สวัสดีครับ พบกับผม "ตรัยโศก" อีกครั้ง
เรื่องราวต่อไปนี้ ยังคงเป็นเหตุการณ์ในช่วงที่ผม
บวชอยู่
ผมบวชอยู่ที่วัดนี้ 1 พรรษา
สึกออกมาก็หลังกฐินนั่นแหละครับ
ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นโศกนาฏกรรม
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของป้าปราณี
หรือโยมณีที่พระทุกรูปในวัดนั้นรู้จักเป็นอย่างดี
โยมณี(ขออนุญาติเรียกว่าป้าณีนะครับ)
แกเป็นคนที่ใจบุญสุนทาน
เข้าวัดทุกวัน ย้ำว่าทุกวันจริงๆครับ
ในทุกๆเช้า แกจะรอใส่บาตรอยู่หน้าบ้าน
พอตกตอนสายๆ ก็จะเข้ามาในวัดเพื่อกวาดใบไม้
กวาดถูศาลา เผาเศษขยะเศษใบไม้
พวกเราเหล่าบุตรแห่งพระพุทธศาสนา
จึงเรียกแกว่า สัปเหร่อ
แต่สัปเหร่อในที่นี้คือแกเผาแต่พวกเศษขยะ
เศษใบไม้นะครับ
ไม่ได้ทำพิธีเกี่ยวกับศพคนตายแต่อย่างใด
ป้าณีแกจะมีชุดตัวโปรดของแกอยู่ชุดหนึ่ง
เป็นเสื้อแขนกระบอกลายลูกไม้สีขาว
กับซิ่นผ้าไหม ที่เรียกกันว่า ผ้าตีนจกลาวพรวน
แกรักชุดนี้มากเพราะเป็นชุดที่ทางวัดซื้อให้แก
เป็นการตอบแทนน้ำใจ ที่ในทุกๆวันแกจะเข้ามาช่วย
งานในวัดอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย
เมื่อมีงานบุญสำคัญๆ
หรือในบางครั้งต้องไปต่างพื้นที่เพื่อทำบุญ
มักจะเห็นแกใส่ชุดนี้โดยตลอด
แกดูแลเสื้อผ้าชุดนี้ดีมาก
ราวกับของใหม่ทั้งที่ได้รับมันมาหลายปีแล้ว
จนวันนึง เรื่องเศร้าก็เกิดขึ้น
วันนั้นผมกวาดลานวัดอยู่รูปเดียว
ส่วนพระรุ่นพี่อีก 3 รูป กำลัง่วนกับการเทพื้นห้องน้ำ
ใหม่ที่กำลังสร้าง
ทางด้านหลวงพ่อ(เจ้าอาวาส)
ไปประชุมกับทางคณะสงฆ์ในตัวจังหวัด
ป้าเรียม เพื่อนบ้านคนสนิทของป้าณี
วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในวัดสีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก
"หลวงพ่อไม่อยู่เหรอหลวงน้า"
(ชาวบ้านที่นั่นจะเรียกพระว่าหลวงน้า
แล้วตามด้วยชื่อ ไม่ใช่หลวงพี่ ถึงแม่จะเพิ่งบวช
ก็ตาม)
"ไปประชุมที่จังหวัดครับ
เป็นอะไรโยมแม่ผีหลอกเหรอ"
(พระทุกรูปก็จะเรียกบรรดาญาติโยมที่มีอายุว่า
โยมแม่กับโยมพ่อเช่นกัน)
ป้าเรียมไม่ได้สนใจคำพูดแซวของผม
พอหายเหนื่อยแล้วแกก็ปล่อยโฮออกมาทันที
ผมก็งงว่าทำอะไรให้แกไม่พอใจหรือเปล่า
พอตั้งสติได้ก็ก็บอกข่าวร้ายกับผม
"ยายณีน่ะ ตายแล้ว รถคว่ำเมื่อสักพักนี่เอง
ลูกสาวมันโทรมาบอก ตอนนี้ศพอยู่ที่โรงพยาบาล"
ข่าวการเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วนของป้าณี
ทำเอาผมถึงกับมือไม้อ่อน
ไม้กวาดทางมะพร้าวหลุดออกจากมือทันที
ถึงแม้ผมจะเพิ่งบวชได้แค่ 2 อาทิตย์
แต่ผมก็สนิทสนมกับป้าณีในระดับหนึ่ง
เพราะเวลาเจอกันผมมักจะแซวแกบ้าง
หยอกแกบ้าง
บางวันผมบอกแกว่าเพลนี้อยากฉันผัดกระเพรา
แกก็ทำให้โดยไม่เกี่ยงงอน
ผมจึงรู้สึกรักแกเหมือนที่ผมรักแม่ของตัวเอง
วันนั้นป้าณีแกไปบริจาคของให้โรงเรียนคนตาบอด
ที่ต่างอำเภอ เพื่อนของแกชวนไป
ตอนเช้าแกยังเข้ามาในวัดเอาข้าวกับขนมมาให้อยู่
เลย
"วันนี้โยมแม่ทำบวดฟักทองมาให้
ต้องฉันกันทุกรูปนะ ไม่งั้นโยมแม่โกรธ"
ผมก็แซวว่าทำมาซะหม้อเบ้อเร่อ
พระในวัดมีอยู่ 4 5 รูปเอง กี่วันจะฉันหมดเนี่ย
แกก็ตอบผมกลับมาว่า
ไม่รู้จะได้ทำให้ฉันอีกหรือเปล่า
" วันนี้โยมแม่ไม่อยู่นะ ต้องไปแจกของกับเพื่อน
ที่ลับแลโน่น แต่โยมแม่ไม่ค่อยอยากไปเลย
รู้สึกใจไม่ค่อยดี"
แกพูดเพียงแค่นั้นก็มองหน้าผมพักนึง
แล้วหันหลังเดินออกจากวัดไป
แต่ก่อนที่แกจะออกไป
แกยังกันกลับมาพูดกับผมอีกที
"ต้องฉันกันทุกรูปนะ ฉันเยอะๆ"
แล้วแกก็เดินจากไป
ผมรู้สึกแปลกใจมันหวิวรู้สึกเป็นกังวลชอบกล
ทั้งจากคำพูดและแววตาของแก
แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก
ผมยกหม้อบวดฟักทองขึ้นไปไว้บนศาลาหอฉัน
จากนั้นก็ให้ไอ้เต้เด็กวัดผู้ทรงอิทธิพล
ตักใส่ชามไปถวายให้พระทุกรูป
วันนั้นทั้งวันผมคิดถึงแต่ป้าณี
รู้สึกเป็นห่วงแกขึ้นมาจับจิต
จนกระทั่งผมได้รับข่าวร้ายนั่นเอง
ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมตลอดทั้งวันมานี้
น่าจะเรียกว่าลางสังหรณ์
ค่ำวันนั้นพระทุกรูปไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพ
ของป้าณีที่บ้านแก
มีผู้คนมากมายเดินทางมาเคารพศพ
บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ลูกสาวของป้าณีร้องไห้ จนเป็นลมล้มพับไปหลาย
รอบ ญาติๆต้องช่วยกันปฐมพยาบาลกันจ้าละหวั่น
พอฟื้นขึ้นมาก็ร้องไห้อีก
เป็นภาพที่เห็นแล้วให้รู้สึกหดหู่หัวใจยิ่งนัก
จากการสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ลุงภาสัปเหร่อตัวจริงเสียงจริงของวัด
ที่ไปร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วย เล่าให้ฟังว่า
ตอนที่นั่งรถไปกัน ป้าณีแกสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
บ่นไปตลอดทางว่าไม่อยากมาเลย
อยากอยู่วัด คิดถึงวัด
ไม่รู้ป่านนี้พวกพระจะเป็นยังไงบ้าง
ฉันบวดฟักทองที่ทำไปให้กันแล้วรึยัง
ลุงภาแกก็บอกว่า
พอทำบุญเสร็จไม่น่าจะเกินช่วงบ่าย
เดี๋ยวก็กลับแล้ว
“ ถ้าชั้นไม่อยู่ แกดูแลวัด ดูแลหลวงพ่อกับพระด้วย
นะ”
ป้าณีจู่ก็โพล่งขึ้นมา
ลุงภาแกก็ว่าให้ป้าณีว่าอย่าพูดแบบนั้นมันไม่ดี
มันเป็งลางโบราณเค้าถือ
ป้าณีหันกลับมามองหน้าไม่พูดอะไรอีก
ช่วงบ่ายขณะที่นั่งรถกลับกัน มาได้แค่ครึ่งทาง
จู่ๆก็ได้ยินเสียงดัง ตูม!!
แล้วก็รู้สึกว่ารถมันสะบัดหมุนคว้าง
ผู้คนที่อยู่ในรถกรีดร้องกันเสียงหลง
สักพักก็รู้สึกว่ารถพลิกตะแคง และ โครม!!
เสียงดังสนั่นเหมือนฟ้าผ่า
ลุงภารู้สึกว่ารถไถลไปกระแทกกับอะไรสักอย่าง
แล้วหยุดนิ่ง
มองสำรวจตัวเองหัวแตกนิดหน่อย
ร่างกายทุกส่วนขยับได้ไม่มีกระดูกส่วนไหนหัก
ผู้คนที่อยู่ในรถร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
“มีใครเป็นอะไรมั๊ยครับ”
พลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์จอดรถ
เพื่อให้ความช่วยเหลือ
เมื่อพากันออกมาจากรถแล้ว
ต่างคนก็ต่างสำรวจตัวเอง
ผลปรากฏว่า บางคนมีแผลถลอก
บางคนเคล็ดขัดยอดนิดหน่อย
แต่ไม่มีใครที่บาดเจ็บสาหัส
“อ้าว ป้าณีอยู่ไหน มีใครเห็นป้าณีบ้าง”
หนึ่งในกลุ่มสายบุญ ร้องถามขึ้น
ทีนี้ความโกลาหลก็เกิดขึ้น
ทุกคนช่วยกันออกตามหาป้าณีกันยกใหญ่
ทั้งตะโกน ทั้งแหวกหญ้าข้างทางดูก็ไม่พบ
“ตอนที่รถพลิกตะแคง ผมเห็นเหมือนมีคนกระเด็น
ออกมาจากหน้าต่างรถนะครับ”
พลเมืองดีคนเดิม
บอกพลางหันกลับไปมองตามรอยรถที่ครูดกับพื้น
ถนน
ทุกคนจึงเดินย้อนกลับไปตามรอยนั้น
“ เจอแล้ว ทางนี้ๆ โธ่ยายณีเอ้ย”
หญิงชราอายุไล่เลี่ยกับป้าณีร้องขึ้น
ทุกคนวิ่งไปดูหวังว่าคงจะไม่เป็นอะไรมาก
แต่ภาพที่เห็นนั้น ยากเหลือเกินที่จะตั้งความหวัง
ร่างของป้าณี นอนคุดคู้อยู่ในพงหญ้าข้างทาง
ของอีกฝั่งถนน
ห่างจากจุดที่รถไถลไปอัดก็อปปี้ติดกับต้นไม้
จนยับเยินเกือบ100 เมตร
ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือด
แขนและขามีกระดูกแทงทะลุเนื้อออกมาอย่างน่า
สยดสยอง
เมื่อกู้ภัยมาถึง
จึงได้นำร่างของป้าณีขึ้นมาวางไว้บนผ้าดิบที่ปูไว้ข้าง
ทาง
ทุกคนจึงได้เห็นสภาพศพชัดเจน
นอกจากแผลถลอกตามเนื้อตัวนิดหน่อยแล้ว
แขนและขาทั้งสองข้างกระดูกหักแทงทะลุออกมา
กะโหลกศรีษะเปิดจนเห็นมันสมอง
ที่หน้าอกมีไม้แห้งขนาดเท่าขวดน้ำอัดลม 1.25 ลิตร
ปักทะลุหลัง
ป้าณี ป้าผู้เป็นคนใจบุญ
มีความศรัทธาในพระพุธศาสนาอย่างแรงกล้า
กลับต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสังเวช
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทางกฏหมาย
ร่างอันไร้วิญญาณของป้าณีก็ถูกเคลื่อนย้าย
มาที่บ้าน ชาวบ้านหลายคนทักท้วง
เพราะการตายของป้าณีนั้น
โบราณเขาเรียกว่า ตายโหง
ไม่ควรนำศพมาทำพิธีที่บ้าน
แต่ลูกสาวของป้าณีก็แย้งว่า
บ้านหลังนี้เป็นบ้านของแม่
ทำไมจะนำศพผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านมาตั้งไม่ได้
อีกอย่าง ป้าณีเคยบอกกับลูกสาวไว้หลายครั้ง
ว่าหากแกเสียชีวิตขอให้เอาศพมาทำพิธีที่บ้าน
และหากเป็นไปได้ขอให้ชุดที่สวมเป็นครั้งสุดท้าย
เป็นชุดโปรดของแก เพราะแกรักชุดนั้นมาก
ฝ่ายชาวบ้านที่คัดค้านก็ต้องยอมจำนน
เพราะเป็นความประสงค์ทั้งคนเป็นและคนตาย
“ระวังเถอะ มันจะเฮี้ยนเอา เด็กสมัยนี้นี่ไม่รู้จักฟังคำ
โบร่ำโบราณ คนมันตายโหงตายไม่ดี
ตายผิดธรรมชาติ คนเก่าคนแก่เค้าถือกันนักหนา
ว่าห้ามเอาเข้าบ้าน”
ยายมุ่ย หนึ่งในผู้สูงอายุที่ชอบเข้าวัดเอ่ยขึ้น
ซึ่งกิติศัพท์ของปากยายมุ่ยนั้นเป็นที่เรื่องลือ
ว่าแกนั้นชอบว่ากระแนะกระแหนคนนั้นคนนี้ไปทั่ว
หลายคนไม่ถูกใจสิ่งนี้ แต่ก็เงียบไว้
เพราะเห็นว่าสังขารแกคงจะอยู่สู้ลมสู้ฝนได้อีกไม่
นาน
ลูกสาวป้าณีเมื่อได้ยินดังนั้น
ก็เหล่ตามองมาทางยายมุ่ยอย่างไม่พอใจ
“ถ้าแม่เฮี้ยนนะ หนูจะให้ไปฉีกปากยายเป็นคนแรก
เลย
คนอะไร๊เข้าวัดก็บ่อย
แต่ไม่รู้จักเอาธรรมมะมาขัดเกลาจิตใจตัวเอง
เที่ยวนินทาว่าร้ายคนนั้นคนนี้ไปทั่ว
ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า ระวังเห๊อะ
ตายไปจะกลายเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม”
เมื่อลูกสาวป้าณีเอ่ยจบ
ยายมุ่ยที่ไม่ว่าแกจะว่าอะไรให้ใคร
ก็ไม่เคยถูกว่าสวนกลับ
ไม่ว่าคนๆนั้นจะหัวหงอกหัวดำ
ต่างก็ต้องก้มหน้างุดแทบมุดดินหนี
แต่นี่ คนที่ยืนเถียงแกฉอดๆ เป็นแค่เด็กเมื่อวานซืน
มันกล้าดียังไงมาตีฝีปากเทียบรุ่นกับระดับชั้นครู
อย่างแก
ยายมุ่ยตั้งท่าจะสวนกลับ
แต่ก็ต้องโดนเด็กรุ่นหลาน
ที่มีสกิลปากระดับแกรนด์มาสเตอร์
ร่ายคาถานะจังงังอุดปากแกจนใบ้สนิท
“แล้วอีกอย่างนะยาย
คนที่เค้าไม่ตอบโต้ยายเวลาโดนว่าเนี่ย
ไม่ใช่เพราะเค้ากลัวนะ แต่เพราะเค้าขี้เกียจ
มันเสียเวลาทำมาหากินเค้า
ถ้าจะให้มายืนเถียงคนแก่
ที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เช้าจะยังได้ลุกออกมาเห็นโลกภาย
นอกรึเปล่าเนี่ย
สู้เอาเวลานั่งนับเม็ดมะขามยังมีประโยชน์กว่า
ที่หนูบอกเนี่ย อย่าหาว่าหนูสอนเลยนะ
ถ้ายายยังทำตัวแบบนี้ ระวังเอาไว้เหอะ
วันไหนเกิดตายขึ้นมาจะไม่มีใครไปงานศพเอา
เพราะทำคนเค้าเกลียดกันทั้งหมู่บ้าน”
เมื่อได้ยินดังนั้น ยายมุ่ยได้แต่นั่งอ้าปากหวอ
เถียงไม่ทันสักคำ ความรู้สึกตอนนี้
เหมือนโดนลากไปตบหน้าที่สี่แยกอินโดจีน
ด้วยเปลือกทุเรียนหมอนทอง
พอตบแล้วก็ไม่ใยดีใดๆเลยด้วยซ้ำ
เดินสะบัดบ๊อบจากไปอย่างผู้ได้รับชัยชนะ
เมื่อเหตุการณ์การปะทะฝีปากของลูกสาวป้าณี
กับยายมุ่ยสิ้นสุดลง
ซึ่งความจริงแล้วน่าจะเรียกว่า
เป็นการถอนหงอกระดับไฮเอนด์เสียมากกว่า
หลายคนแอบกระทืบไลค์ให้ลูกสาวป้าณีอย่างสะใจ
คืนนั้น วัดที่ผมบวชอยู่ได้รับเป็นเจ้าภาพให้หนึ่งคืน
เพื่อให้เกียรติผู้วายชน
พิธีกรรมทางศาสนาผ่านพ้นไปด้วยดี
หลวงพ่อและพระทุกรูปจึงได้กลับวัด
โดยลุงภาขับระกระบะคันเก่าบุโรทั่งของแกไปส่ง
ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางญาติจัดการต่อ
ไป
ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็มาถึงวัด
เมื่อรถแล่นเข้าประตูมา บรรดาหมาวัดทั้งหลาย
ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเล็กตัวน้อย
ต่างก็พากันวิ่งกรูเข้ามาที่รถ เมื่อได้ระยะพอเหมาะ
ก็พากันส่งเสียงเห่าหอนดังระงงมลั่นวัด
ผมนั่งอยู่กระบะหลังร่วมกับพระอีกสามรูป
หลวงพ่อนั่งหน้าเพราะท่านชราภาพมากแล้ว
เวลานั้นผมไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด
ไม่คิดถึงเรื่องผีสางนางไม้เลยด้วยซ้ำ
เนื่องจากคิดว่าตนเป็นเองเป็นพระ เป็นผู้ทรงศีล
ประมาณว่า นุ่งสบงแล้วทรงพลังอะไรเทือกนั้น
แถม บนรถยังมีสบงถึง 5 ผืน
ถ้าจะมีผีตนไหนกล้ามาหลอก
ก็ต้องเป็นผีที่กล้าบ้าบิ่นอย่างถึงที่สุด
รถแล่นเข้าไปจอดที่หน้ากุฏิหลวงพ่อ
ในขณะที่กำลังลงจากรถ
สายตาผมก็เหลือบไปเห็นถุงพลาสติกใบหนึ่ง
ซุกอยู่บริเวณซอกท้ายกระบะ
จึงได้หยิบขึ้นมากะว่าจะเอาไปให้ ลุงภาเก็บไว้หน้า
รถ เดี๋ยวตอนกลับจะปลิวไปเสีย
แต่ก็ต้องเอะใจกับสิ่งที่อยู่ภายในถุง
มันเป็นเหมือนผ้าสีขาวกับสีดำ
มีคราบอะไรซักอย่างสีแดงเลอะอยู่
สิ่งนั้นถูกขยุ้มม้วนเป็นก้อนยัดไว้ในถุง
“อะไรเนี่ย โยมพ่อ ไม่เก็บไว้ดีๆ
เดี๋ยวก็ปลิวหายไปเท่านั้นเอง”
ลุงภาเมื่อได้ยินผมเอ่ยถามก็หันมาแล้วทำตาโต
เดินมาคว้าถุงนั้นจากมือผม
พลางหันไปพูดกับหลวงพ่อ
“ชุดยายณีมันน่ะครับหลวงพ่อ
พอดีตอนที่เอาศพมาชุดมันเลอะเลือด
ลูกสาวมันเลยเปลี่ยนให้
ผมก็เอามาไว้หลังรถพร้อมกับศพยายณีนั่นแหละ
กะว่าพอถึงบ้านงานจะเอาใส่โลงไปด้วย แต่ดันลืม”
ผมได้ยินดังนั้นก็ขนลุกวาบ ใจหวิวๆอย่างบอกไม่ถูก
นี่ผมนั่งรถที่รับศพป้าณีมาเหรอเนี่ย
แถมยังหยิบเอาถุงที่มีเสื้อผ้าของป้าณีที่แกใส่ตอน
ตายบรรจุอยู่ด้วย
งั้นไอ้คราบแดงๆนั่นก็เลือดสินะ
ไอ้ความรู้สึกทรงพลังเมื่อสักครู่
จู่ๆก็หายไปอย่างฉับพลัน
(ยังมีต่อ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ใส่ข้อความ
ครั้งเมื่อผมบวช ตอน ป้าปราณี "ตรัยโศก"
เรื่องราวต่อไปนี้ ยังคงเป็นเหตุการณ์ในช่วงที่ผม
บวชอยู่
ผมบวชอยู่ที่วัดนี้ 1 พรรษา
สึกออกมาก็หลังกฐินนั่นแหละครับ
ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นโศกนาฏกรรม
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของป้าปราณี
หรือโยมณีที่พระทุกรูปในวัดนั้นรู้จักเป็นอย่างดี
โยมณี(ขออนุญาติเรียกว่าป้าณีนะครับ)
แกเป็นคนที่ใจบุญสุนทาน
เข้าวัดทุกวัน ย้ำว่าทุกวันจริงๆครับ
ในทุกๆเช้า แกจะรอใส่บาตรอยู่หน้าบ้าน
พอตกตอนสายๆ ก็จะเข้ามาในวัดเพื่อกวาดใบไม้
กวาดถูศาลา เผาเศษขยะเศษใบไม้
พวกเราเหล่าบุตรแห่งพระพุทธศาสนา
จึงเรียกแกว่า สัปเหร่อ
แต่สัปเหร่อในที่นี้คือแกเผาแต่พวกเศษขยะ
เศษใบไม้นะครับ
ไม่ได้ทำพิธีเกี่ยวกับศพคนตายแต่อย่างใด
ป้าณีแกจะมีชุดตัวโปรดของแกอยู่ชุดหนึ่ง
เป็นเสื้อแขนกระบอกลายลูกไม้สีขาว
กับซิ่นผ้าไหม ที่เรียกกันว่า ผ้าตีนจกลาวพรวน
แกรักชุดนี้มากเพราะเป็นชุดที่ทางวัดซื้อให้แก
เป็นการตอบแทนน้ำใจ ที่ในทุกๆวันแกจะเข้ามาช่วย
งานในวัดอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย
เมื่อมีงานบุญสำคัญๆ
หรือในบางครั้งต้องไปต่างพื้นที่เพื่อทำบุญ
มักจะเห็นแกใส่ชุดนี้โดยตลอด
แกดูแลเสื้อผ้าชุดนี้ดีมาก
ราวกับของใหม่ทั้งที่ได้รับมันมาหลายปีแล้ว
จนวันนึง เรื่องเศร้าก็เกิดขึ้น
วันนั้นผมกวาดลานวัดอยู่รูปเดียว
ส่วนพระรุ่นพี่อีก 3 รูป กำลัง่วนกับการเทพื้นห้องน้ำ
ใหม่ที่กำลังสร้าง
ทางด้านหลวงพ่อ(เจ้าอาวาส)
ไปประชุมกับทางคณะสงฆ์ในตัวจังหวัด
ป้าเรียม เพื่อนบ้านคนสนิทของป้าณี
วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในวัดสีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก
"หลวงพ่อไม่อยู่เหรอหลวงน้า"
(ชาวบ้านที่นั่นจะเรียกพระว่าหลวงน้า
แล้วตามด้วยชื่อ ไม่ใช่หลวงพี่ ถึงแม่จะเพิ่งบวช
ก็ตาม)
"ไปประชุมที่จังหวัดครับ
เป็นอะไรโยมแม่ผีหลอกเหรอ"
(พระทุกรูปก็จะเรียกบรรดาญาติโยมที่มีอายุว่า
โยมแม่กับโยมพ่อเช่นกัน)
ป้าเรียมไม่ได้สนใจคำพูดแซวของผม
พอหายเหนื่อยแล้วแกก็ปล่อยโฮออกมาทันที
ผมก็งงว่าทำอะไรให้แกไม่พอใจหรือเปล่า
พอตั้งสติได้ก็ก็บอกข่าวร้ายกับผม
"ยายณีน่ะ ตายแล้ว รถคว่ำเมื่อสักพักนี่เอง
ลูกสาวมันโทรมาบอก ตอนนี้ศพอยู่ที่โรงพยาบาล"
ข่าวการเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วนของป้าณี
ทำเอาผมถึงกับมือไม้อ่อน
ไม้กวาดทางมะพร้าวหลุดออกจากมือทันที
ถึงแม้ผมจะเพิ่งบวชได้แค่ 2 อาทิตย์
แต่ผมก็สนิทสนมกับป้าณีในระดับหนึ่ง
เพราะเวลาเจอกันผมมักจะแซวแกบ้าง
หยอกแกบ้าง
บางวันผมบอกแกว่าเพลนี้อยากฉันผัดกระเพรา
แกก็ทำให้โดยไม่เกี่ยงงอน
ผมจึงรู้สึกรักแกเหมือนที่ผมรักแม่ของตัวเอง
วันนั้นป้าณีแกไปบริจาคของให้โรงเรียนคนตาบอด
ที่ต่างอำเภอ เพื่อนของแกชวนไป
ตอนเช้าแกยังเข้ามาในวัดเอาข้าวกับขนมมาให้อยู่
เลย
"วันนี้โยมแม่ทำบวดฟักทองมาให้
ต้องฉันกันทุกรูปนะ ไม่งั้นโยมแม่โกรธ"
ผมก็แซวว่าทำมาซะหม้อเบ้อเร่อ
พระในวัดมีอยู่ 4 5 รูปเอง กี่วันจะฉันหมดเนี่ย
แกก็ตอบผมกลับมาว่า
ไม่รู้จะได้ทำให้ฉันอีกหรือเปล่า
" วันนี้โยมแม่ไม่อยู่นะ ต้องไปแจกของกับเพื่อน
ที่ลับแลโน่น แต่โยมแม่ไม่ค่อยอยากไปเลย
รู้สึกใจไม่ค่อยดี"
แกพูดเพียงแค่นั้นก็มองหน้าผมพักนึง
แล้วหันหลังเดินออกจากวัดไป
แต่ก่อนที่แกจะออกไป
แกยังกันกลับมาพูดกับผมอีกที
"ต้องฉันกันทุกรูปนะ ฉันเยอะๆ"
แล้วแกก็เดินจากไป
ผมรู้สึกแปลกใจมันหวิวรู้สึกเป็นกังวลชอบกล
ทั้งจากคำพูดและแววตาของแก
แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก
ผมยกหม้อบวดฟักทองขึ้นไปไว้บนศาลาหอฉัน
จากนั้นก็ให้ไอ้เต้เด็กวัดผู้ทรงอิทธิพล
ตักใส่ชามไปถวายให้พระทุกรูป
วันนั้นทั้งวันผมคิดถึงแต่ป้าณี
รู้สึกเป็นห่วงแกขึ้นมาจับจิต
จนกระทั่งผมได้รับข่าวร้ายนั่นเอง
ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมตลอดทั้งวันมานี้
น่าจะเรียกว่าลางสังหรณ์
ค่ำวันนั้นพระทุกรูปไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพ
ของป้าณีที่บ้านแก
มีผู้คนมากมายเดินทางมาเคารพศพ
บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ลูกสาวของป้าณีร้องไห้ จนเป็นลมล้มพับไปหลาย
รอบ ญาติๆต้องช่วยกันปฐมพยาบาลกันจ้าละหวั่น
พอฟื้นขึ้นมาก็ร้องไห้อีก
เป็นภาพที่เห็นแล้วให้รู้สึกหดหู่หัวใจยิ่งนัก
จากการสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ลุงภาสัปเหร่อตัวจริงเสียงจริงของวัด
ที่ไปร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วย เล่าให้ฟังว่า
ตอนที่นั่งรถไปกัน ป้าณีแกสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
บ่นไปตลอดทางว่าไม่อยากมาเลย
อยากอยู่วัด คิดถึงวัด
ไม่รู้ป่านนี้พวกพระจะเป็นยังไงบ้าง
ฉันบวดฟักทองที่ทำไปให้กันแล้วรึยัง
ลุงภาแกก็บอกว่า
พอทำบุญเสร็จไม่น่าจะเกินช่วงบ่าย
เดี๋ยวก็กลับแล้ว
“ ถ้าชั้นไม่อยู่ แกดูแลวัด ดูแลหลวงพ่อกับพระด้วย
นะ”
ป้าณีจู่ก็โพล่งขึ้นมา
ลุงภาแกก็ว่าให้ป้าณีว่าอย่าพูดแบบนั้นมันไม่ดี
มันเป็งลางโบราณเค้าถือ
ป้าณีหันกลับมามองหน้าไม่พูดอะไรอีก
ช่วงบ่ายขณะที่นั่งรถกลับกัน มาได้แค่ครึ่งทาง
จู่ๆก็ได้ยินเสียงดัง ตูม!!
แล้วก็รู้สึกว่ารถมันสะบัดหมุนคว้าง
ผู้คนที่อยู่ในรถกรีดร้องกันเสียงหลง
สักพักก็รู้สึกว่ารถพลิกตะแคง และ โครม!!
เสียงดังสนั่นเหมือนฟ้าผ่า
ลุงภารู้สึกว่ารถไถลไปกระแทกกับอะไรสักอย่าง
แล้วหยุดนิ่ง
มองสำรวจตัวเองหัวแตกนิดหน่อย
ร่างกายทุกส่วนขยับได้ไม่มีกระดูกส่วนไหนหัก
ผู้คนที่อยู่ในรถร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
“มีใครเป็นอะไรมั๊ยครับ”
พลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์จอดรถ
เพื่อให้ความช่วยเหลือ
เมื่อพากันออกมาจากรถแล้ว
ต่างคนก็ต่างสำรวจตัวเอง
ผลปรากฏว่า บางคนมีแผลถลอก
บางคนเคล็ดขัดยอดนิดหน่อย
แต่ไม่มีใครที่บาดเจ็บสาหัส
“อ้าว ป้าณีอยู่ไหน มีใครเห็นป้าณีบ้าง”
หนึ่งในกลุ่มสายบุญ ร้องถามขึ้น
ทีนี้ความโกลาหลก็เกิดขึ้น
ทุกคนช่วยกันออกตามหาป้าณีกันยกใหญ่
ทั้งตะโกน ทั้งแหวกหญ้าข้างทางดูก็ไม่พบ
“ตอนที่รถพลิกตะแคง ผมเห็นเหมือนมีคนกระเด็น
ออกมาจากหน้าต่างรถนะครับ”
พลเมืองดีคนเดิม
บอกพลางหันกลับไปมองตามรอยรถที่ครูดกับพื้น
ถนน
ทุกคนจึงเดินย้อนกลับไปตามรอยนั้น
“ เจอแล้ว ทางนี้ๆ โธ่ยายณีเอ้ย”
หญิงชราอายุไล่เลี่ยกับป้าณีร้องขึ้น
ทุกคนวิ่งไปดูหวังว่าคงจะไม่เป็นอะไรมาก
แต่ภาพที่เห็นนั้น ยากเหลือเกินที่จะตั้งความหวัง
ร่างของป้าณี นอนคุดคู้อยู่ในพงหญ้าข้างทาง
ของอีกฝั่งถนน
ห่างจากจุดที่รถไถลไปอัดก็อปปี้ติดกับต้นไม้
จนยับเยินเกือบ100 เมตร
ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือด
แขนและขามีกระดูกแทงทะลุเนื้อออกมาอย่างน่า
สยดสยอง
เมื่อกู้ภัยมาถึง
จึงได้นำร่างของป้าณีขึ้นมาวางไว้บนผ้าดิบที่ปูไว้ข้าง
ทาง
ทุกคนจึงได้เห็นสภาพศพชัดเจน
นอกจากแผลถลอกตามเนื้อตัวนิดหน่อยแล้ว
แขนและขาทั้งสองข้างกระดูกหักแทงทะลุออกมา
กะโหลกศรีษะเปิดจนเห็นมันสมอง
ที่หน้าอกมีไม้แห้งขนาดเท่าขวดน้ำอัดลม 1.25 ลิตร
ปักทะลุหลัง
ป้าณี ป้าผู้เป็นคนใจบุญ
มีความศรัทธาในพระพุธศาสนาอย่างแรงกล้า
กลับต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสังเวช
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทางกฏหมาย
ร่างอันไร้วิญญาณของป้าณีก็ถูกเคลื่อนย้าย
มาที่บ้าน ชาวบ้านหลายคนทักท้วง
เพราะการตายของป้าณีนั้น
โบราณเขาเรียกว่า ตายโหง
ไม่ควรนำศพมาทำพิธีที่บ้าน
แต่ลูกสาวของป้าณีก็แย้งว่า
บ้านหลังนี้เป็นบ้านของแม่
ทำไมจะนำศพผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านมาตั้งไม่ได้
อีกอย่าง ป้าณีเคยบอกกับลูกสาวไว้หลายครั้ง
ว่าหากแกเสียชีวิตขอให้เอาศพมาทำพิธีที่บ้าน
และหากเป็นไปได้ขอให้ชุดที่สวมเป็นครั้งสุดท้าย
เป็นชุดโปรดของแก เพราะแกรักชุดนั้นมาก
ฝ่ายชาวบ้านที่คัดค้านก็ต้องยอมจำนน
เพราะเป็นความประสงค์ทั้งคนเป็นและคนตาย
“ระวังเถอะ มันจะเฮี้ยนเอา เด็กสมัยนี้นี่ไม่รู้จักฟังคำ
โบร่ำโบราณ คนมันตายโหงตายไม่ดี
ตายผิดธรรมชาติ คนเก่าคนแก่เค้าถือกันนักหนา
ว่าห้ามเอาเข้าบ้าน”
ยายมุ่ย หนึ่งในผู้สูงอายุที่ชอบเข้าวัดเอ่ยขึ้น
ซึ่งกิติศัพท์ของปากยายมุ่ยนั้นเป็นที่เรื่องลือ
ว่าแกนั้นชอบว่ากระแนะกระแหนคนนั้นคนนี้ไปทั่ว
หลายคนไม่ถูกใจสิ่งนี้ แต่ก็เงียบไว้
เพราะเห็นว่าสังขารแกคงจะอยู่สู้ลมสู้ฝนได้อีกไม่
นาน
ลูกสาวป้าณีเมื่อได้ยินดังนั้น
ก็เหล่ตามองมาทางยายมุ่ยอย่างไม่พอใจ
“ถ้าแม่เฮี้ยนนะ หนูจะให้ไปฉีกปากยายเป็นคนแรก
เลย
คนอะไร๊เข้าวัดก็บ่อย
แต่ไม่รู้จักเอาธรรมมะมาขัดเกลาจิตใจตัวเอง
เที่ยวนินทาว่าร้ายคนนั้นคนนี้ไปทั่ว
ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า ระวังเห๊อะ
ตายไปจะกลายเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม”
เมื่อลูกสาวป้าณีเอ่ยจบ
ยายมุ่ยที่ไม่ว่าแกจะว่าอะไรให้ใคร
ก็ไม่เคยถูกว่าสวนกลับ
ไม่ว่าคนๆนั้นจะหัวหงอกหัวดำ
ต่างก็ต้องก้มหน้างุดแทบมุดดินหนี
แต่นี่ คนที่ยืนเถียงแกฉอดๆ เป็นแค่เด็กเมื่อวานซืน
มันกล้าดียังไงมาตีฝีปากเทียบรุ่นกับระดับชั้นครู
อย่างแก
ยายมุ่ยตั้งท่าจะสวนกลับ
แต่ก็ต้องโดนเด็กรุ่นหลาน
ที่มีสกิลปากระดับแกรนด์มาสเตอร์
ร่ายคาถานะจังงังอุดปากแกจนใบ้สนิท
“แล้วอีกอย่างนะยาย
คนที่เค้าไม่ตอบโต้ยายเวลาโดนว่าเนี่ย
ไม่ใช่เพราะเค้ากลัวนะ แต่เพราะเค้าขี้เกียจ
มันเสียเวลาทำมาหากินเค้า
ถ้าจะให้มายืนเถียงคนแก่
ที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เช้าจะยังได้ลุกออกมาเห็นโลกภาย
นอกรึเปล่าเนี่ย
สู้เอาเวลานั่งนับเม็ดมะขามยังมีประโยชน์กว่า
ที่หนูบอกเนี่ย อย่าหาว่าหนูสอนเลยนะ
ถ้ายายยังทำตัวแบบนี้ ระวังเอาไว้เหอะ
วันไหนเกิดตายขึ้นมาจะไม่มีใครไปงานศพเอา
เพราะทำคนเค้าเกลียดกันทั้งหมู่บ้าน”
เมื่อได้ยินดังนั้น ยายมุ่ยได้แต่นั่งอ้าปากหวอ
เถียงไม่ทันสักคำ ความรู้สึกตอนนี้
เหมือนโดนลากไปตบหน้าที่สี่แยกอินโดจีน
ด้วยเปลือกทุเรียนหมอนทอง
พอตบแล้วก็ไม่ใยดีใดๆเลยด้วยซ้ำ
เดินสะบัดบ๊อบจากไปอย่างผู้ได้รับชัยชนะ
เมื่อเหตุการณ์การปะทะฝีปากของลูกสาวป้าณี
กับยายมุ่ยสิ้นสุดลง
ซึ่งความจริงแล้วน่าจะเรียกว่า
เป็นการถอนหงอกระดับไฮเอนด์เสียมากกว่า
หลายคนแอบกระทืบไลค์ให้ลูกสาวป้าณีอย่างสะใจ
คืนนั้น วัดที่ผมบวชอยู่ได้รับเป็นเจ้าภาพให้หนึ่งคืน
เพื่อให้เกียรติผู้วายชน
พิธีกรรมทางศาสนาผ่านพ้นไปด้วยดี
หลวงพ่อและพระทุกรูปจึงได้กลับวัด
โดยลุงภาขับระกระบะคันเก่าบุโรทั่งของแกไปส่ง
ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางญาติจัดการต่อ
ไป
ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็มาถึงวัด
เมื่อรถแล่นเข้าประตูมา บรรดาหมาวัดทั้งหลาย
ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเล็กตัวน้อย
ต่างก็พากันวิ่งกรูเข้ามาที่รถ เมื่อได้ระยะพอเหมาะ
ก็พากันส่งเสียงเห่าหอนดังระงงมลั่นวัด
ผมนั่งอยู่กระบะหลังร่วมกับพระอีกสามรูป
หลวงพ่อนั่งหน้าเพราะท่านชราภาพมากแล้ว
เวลานั้นผมไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด
ไม่คิดถึงเรื่องผีสางนางไม้เลยด้วยซ้ำ
เนื่องจากคิดว่าตนเป็นเองเป็นพระ เป็นผู้ทรงศีล
ประมาณว่า นุ่งสบงแล้วทรงพลังอะไรเทือกนั้น
แถม บนรถยังมีสบงถึง 5 ผืน
ถ้าจะมีผีตนไหนกล้ามาหลอก
ก็ต้องเป็นผีที่กล้าบ้าบิ่นอย่างถึงที่สุด
รถแล่นเข้าไปจอดที่หน้ากุฏิหลวงพ่อ
ในขณะที่กำลังลงจากรถ
สายตาผมก็เหลือบไปเห็นถุงพลาสติกใบหนึ่ง
ซุกอยู่บริเวณซอกท้ายกระบะ
จึงได้หยิบขึ้นมากะว่าจะเอาไปให้ ลุงภาเก็บไว้หน้า
รถ เดี๋ยวตอนกลับจะปลิวไปเสีย
แต่ก็ต้องเอะใจกับสิ่งที่อยู่ภายในถุง
มันเป็นเหมือนผ้าสีขาวกับสีดำ
มีคราบอะไรซักอย่างสีแดงเลอะอยู่
สิ่งนั้นถูกขยุ้มม้วนเป็นก้อนยัดไว้ในถุง
“อะไรเนี่ย โยมพ่อ ไม่เก็บไว้ดีๆ
เดี๋ยวก็ปลิวหายไปเท่านั้นเอง”
ลุงภาเมื่อได้ยินผมเอ่ยถามก็หันมาแล้วทำตาโต
เดินมาคว้าถุงนั้นจากมือผม
พลางหันไปพูดกับหลวงพ่อ
“ชุดยายณีมันน่ะครับหลวงพ่อ
พอดีตอนที่เอาศพมาชุดมันเลอะเลือด
ลูกสาวมันเลยเปลี่ยนให้
ผมก็เอามาไว้หลังรถพร้อมกับศพยายณีนั่นแหละ
กะว่าพอถึงบ้านงานจะเอาใส่โลงไปด้วย แต่ดันลืม”
ผมได้ยินดังนั้นก็ขนลุกวาบ ใจหวิวๆอย่างบอกไม่ถูก
นี่ผมนั่งรถที่รับศพป้าณีมาเหรอเนี่ย
แถมยังหยิบเอาถุงที่มีเสื้อผ้าของป้าณีที่แกใส่ตอน
ตายบรรจุอยู่ด้วย
งั้นไอ้คราบแดงๆนั่นก็เลือดสินะ
ไอ้ความรู้สึกทรงพลังเมื่อสักครู่
จู่ๆก็หายไปอย่างฉับพลัน
(ยังมีต่อ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้