พล็อตนิยาย สมมติว่าเป็นจักรวาลคู่ขนานนะ
..ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ใช่เทพเจ้า แต่เป็นอัจฉริยะจากโลกอนาคตล่ะ..
ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลังๆ เสพไลท์โนเวล มังงะ ภาพยนตร์ ซีรีย์ แนวย้อนเวลา ข้ามโลก มาเยอะมาก แล้วเกิดนึกสนุกบ้าง อยากจินตนาการขึ้นมาว่า แล้วถ้าเรื่องใกล้ตัวที่เราเรียนมาตั้งแต่ยังเด็กๆ เกิดเป็นแนวย้อนเวลาขึ้นมาล่ะ ยิ่งคิดยิ่งมันส์ หาคนช่วยกันคิดด้วยดีกว่า คิดกันหลายๆคนน่าจะสนุก
เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นละเอียดอ่อน หากทำให้ใครไม่ถูกใจ ต้องขออภัยล่วงหน้าไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ สมมติว่า พล็อตเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ใน earth 616 ของเราแล้วกันนะครับ
เอาเลยนะ...
- ดั่งในจารึกประวัติศาสตร์ที่ท่านบอกไว้ว่า ท่านไม่ใช่เทพเจ้า เป็นเพียงมนุษย์เฉกเช่นเดียวกับเราๆทุกคน
- ทำไมยิ่งวิทยาศาสตร์ยิ่งก้าวเดินไปข้างหน้า องค์ความรู้ใหม่ๆ มากมาย กลับยิ่งมีความคล้ายคลึงกับหลักคำสอนหรือสิ่งที่เคยกล่าวถึงไว้ในพุทธคัมภีร์กันล่ะ
- อริยสัจ? กาลามสูตร? นี่มันตรรกศาสตร์ หลักการแห่งเหตุและผล กระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่หรือ?
- อนิจจัง วัฏสังขารา? ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง, ไม่แน่นอน, ไม่คงที่, เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ..? ตามหลักพื้นฐานของกลศาสตร์ควอนตัม ทุกอนุภาคล้วนมีคุณสมบัติเป็นทั้งอนุภาคและเป็นทั้งคลื่นได้ในเวลาเดียวกันไม่ใช่หรือไง?
- พยุหจักรวาล?? ไกล ไกลออกไปพ้นขอบเขตท้องฟ้าสังเกตการณ์จักรวาลที่วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันของเราไปถึงก็เริ่มพูดถึงการมีอยู่ของตัวตนของจักรวาลอื่นๆ ที่ใช้กฎฟิสิกส์ของจักรวาลเราไม่ได้ ไม่ใช่รึ?
- แม้แต่บั้นปลายชีวิตของไอนสไตน์ผู้เปลี่ยนโลกด้วยสมการ e=mc2 ยังกล่าวเรียก พุทธศาสนาว่าศาสนาแห่งจักรวาลเลยนะ
“Buddhism has the characteristics of what would be expected in a cosmic religion for the future"
(อันนี้เรื่องจริง ไม่เชื่อไป search google ดูได้)
- ปาฏิหารย์ในพุทธประวัติมากมายไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากใช้เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันหรือล้ำหน้าไปในอนาคตยิ่งกว่าตอนนี้
- ทำไมเราถึงจะเรียกรวมตัวเพื่อนร่วมกิลด์กว่า 1250 คนไม่ได้ ถ้าเรามีเพจเจอร์หรือสมาร์ทโฟนแห่งโลกอนาคต?
- ลองนึกภาพโดเรมอนหลุดไปในอินเดียสมัยพุทธกาลดู ต่อให้เหาะเหินเดินอากาศได้ ก็คงไม่น่าแปลกใจเสียด้วยซ้ำ
(ภาพประกอบ: มือโดเรมอน ถือคอปเตอร์ไม้ไผ่)
- ถ้าหากท่านไม่ใช่เทพเจ้า แต่เป็นมนุษย์ตัวคนเดียวจากอนาคตที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอดีต แล้วพบว่าการโยนองค์ความรู้หรือเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้าไปยังสังคมที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังกราบไหว้บูชาเทพเจ้า อยากให้ลูกสอบติดก็ไปกราบไหว้เทพที่มีศีรษะเป็นช้าง นั้นไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง เขาควรจะทำอย่างไรดี...
- ในเมื่อในพุทธประวัติมีกล่าวไว้ว่า ศาสนาของเราจะดำรงอยู่ได้ 5000 ปี งั้นจุดเริ่มต้นในนิยายเรื่องนี้คงต้องเริ่มจาก อดีตของพระเอก..ไม่สิต้องเรียกว่าเรื่องราวในอนาคตของ " อรรถ" นักฟิสิกส์อัจฉริยะผู้มาจากปีพ.ศ.5000 ก็แล้วกัน..
- setting อยู่ในโลกอนาคต ภายหลังจากการระเบิดครั้งใหญ่ของการทดลองอาวุธมหาประลัย เรือดำน้ำอนุภาคอัจฉริยะ 14.0 เมื่อราว 2,000 ปีก่อน (อีกราว500ปีข้างหน้านับจากปัจจุบัน) ซึ่งเกิดขึ้นในดินแดนแถบหนึ่งบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ชื่อว่าเอเชีย "นคร atlandth@i.s ที่สาปสูญ" เศษซากของหน้าประวัติศาสตร์บันทึกไว้เพียงว่า เพียงเพราะความบ้าอำนาจของคนกลุ่มหนึ่ง ได้พัฒนาอาวุธที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโลกไปตลอดกาล
- การทดลองอาวุธลับของรัฐบาลที่ผิดพลาด ทำให้เกิดฝุ่นมรณะที่ผสมผสานเข้ากับเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ "PM 2.5 alpha - covida 500" ที่ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตที่สัมผัสเหี่ยวแห้งชราลงกลายเป็นซากศพภายในไม่กี่วินาที (คล้ายๆฝนในเกม death stranding) ฝุ่นนี้กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ทางรัฐจะเร่งแก้ปัญหาโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ท่อพ่นน้ำที่ผ่านการพัฒนาจนใหญ่ยักษ์ทำลายสถิติกินเนสบุ๊กแล้วก็ตาม ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความ
ที่กระจายออกไปทั่วทั้งโลกได้ โชคยังดีที่วิทยาการด้านอวกาศของโลก อยู่ในระยะที่สามารถส่งประชากรบางส่วนออกไปอาศัยอยู่ตามดาวอังคาร และดวงจันทร์ของดาวพฤหัสและดาวเสาร์ได้แล้ว จึงทำให้มนุษยชาติรอดพ้นจากการสูญสิ้น แต่นั่นก็ทำให้ความรู้และอารยธรรมของมนุษยชาติเสื่อมถอยลงไปนับพันปีทีเดียว โดยเฉพาะความรู้ทางการแพทย์ เพราะ ประชากรส่วนใหญ่ รวมทั้งหมอที่ออกไปปฏิบัติงานในแนวหน้าตายไปเกือบทั้งหมด เหลือไว้เพียงระดับผู้นำของกระทรวง อะแฮ่ม.. องค์กร และเหล่าชนชั้นบนของสังคมที่สามารถจ่ายเงินราคามหาศาลให้กับบริษัทเดินทางอวกาศของอีลั่น ม็อก เท่านั้นที่สามารถพาตัวเองและครอบครัวหนีออกสู่อวกาศได้สำเร็จ
(ขอเสริมนิด: กลัวมีคนทักว่า การทดลองเรือดำน้ำแล้วทำไมระเบิดเป็นฝุ่นเชื้อโรคในอากาศได้ จริงๆ คือเป็นเรือดำน้ำที่ตั้งอยู่บนบกน่ะครับ ซื้อมาแล้วใช้ไม่ได้ จะไว้จัดแสดงในงานวันเด็กก็กลัวคนหาว่าผลาญงบ เลยเอามาทำชิ้นส่วนระเบิดแทน)
...ท้าวความประวัติศาสตร์จบแล้ว...กลับมาที่ประมาณปี พ.ศ.5000 กัน
บนสถานีอวกาศขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่บนดวงจันทร์ไอโอ ซึ่งโคจรอยู่รอบดาวพฤหัส สภาพแวดล้อมที่นี่ถูกปรับให้เหมาะกับการดำรงชีวิตแล้ว
"อรรถ" พระเอกของเรา ตอนนี้กำลังทำงานให้องค์กรเอกชนนา..นาดาว ที่ไม่หวังผลตอบแทนในการเป็นหัวหน้าทีมพัฒนาเทคโนโลยีย้อนเวลา หรือ ไทม์แมชชีนที่เขาใฝ่ฝันมาตั้งแต่ดูช่องสาธุ 999 การ์ตูนในวัยเด็ก โชคดีที่เขาเรียนเก่งและขยันมาตลอด ถึงแม้ว่า คุณครูในโรงเรียนประถมของเขาจะเคยให้ศูนย์คะแนน แล้วเขียนตัวแดงๆว่า "เป็นไปไม่ได้" ในโจทย์คำถามว่า อนาคตอยากโตขึ้นเป็นอะไรก็ตาม แต่เขาก็ไต่เต้าจนเป็นนักฟิสิกส์ชั้นนำของระบบสุริยะได้สำเร็จ ตอนนี้การทดลองอยู่ในเฟสสุดท้ายแล้ว เหลือเพียงการทดลองเดินเครื่องจริงที่จะเริ่มกันในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าเท่านั้น นักฟิสิกส์ทั่วระบบสุริยะในอดีตล้วนปวดหัวมาตลอดว่า ทำยังไงเราถึงจะเคลื่อนที่ให้เร็วกว่าแสงได้ เพราะตราบใดที่ยังเร็วกว่าแสงไม่ได้ การย้อนเวลาก็คงเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ต้องขอบคุณวิดิโอที่เพิ่งถูกขุดพบจากพื้นโลกเมื่อไม่นานมานี้ ที่ว่าด้วยสมการการคำนวณให้รถเฟอรารี่สีบรอนซ์เทาที่ขับมาไวจนมองตามแทบไม่ทัน คำนวณออกมาว่า วิ่งด้วยความเร็วไม่เกินกฎหมายจราจรได้ เขาร้องว้าว ยูเรก้ากับมันมาก ทำไมไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อนเลยนะ ถ้าเราทำความเร็วให้มากกว่าแสงไม่ได้ งั้นเราก็หลอกให้อนุภาคทั้งจักรวาลเชื่อว่า แสงวิ่งด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ได้นี่หว่า.. (ขอกาวเพิ่มแปบ)
เนื่องจากเป็นช่วงเวลาสำคัญของโปรเจคต์ เขาจึงแทบไม่ได้ออกไปไหนมาหลายสัปดาห์แล้ว ถ้าไม่ติดว่า วันนี้เป็นวันเกิดของ "อาย่า" แฟนสาวที่คบกันมาสิบกว่าปี เขาคงไม่ออกมาจากห้องทดลองเป็นแน่
สถานที่นัดเดทของพวกเขา คือ ดิสนีย์แลนด์ประจำดาวไอโอ ซึ่งเขามั่นใจว่า อาย่าจะต้องชอบที่นี่มากแน่ๆ สิ่งที่เขาเรียนรู้จากการคบกันมาหลายปี ก็คือ แม่ของเธอเป็นติ่งดิสนีย์ตัวแม่ ชื่อของเธอเลยเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "Ayar" ซึ่งเป็นการเล่นคำกลับตัวอักษรมาจาก "Raya" เจ้าหญิงดิสนีย์ที่มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนบ้านเกิดบรรพบุรุษของเธอก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่ดาวนี้เมื่อ 2500 ปีที่แล้ว และเธอได้รับเชื้อติ่งดิสนีย์มาจากแม่ของเธอมาเต็มๆ
เมื่อถึงเวลานัดพบ.. อรรถ กับ อาย่า ก็มาพบกันที่หน้าสวนสนุก อาย่าในชุดสีฟ้าอ่อน รับกับผิวพม่า นัยน์ตาแขก ของเธอ โครงหน้ามีความคมเด่นนิดๆ ออกๆไปทางสาวอินเดีย นี่ถ้าตำราประวัติศาสตร์โลกไม่เลือนหายไปกับอดีต คนที่พบเห็นคงต้องคิดว่าเธอสืบเชื้อสายมาจากอินเดีย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเป็นแน่... น่าเสียดายที่ภายใต้ใบหน้าที่สวยได้รูปนั้น เจือไปด้วยขอบตาที่ซีดขาวเล็กน้อย กับ ผมที่มีร่องรอยการร่วงโรยของการได้รับเคมีบำบัดอยู่ด้วย ใช่แล้ว นางเอกของนิยายถ้าจะเป็นโรคอะไรซักโรค มันก็ต้อง "ลิวคีเมีย" อยู่แล้ว จะเป็นโรคอื่นไปได้ยังไง
อาย่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะที่สี่ รับยาคีโมมาหลายครั้งแล้วแต่อาการยังไม่ค่อยดีขึ้นนัก หมอบอกว่าเธอคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนัก อาย่าเองเคยบ่นรำพึงกับอรรถว่า "น่าเสียดายจัง ถ้าการแพทย์ไม่ได้ถดถอยไปในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้น ป่านนี้เราคงมีวิธีรักษาโรคบ้าๆนี่ให้หายขาดได้แล้ว" ประโยคที่สมแล้วกับที่เป็นเธอ อาจารย์ภาควิชาโบราณคดี เอกวิชาประวัติศาสตร์โลกเก่า ของมหาวิทยาลัยไอโอ
"เอาล่ะ วันนี้เราจะเล่นอะไรก่อนดี"
"ดวลไลท์เซเบอร์ สะตอ วาร์ กันดีมั้ย"
"มันไม่ได้ชื่อ สตาร์ วอร์เรอะ"
"ผ่าม..."
อรรถหัวเราะให้กับมุขแป้กๆ ของอาย่า แล้วทั้งคู่ก็พากันไปเล่นดวลดาบไลท์เซเบอร์ ซึ่งมีกฎอยู่ว่า คนนึงจะต้องรับบทเป็น sith อีกคนเป็น jedi แล้วดวลดาบที่มีเสียงหึ่งๆกันไปมา เขาไม่รู้ว่ามันสนุกยังไง แต่อาย่าชอบมาก เพราะ เล่นทีไรเธอชนะเขาทุกที
"นายรับบทเป็น sith ไปก็แล้วกัน"
อาย่าพูดพร้อมกับยื่นป้ายชื่อเรืองแสงมาติดที่หน้าอกของอรรถ ป้ายที่มีเทคโนโลยีแปลภาษาให้เข้ากับตาของคนที่อ่านป้ายซึ่งดิสนีย์ภูมิใจกับมันมาก ถึงกับโฆษณาตัวโตๆ "ดิสนีย์แลนด์ ดินแดนที่ไร้พรมแดนทางภาษา พอกันทีกับการไปดิสนีย์แลนด์ต่างประเทศแล้วฟังมันพูดพึมพำอะไรก็ไม่รู้ แล้วคนท้องถิ่นรอบๆก็หัวเราะครืนเหมือนมันต้องเป็นอะไรซักอย่างที่ตลกมากๆ" (ใครเคยไปดิสนีย์แลนด์ที่ญี่ปุ่นน่าจะได้ดื่มด่ำความรู้สึกนี้กันมาแล้ว)
แน่นอนว่าเกมจบลงที่ความปราชัยของอรรถอย่างที่คิด หลังจากนั้นทั้งคู่ก็สนุกอยู่กับโซนต่างๆ ของดิสนีย์แลนด์ทั้งวันจนพลบค่ำ ท้องฟ้าเริ่มมืด พวกเขาเดินผ่านซุ้มขายของที่ระลึก อาย่าชอบรองเท้าคู่หนึ่งมากๆ มันเป็นรองเท้าที่เวลาเดินแล้วจะปล่อยแสงโปรเจคเตอร์เล็กๆ ออกไปรอบๆ เหมือนน้ำแข็งคล้ายๆ ของราชินีหิมะเอลซ่า เธอเลือกมาสองคู่ก่อนจะส่งมาให้อรรถคู่นึง
"นายเอาคู่ที่มันฟุ้งๆออกมาเป็นลายดอกบัวก็แล้วกัน ชั้นชอบคู่นี้มากเลย มาใส่คู่กันนะ" (ภาพประกอบ: ลอง search หารูปแก้วน้ำชาลายดอกไม้ ของร้าน en tea house ที่ teamlab borderless ที่เป็นพิพิธภัณฑ์แสงสีที่โอไดบะ ญี่ปุ่นดูนะ แล้วเปลี่ยนภาพมโนจากแก้วเป็นรองเท้าแทน
ตัวอย่าง:
https://youtu.be/Kmvi-O86vKo )
"ไม่เอาอะ มันน่าอายออกจะตายไป ผู้ชายแท้ๆทั้งแท่งที่ไหนเขาใส่รองเท้าแบบนี้เดินไปไหนมาไหนกัน"
"งั้นใส่เฉพาะวันนี้ก็ได้ นี่วันเกิดชั้นนะ ตามใจชั้นหน่อยสิ"
สุดท้าย อรรถก็ต้องยอมตามใจอาย่าในที่สุด
ก่อนที่อรรถจะตัดสินใจชวนอาย่าไปปิดท้ายเดทด้วยการไปขึ้นชิงช้าสวรรค์สุดโรแมนติกแบบใหม่ล่าสุด ที่ออกแบบโดยอดีตบริษัทพิซซ่าชื่อดัง พร้อมสโลแกน "ไม่มีก้าน มีแต่ขอบ" (ล้อพิซซ่าขายแต่ขอบของ pizza company)
ระหว่างนั่งกินไอติมรอขึ้นชิงช้าสวรรค์ อาย่าก็ชวนอรรถคุยสัพเพเหระเกี่ยวกับงานที่มหาลัยของเธอ
"นี่ นายรู้หรือเปล่า จริงๆแล้วดาวไอโอที่เราอยู่กันนี่น่ะ ชื่อมันไม่ได้มีที่มา มาจากชื่อขององค์กรข้อมูลลับระหว่างประเทศชื่อเสีย(ง)โด่งดังในอดีต ซึ่งเป็นกลุ่มผู้อพยพกลุ่มใหญ่ ที่กลายมาเป็นบรรพบุรุษของประชากรหลักของดาวดวงนี้อย่างที่เขียนไว้ในหนังสือเรียนหรอกนะ จริงๆแล้วชื่อนี้มันตั้งมาก่อนหน้านั้นหลายร้อยปีทีเดียว แต่พอศาสตราจารย์รุ่นพี่ของชั้นพยายามจะออกมาเปิดเผยข้อมูล ก็ถูกหาว่า บิดเบือนประวัติศาสตร์ เป็นพวกชังดาวไปซะได้"
แต่ก่อนที่อรรถจะหันไปตอบ..ก็มีเสียงขัดขึ้นมา
"ถึงคิวแล้วค่ะ รับขนมจีบซาลาเปา ทานเพิ่มบนชิงช้าสวรรค์ด้วยไหมคะ"
เขารีบปฏิเสธทันควัน มันคงไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกเสียซักเท่าไหร่
"ขอเป็นสาหร่ายห่อกุ้งสองไม้แทนแล้วกันครับ"
ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ใช่เทพเจ้า แต่เป็นอัจฉริยะจากโลกอนาคตล่ะ..
..ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ใช่เทพเจ้า แต่เป็นอัจฉริยะจากโลกอนาคตล่ะ..
ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลังๆ เสพไลท์โนเวล มังงะ ภาพยนตร์ ซีรีย์ แนวย้อนเวลา ข้ามโลก มาเยอะมาก แล้วเกิดนึกสนุกบ้าง อยากจินตนาการขึ้นมาว่า แล้วถ้าเรื่องใกล้ตัวที่เราเรียนมาตั้งแต่ยังเด็กๆ เกิดเป็นแนวย้อนเวลาขึ้นมาล่ะ ยิ่งคิดยิ่งมันส์ หาคนช่วยกันคิดด้วยดีกว่า คิดกันหลายๆคนน่าจะสนุก
เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นละเอียดอ่อน หากทำให้ใครไม่ถูกใจ ต้องขออภัยล่วงหน้าไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ สมมติว่า พล็อตเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ใน earth 616 ของเราแล้วกันนะครับ
เอาเลยนะ...
- ดั่งในจารึกประวัติศาสตร์ที่ท่านบอกไว้ว่า ท่านไม่ใช่เทพเจ้า เป็นเพียงมนุษย์เฉกเช่นเดียวกับเราๆทุกคน
- ทำไมยิ่งวิทยาศาสตร์ยิ่งก้าวเดินไปข้างหน้า องค์ความรู้ใหม่ๆ มากมาย กลับยิ่งมีความคล้ายคลึงกับหลักคำสอนหรือสิ่งที่เคยกล่าวถึงไว้ในพุทธคัมภีร์กันล่ะ
- อริยสัจ? กาลามสูตร? นี่มันตรรกศาสตร์ หลักการแห่งเหตุและผล กระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่หรือ?
- อนิจจัง วัฏสังขารา? ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง, ไม่แน่นอน, ไม่คงที่, เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ..? ตามหลักพื้นฐานของกลศาสตร์ควอนตัม ทุกอนุภาคล้วนมีคุณสมบัติเป็นทั้งอนุภาคและเป็นทั้งคลื่นได้ในเวลาเดียวกันไม่ใช่หรือไง?
- พยุหจักรวาล?? ไกล ไกลออกไปพ้นขอบเขตท้องฟ้าสังเกตการณ์จักรวาลที่วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันของเราไปถึงก็เริ่มพูดถึงการมีอยู่ของตัวตนของจักรวาลอื่นๆ ที่ใช้กฎฟิสิกส์ของจักรวาลเราไม่ได้ ไม่ใช่รึ?
- แม้แต่บั้นปลายชีวิตของไอนสไตน์ผู้เปลี่ยนโลกด้วยสมการ e=mc2 ยังกล่าวเรียก พุทธศาสนาว่าศาสนาแห่งจักรวาลเลยนะ
“Buddhism has the characteristics of what would be expected in a cosmic religion for the future"
(อันนี้เรื่องจริง ไม่เชื่อไป search google ดูได้)
- ปาฏิหารย์ในพุทธประวัติมากมายไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากใช้เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันหรือล้ำหน้าไปในอนาคตยิ่งกว่าตอนนี้
- ทำไมเราถึงจะเรียกรวมตัวเพื่อนร่วมกิลด์กว่า 1250 คนไม่ได้ ถ้าเรามีเพจเจอร์หรือสมาร์ทโฟนแห่งโลกอนาคต?
- ลองนึกภาพโดเรมอนหลุดไปในอินเดียสมัยพุทธกาลดู ต่อให้เหาะเหินเดินอากาศได้ ก็คงไม่น่าแปลกใจเสียด้วยซ้ำ
(ภาพประกอบ: มือโดเรมอน ถือคอปเตอร์ไม้ไผ่)
- ถ้าหากท่านไม่ใช่เทพเจ้า แต่เป็นมนุษย์ตัวคนเดียวจากอนาคตที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอดีต แล้วพบว่าการโยนองค์ความรู้หรือเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้าไปยังสังคมที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังกราบไหว้บูชาเทพเจ้า อยากให้ลูกสอบติดก็ไปกราบไหว้เทพที่มีศีรษะเป็นช้าง นั้นไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง เขาควรจะทำอย่างไรดี...
- ในเมื่อในพุทธประวัติมีกล่าวไว้ว่า ศาสนาของเราจะดำรงอยู่ได้ 5000 ปี งั้นจุดเริ่มต้นในนิยายเรื่องนี้คงต้องเริ่มจาก อดีตของพระเอก..ไม่สิต้องเรียกว่าเรื่องราวในอนาคตของ " อรรถ" นักฟิสิกส์อัจฉริยะผู้มาจากปีพ.ศ.5000 ก็แล้วกัน..
- setting อยู่ในโลกอนาคต ภายหลังจากการระเบิดครั้งใหญ่ของการทดลองอาวุธมหาประลัย เรือดำน้ำอนุภาคอัจฉริยะ 14.0 เมื่อราว 2,000 ปีก่อน (อีกราว500ปีข้างหน้านับจากปัจจุบัน) ซึ่งเกิดขึ้นในดินแดนแถบหนึ่งบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ชื่อว่าเอเชีย "นคร atlandth@i.s ที่สาปสูญ" เศษซากของหน้าประวัติศาสตร์บันทึกไว้เพียงว่า เพียงเพราะความบ้าอำนาจของคนกลุ่มหนึ่ง ได้พัฒนาอาวุธที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโลกไปตลอดกาล
- การทดลองอาวุธลับของรัฐบาลที่ผิดพลาด ทำให้เกิดฝุ่นมรณะที่ผสมผสานเข้ากับเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ "PM 2.5 alpha - covida 500" ที่ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตที่สัมผัสเหี่ยวแห้งชราลงกลายเป็นซากศพภายในไม่กี่วินาที (คล้ายๆฝนในเกม death stranding) ฝุ่นนี้กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ทางรัฐจะเร่งแก้ปัญหาโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ท่อพ่นน้ำที่ผ่านการพัฒนาจนใหญ่ยักษ์ทำลายสถิติกินเนสบุ๊กแล้วก็ตาม ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความที่กระจายออกไปทั่วทั้งโลกได้ โชคยังดีที่วิทยาการด้านอวกาศของโลก อยู่ในระยะที่สามารถส่งประชากรบางส่วนออกไปอาศัยอยู่ตามดาวอังคาร และดวงจันทร์ของดาวพฤหัสและดาวเสาร์ได้แล้ว จึงทำให้มนุษยชาติรอดพ้นจากการสูญสิ้น แต่นั่นก็ทำให้ความรู้และอารยธรรมของมนุษยชาติเสื่อมถอยลงไปนับพันปีทีเดียว โดยเฉพาะความรู้ทางการแพทย์ เพราะ ประชากรส่วนใหญ่ รวมทั้งหมอที่ออกไปปฏิบัติงานในแนวหน้าตายไปเกือบทั้งหมด เหลือไว้เพียงระดับผู้นำของกระทรวง อะแฮ่ม.. องค์กร และเหล่าชนชั้นบนของสังคมที่สามารถจ่ายเงินราคามหาศาลให้กับบริษัทเดินทางอวกาศของอีลั่น ม็อก เท่านั้นที่สามารถพาตัวเองและครอบครัวหนีออกสู่อวกาศได้สำเร็จ
(ขอเสริมนิด: กลัวมีคนทักว่า การทดลองเรือดำน้ำแล้วทำไมระเบิดเป็นฝุ่นเชื้อโรคในอากาศได้ จริงๆ คือเป็นเรือดำน้ำที่ตั้งอยู่บนบกน่ะครับ ซื้อมาแล้วใช้ไม่ได้ จะไว้จัดแสดงในงานวันเด็กก็กลัวคนหาว่าผลาญงบ เลยเอามาทำชิ้นส่วนระเบิดแทน)
...ท้าวความประวัติศาสตร์จบแล้ว...กลับมาที่ประมาณปี พ.ศ.5000 กัน
บนสถานีอวกาศขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่บนดวงจันทร์ไอโอ ซึ่งโคจรอยู่รอบดาวพฤหัส สภาพแวดล้อมที่นี่ถูกปรับให้เหมาะกับการดำรงชีวิตแล้ว
"อรรถ" พระเอกของเรา ตอนนี้กำลังทำงานให้องค์กรเอกชนนา..นาดาว ที่ไม่หวังผลตอบแทนในการเป็นหัวหน้าทีมพัฒนาเทคโนโลยีย้อนเวลา หรือ ไทม์แมชชีนที่เขาใฝ่ฝันมาตั้งแต่ดูช่องสาธุ 999 การ์ตูนในวัยเด็ก โชคดีที่เขาเรียนเก่งและขยันมาตลอด ถึงแม้ว่า คุณครูในโรงเรียนประถมของเขาจะเคยให้ศูนย์คะแนน แล้วเขียนตัวแดงๆว่า "เป็นไปไม่ได้" ในโจทย์คำถามว่า อนาคตอยากโตขึ้นเป็นอะไรก็ตาม แต่เขาก็ไต่เต้าจนเป็นนักฟิสิกส์ชั้นนำของระบบสุริยะได้สำเร็จ ตอนนี้การทดลองอยู่ในเฟสสุดท้ายแล้ว เหลือเพียงการทดลองเดินเครื่องจริงที่จะเริ่มกันในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าเท่านั้น นักฟิสิกส์ทั่วระบบสุริยะในอดีตล้วนปวดหัวมาตลอดว่า ทำยังไงเราถึงจะเคลื่อนที่ให้เร็วกว่าแสงได้ เพราะตราบใดที่ยังเร็วกว่าแสงไม่ได้ การย้อนเวลาก็คงเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ต้องขอบคุณวิดิโอที่เพิ่งถูกขุดพบจากพื้นโลกเมื่อไม่นานมานี้ ที่ว่าด้วยสมการการคำนวณให้รถเฟอรารี่สีบรอนซ์เทาที่ขับมาไวจนมองตามแทบไม่ทัน คำนวณออกมาว่า วิ่งด้วยความเร็วไม่เกินกฎหมายจราจรได้ เขาร้องว้าว ยูเรก้ากับมันมาก ทำไมไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อนเลยนะ ถ้าเราทำความเร็วให้มากกว่าแสงไม่ได้ งั้นเราก็หลอกให้อนุภาคทั้งจักรวาลเชื่อว่า แสงวิ่งด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ได้นี่หว่า.. (ขอกาวเพิ่มแปบ)
เนื่องจากเป็นช่วงเวลาสำคัญของโปรเจคต์ เขาจึงแทบไม่ได้ออกไปไหนมาหลายสัปดาห์แล้ว ถ้าไม่ติดว่า วันนี้เป็นวันเกิดของ "อาย่า" แฟนสาวที่คบกันมาสิบกว่าปี เขาคงไม่ออกมาจากห้องทดลองเป็นแน่
สถานที่นัดเดทของพวกเขา คือ ดิสนีย์แลนด์ประจำดาวไอโอ ซึ่งเขามั่นใจว่า อาย่าจะต้องชอบที่นี่มากแน่ๆ สิ่งที่เขาเรียนรู้จากการคบกันมาหลายปี ก็คือ แม่ของเธอเป็นติ่งดิสนีย์ตัวแม่ ชื่อของเธอเลยเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "Ayar" ซึ่งเป็นการเล่นคำกลับตัวอักษรมาจาก "Raya" เจ้าหญิงดิสนีย์ที่มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนบ้านเกิดบรรพบุรุษของเธอก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่ดาวนี้เมื่อ 2500 ปีที่แล้ว และเธอได้รับเชื้อติ่งดิสนีย์มาจากแม่ของเธอมาเต็มๆ
เมื่อถึงเวลานัดพบ.. อรรถ กับ อาย่า ก็มาพบกันที่หน้าสวนสนุก อาย่าในชุดสีฟ้าอ่อน รับกับผิวพม่า นัยน์ตาแขก ของเธอ โครงหน้ามีความคมเด่นนิดๆ ออกๆไปทางสาวอินเดีย นี่ถ้าตำราประวัติศาสตร์โลกไม่เลือนหายไปกับอดีต คนที่พบเห็นคงต้องคิดว่าเธอสืบเชื้อสายมาจากอินเดีย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเป็นแน่... น่าเสียดายที่ภายใต้ใบหน้าที่สวยได้รูปนั้น เจือไปด้วยขอบตาที่ซีดขาวเล็กน้อย กับ ผมที่มีร่องรอยการร่วงโรยของการได้รับเคมีบำบัดอยู่ด้วย ใช่แล้ว นางเอกของนิยายถ้าจะเป็นโรคอะไรซักโรค มันก็ต้อง "ลิวคีเมีย" อยู่แล้ว จะเป็นโรคอื่นไปได้ยังไง
อาย่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะที่สี่ รับยาคีโมมาหลายครั้งแล้วแต่อาการยังไม่ค่อยดีขึ้นนัก หมอบอกว่าเธอคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนัก อาย่าเองเคยบ่นรำพึงกับอรรถว่า "น่าเสียดายจัง ถ้าการแพทย์ไม่ได้ถดถอยไปในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้น ป่านนี้เราคงมีวิธีรักษาโรคบ้าๆนี่ให้หายขาดได้แล้ว" ประโยคที่สมแล้วกับที่เป็นเธอ อาจารย์ภาควิชาโบราณคดี เอกวิชาประวัติศาสตร์โลกเก่า ของมหาวิทยาลัยไอโอ
"เอาล่ะ วันนี้เราจะเล่นอะไรก่อนดี"
"ดวลไลท์เซเบอร์ สะตอ วาร์ กันดีมั้ย"
"มันไม่ได้ชื่อ สตาร์ วอร์เรอะ"
"ผ่าม..."
อรรถหัวเราะให้กับมุขแป้กๆ ของอาย่า แล้วทั้งคู่ก็พากันไปเล่นดวลดาบไลท์เซเบอร์ ซึ่งมีกฎอยู่ว่า คนนึงจะต้องรับบทเป็น sith อีกคนเป็น jedi แล้วดวลดาบที่มีเสียงหึ่งๆกันไปมา เขาไม่รู้ว่ามันสนุกยังไง แต่อาย่าชอบมาก เพราะ เล่นทีไรเธอชนะเขาทุกที
"นายรับบทเป็น sith ไปก็แล้วกัน"
อาย่าพูดพร้อมกับยื่นป้ายชื่อเรืองแสงมาติดที่หน้าอกของอรรถ ป้ายที่มีเทคโนโลยีแปลภาษาให้เข้ากับตาของคนที่อ่านป้ายซึ่งดิสนีย์ภูมิใจกับมันมาก ถึงกับโฆษณาตัวโตๆ "ดิสนีย์แลนด์ ดินแดนที่ไร้พรมแดนทางภาษา พอกันทีกับการไปดิสนีย์แลนด์ต่างประเทศแล้วฟังมันพูดพึมพำอะไรก็ไม่รู้ แล้วคนท้องถิ่นรอบๆก็หัวเราะครืนเหมือนมันต้องเป็นอะไรซักอย่างที่ตลกมากๆ" (ใครเคยไปดิสนีย์แลนด์ที่ญี่ปุ่นน่าจะได้ดื่มด่ำความรู้สึกนี้กันมาแล้ว)
แน่นอนว่าเกมจบลงที่ความปราชัยของอรรถอย่างที่คิด หลังจากนั้นทั้งคู่ก็สนุกอยู่กับโซนต่างๆ ของดิสนีย์แลนด์ทั้งวันจนพลบค่ำ ท้องฟ้าเริ่มมืด พวกเขาเดินผ่านซุ้มขายของที่ระลึก อาย่าชอบรองเท้าคู่หนึ่งมากๆ มันเป็นรองเท้าที่เวลาเดินแล้วจะปล่อยแสงโปรเจคเตอร์เล็กๆ ออกไปรอบๆ เหมือนน้ำแข็งคล้ายๆ ของราชินีหิมะเอลซ่า เธอเลือกมาสองคู่ก่อนจะส่งมาให้อรรถคู่นึง
"นายเอาคู่ที่มันฟุ้งๆออกมาเป็นลายดอกบัวก็แล้วกัน ชั้นชอบคู่นี้มากเลย มาใส่คู่กันนะ" (ภาพประกอบ: ลอง search หารูปแก้วน้ำชาลายดอกไม้ ของร้าน en tea house ที่ teamlab borderless ที่เป็นพิพิธภัณฑ์แสงสีที่โอไดบะ ญี่ปุ่นดูนะ แล้วเปลี่ยนภาพมโนจากแก้วเป็นรองเท้าแทน
ตัวอย่าง: https://youtu.be/Kmvi-O86vKo )
"ไม่เอาอะ มันน่าอายออกจะตายไป ผู้ชายแท้ๆทั้งแท่งที่ไหนเขาใส่รองเท้าแบบนี้เดินไปไหนมาไหนกัน"
"งั้นใส่เฉพาะวันนี้ก็ได้ นี่วันเกิดชั้นนะ ตามใจชั้นหน่อยสิ"
สุดท้าย อรรถก็ต้องยอมตามใจอาย่าในที่สุด
ก่อนที่อรรถจะตัดสินใจชวนอาย่าไปปิดท้ายเดทด้วยการไปขึ้นชิงช้าสวรรค์สุดโรแมนติกแบบใหม่ล่าสุด ที่ออกแบบโดยอดีตบริษัทพิซซ่าชื่อดัง พร้อมสโลแกน "ไม่มีก้าน มีแต่ขอบ" (ล้อพิซซ่าขายแต่ขอบของ pizza company)
ระหว่างนั่งกินไอติมรอขึ้นชิงช้าสวรรค์ อาย่าก็ชวนอรรถคุยสัพเพเหระเกี่ยวกับงานที่มหาลัยของเธอ
"นี่ นายรู้หรือเปล่า จริงๆแล้วดาวไอโอที่เราอยู่กันนี่น่ะ ชื่อมันไม่ได้มีที่มา มาจากชื่อขององค์กรข้อมูลลับระหว่างประเทศชื่อเสีย(ง)โด่งดังในอดีต ซึ่งเป็นกลุ่มผู้อพยพกลุ่มใหญ่ ที่กลายมาเป็นบรรพบุรุษของประชากรหลักของดาวดวงนี้อย่างที่เขียนไว้ในหนังสือเรียนหรอกนะ จริงๆแล้วชื่อนี้มันตั้งมาก่อนหน้านั้นหลายร้อยปีทีเดียว แต่พอศาสตราจารย์รุ่นพี่ของชั้นพยายามจะออกมาเปิดเผยข้อมูล ก็ถูกหาว่า บิดเบือนประวัติศาสตร์ เป็นพวกชังดาวไปซะได้"
แต่ก่อนที่อรรถจะหันไปตอบ..ก็มีเสียงขัดขึ้นมา
"ถึงคิวแล้วค่ะ รับขนมจีบซาลาเปา ทานเพิ่มบนชิงช้าสวรรค์ด้วยไหมคะ"
เขารีบปฏิเสธทันควัน มันคงไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกเสียซักเท่าไหร่
"ขอเป็นสาหร่ายห่อกุ้งสองไม้แทนแล้วกันครับ"