้านหน้า ทำให้มันมีมัดกล้ามเด่นขึ้นและดูสปอร์ตมากกว่าเดิม
ชายด้านล่างนั้นเราจะเห็นว่าท่อไอเสียยังคงใช้งานท่อไอเสียจริงอยู่แม้จะไม่ได้มีรูปทรงหรือขนาดใหญ่มากนักแต่ความดิบความที่ใช้งานท่อจริงๆเริ่มหายากขึ้นทุกวันในบรรดาค่ายรถยนต์จุดนี้ถือว่าชอบครับ พร้อมกับเซนเซอร์ด้านหลัง และไฟทับทิมในด้านล่างเสริมเข้ามาให้ ส่วนโลโก้ในด้านหลังส่วนบนนั้นจะเป็นรูปม้าป่า แต่ถ้าตัว 5.0 นั้นจะเป็น GT ครับทำให้มันค่อนข้างเป้นจุดหลักๆในการมองว่าตัวไหนรหัสเครื่องไหนนั้นเอง พร้อมกับวงกลม และพื้นหลังสีดำตัดกันได้อย่างลงตัวเลยทีเดียวครับ ส่วนชายด้านล่างนั้นจะเป็นไฟถอย 2 ดวงพร้อมกับไฟตัดหมอกตรงกลางเสริมเข้ามา
ไฟท้ายยังคงเป็นเอกลักษณ์ MUSTANG ดั้งเดิมในรุ่นแรกไฟท้ายแนวตั้งทั้ง 3 ขีดมองจากไกลก็ยังทราบเลยว่าเป็น ม้าป่า และแม้ว่า Mustang จะมีหลุดแนวทางออกไปบ้างแต่ก็กลับมาพร้อมกับงานออกแบบที่หายไปในรุ่นหลังๆและพัฒนาต่อมาจนถึงรุ่นนี้ได้ดี พร้อมกับไฟเบรกและไฟเลี้ยวในตัว ไฟเบรค 3 ช่อง และผสมกับไฟเลี้ยวมุมรถมีมิติสวยงามและเป็นไฟท้ายที่สวยมากๆคันนึงในท้องถนนครับ ส่วนไฟหน้ามีความเพียวมากขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า พร้อมกับไฟ LED ตัวหลัก และไฟ DRL 3 ขีดเอกลักษณ์ใส่เข้ามาให้ แต่น่าเสียดายว่าเป็นแค่ DRL เท่านั้นส่วนไฟหรี่จะเป็นส่วนขีดเส้นด้านล่างใต้ไฟเลี้ยว และไฟตัดหมอกในส่วนล่างเช่นกัน จริงๆน่าจะทำ DRL ให้เป็นไฟหรี่ในตัวน่าจะดีกว่า
ยามค่ำคืนนั้นเป็นจุดที่สวยงามอย่างมากในด้านท้ายรถเมื่อเปิดไฟครบทุกดวง ไฟท้ายโดดเด่นมาแต่ไกลทำงานร่วมกับไฟเบรกดวงที่ 3 ข้างบนพร้อมกับไฟตัดหมอกในด้านล่างทำให้ตัวรถนั้นดูเด่นมากเช่นกัน เรียกได้ว่ายามกลางคืนไฟท้ายทำได้ดีมากๆ ส่วนไฟหน้านั้นอาจจะไม่ได้หวือหวามากเท่าไรนักเป็นไฟตัดหมอกและไฟขีดเส้นส่วนด้านล่างสีขาวพร้อมกับไฟใหญ่ที่รองรับระบบไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam มีความสว่างระดับนึงเลยทีเดียวครับแต่ถ้ามองเทียบกับแสงความคมเทียบกับบรรดารุ่นใหม่ๆจริงๆนั้นไฟหน้าตัวนี้แอบยังไม่คมหรือว่าทะลุได้โหดเท่าไรนักครับ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้