ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯเตรียมพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน ในการประชุมกันแบบเผชิญหน้ากันครั้งแรกในสมัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดน อดีตหัวหน้าทีมสืบสวนของกระทรวงการต่างประเทศรายหนึ่ง ซึ่งเคยรับผิดชอบภารกิจสืบหาต้นกำเนิดของโควิด-19 ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ ไม่เพียงเชื่อว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หลุดจากสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่นเท่านั้น แต่มันอาจเป็นผลจากการวิจัย "อาวุธชีวภาพ" ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนด้วย
เดวิด แอสเชอร์ อดีตหัวหน้าทีมสืบสวนของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของสถาบันฮัดสัน ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ว่า "มันเป็นปฏิบัติการลับ โครงการลับสุดยอด ตามความเห็นของผม ความเห็นของผมคนเดียว ผมมองว่ามันคือโครงการอาวุธชีวภาพ"
แอสเชอร์ เคยรับผิดชอบภารกิจสืบสวนข่าวกรองลับสุดยอด แก่กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการคลังหลายครั้งทั้งในสมัยของรัฐบาลเดโมแครตและรีพับลิกัน ในนั้นรวมถึงเป็นผู้นำทีมเปิดโปงเครือข่ายจัดหาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ข้ามชาติที่บงการโดยอับดุล กาดีร์ ข่าน บิดาแห่งโครงการนิวเคลียร์ปากีสถาน และเปิดโปงส่วนสำคัญๆของโครงการลักลอบแปรรูปยูเรเนียมของเกาหลีเหนือ
เขาเชื่อว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปกปิดครั้งใหญ่นี้ตลอดช่วง 14 เดือนที่ผ่านมา "ถ้าคุณเชื่อแบบที่ผมเชื่อ มันอาจเป็นพาหะนำอาวุธที่ผิดพลาด ไม่ได้เจตนาปล่อยออกมา แต่ด้วยพัฒนาการ มันกลายเป็นอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์" แอสเชอร์กล่าวระหว่างร่วมสัมมนาที่สถาบันฮัดสัน "คุณกัดเซาะจีดีพีโลกไป 15% ถึง 20% คุณฆ่าประชาชนไปหลายล้านคน พลเมืองจีนแทบไม่ได้รับผลกระทบ เศรษฐกิจของพวกเขาฟื้นตัวสู่การกำลังกลายเป็นหมายเลข 1 ของทั้งกลุ่มจี20"
จีนบอกว่าไวรัสโควิด-19 มีต้นตอในตลาดอาหารทะเลเมืองอู่ฮั่น แต่แอสเชอร์ระบุว่าปัญหาในทฤษฎีของจีนก็คือ เคสผู้ติดเชื้อรายแรกไม่เกี่ยวกับตลาด และเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว สหรัฐฯได้ข้อมูลข่าวกรองบ่งชี้ว่ามีการแพร่ระบาดในบรรดานักวิทยาศาสตร์ของห้องปฏิบัติการวิจัยอู่ฮั่นหลายคน โดยคนเหล่านั้นมีป่วยต่างๆคล้ายไข้หวัดและทำให้พวกเขาต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเดือนพฤศจิกายน 2019 ซึ่งเป็นช่วงเวลาไม่นานก่อนจีนรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกของประเทศ
แอสเชอร์และคณะผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆของสถาบันฮัดสัน ตั้งข้อสังเกตว่าจีนเคยประกาศในปี 2007 ว่าจะเริ่มดำเนินการในด้านพันธุกรรมอาวุธชีวภาพที่ใช้สำหรับวิจัย gain of function งานวิจัยอันเป็นที่ถกเถียงในการทำให้ไวรัสมีความรุนแรงกว่าเดิม
ทั้งนี้ gain of function คืองานวิจัยที่พยายามสร้างซูเปอร์ไวรัสขึ้นมา เพื่อศึกษาว่ามันจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างไรและจะปัองกันหรือรักษามันอย่างไรหากเกิดซูเปอร์ไวรัสดังกล่าวขึ้น
อย่างไรก็ตาม แอสเชอร์ อ้างว่าจีนหยุดพูดถึงอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับงานวิจัยดังกล่าวในปี 2017 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่กองทัพของพวกเขาเริ่มเข้ามาสนับสนุนการวิจัยของสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น "ผมสงสัยว่ามันช่างบังเอิญเสียเหลือเกิน"
แอสเชอร์ชี้ให้เห็นว่า ในปีเดียวกันนั้น ผู้สัดทัดกรณีประจำสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐของจีน เน้นว่าพวกเขากำลังเข้าสู่ขอบเขตหนึ่งของสงครามชีวภาพ ในนั้นรวมถึงการใช้สิ่งต่างๆอย่างเช่นไวรัส "ผมหมายความว่า พวกเขาเคยประกาศอย่างเปิดเผยถึงประชาชนของพวกเขาเองว่า นี่คือเป้าหมายใหม่ภายใต้นโยบายด้านความมั่นคงของสี จิ้นผิง"
(ที่มา:ฟ็อกซ์นิวส์/เอพี)
https://mgronline.com/around/detail/9640000024523
อดีตจนท.ระดับสูงสหรัฐฯเชื่อ'ไวรัสโควิด19'เป็นอาวุธชีวภาพของกองทัพจีน
เดวิด แอสเชอร์ อดีตหัวหน้าทีมสืบสวนของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของสถาบันฮัดสัน ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ว่า "มันเป็นปฏิบัติการลับ โครงการลับสุดยอด ตามความเห็นของผม ความเห็นของผมคนเดียว ผมมองว่ามันคือโครงการอาวุธชีวภาพ"
แอสเชอร์ เคยรับผิดชอบภารกิจสืบสวนข่าวกรองลับสุดยอด แก่กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการคลังหลายครั้งทั้งในสมัยของรัฐบาลเดโมแครตและรีพับลิกัน ในนั้นรวมถึงเป็นผู้นำทีมเปิดโปงเครือข่ายจัดหาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ข้ามชาติที่บงการโดยอับดุล กาดีร์ ข่าน บิดาแห่งโครงการนิวเคลียร์ปากีสถาน และเปิดโปงส่วนสำคัญๆของโครงการลักลอบแปรรูปยูเรเนียมของเกาหลีเหนือ
เขาเชื่อว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปกปิดครั้งใหญ่นี้ตลอดช่วง 14 เดือนที่ผ่านมา "ถ้าคุณเชื่อแบบที่ผมเชื่อ มันอาจเป็นพาหะนำอาวุธที่ผิดพลาด ไม่ได้เจตนาปล่อยออกมา แต่ด้วยพัฒนาการ มันกลายเป็นอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์" แอสเชอร์กล่าวระหว่างร่วมสัมมนาที่สถาบันฮัดสัน "คุณกัดเซาะจีดีพีโลกไป 15% ถึง 20% คุณฆ่าประชาชนไปหลายล้านคน พลเมืองจีนแทบไม่ได้รับผลกระทบ เศรษฐกิจของพวกเขาฟื้นตัวสู่การกำลังกลายเป็นหมายเลข 1 ของทั้งกลุ่มจี20"
จีนบอกว่าไวรัสโควิด-19 มีต้นตอในตลาดอาหารทะเลเมืองอู่ฮั่น แต่แอสเชอร์ระบุว่าปัญหาในทฤษฎีของจีนก็คือ เคสผู้ติดเชื้อรายแรกไม่เกี่ยวกับตลาด และเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว สหรัฐฯได้ข้อมูลข่าวกรองบ่งชี้ว่ามีการแพร่ระบาดในบรรดานักวิทยาศาสตร์ของห้องปฏิบัติการวิจัยอู่ฮั่นหลายคน โดยคนเหล่านั้นมีป่วยต่างๆคล้ายไข้หวัดและทำให้พวกเขาต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเดือนพฤศจิกายน 2019 ซึ่งเป็นช่วงเวลาไม่นานก่อนจีนรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกของประเทศ
แอสเชอร์และคณะผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆของสถาบันฮัดสัน ตั้งข้อสังเกตว่าจีนเคยประกาศในปี 2007 ว่าจะเริ่มดำเนินการในด้านพันธุกรรมอาวุธชีวภาพที่ใช้สำหรับวิจัย gain of function งานวิจัยอันเป็นที่ถกเถียงในการทำให้ไวรัสมีความรุนแรงกว่าเดิม
ทั้งนี้ gain of function คืองานวิจัยที่พยายามสร้างซูเปอร์ไวรัสขึ้นมา เพื่อศึกษาว่ามันจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างไรและจะปัองกันหรือรักษามันอย่างไรหากเกิดซูเปอร์ไวรัสดังกล่าวขึ้น
อย่างไรก็ตาม แอสเชอร์ อ้างว่าจีนหยุดพูดถึงอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับงานวิจัยดังกล่าวในปี 2017 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่กองทัพของพวกเขาเริ่มเข้ามาสนับสนุนการวิจัยของสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น "ผมสงสัยว่ามันช่างบังเอิญเสียเหลือเกิน"
แอสเชอร์ชี้ให้เห็นว่า ในปีเดียวกันนั้น ผู้สัดทัดกรณีประจำสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐของจีน เน้นว่าพวกเขากำลังเข้าสู่ขอบเขตหนึ่งของสงครามชีวภาพ ในนั้นรวมถึงการใช้สิ่งต่างๆอย่างเช่นไวรัส "ผมหมายความว่า พวกเขาเคยประกาศอย่างเปิดเผยถึงประชาชนของพวกเขาเองว่า นี่คือเป้าหมายใหม่ภายใต้นโยบายด้านความมั่นคงของสี จิ้นผิง"
(ที่มา:ฟ็อกซ์นิวส์/เอพี) https://mgronline.com/around/detail/9640000024523