สวัสดีครับ ผม"ตรัยโศก" ขอฝากผลงานอีกหนึ่งเรื่องไว้ให้ทุกท่านลองพิจารณาและติชม
ยังไงก็ลองอ่านกันดูนะครับ กับเรื่องที่มีชื่อว่า
"ขวัญผวาคืนแทงกบ"
เรื่องราวของเด็กแสบสามคน เคน ป๊อบ โหน่ง สามหนุ่มลูกทุ่งแห่งบ้านหมาแหงน ที่ใช้ชีวิตแบบเด็กบ้านนาทั่วไป วันปกติก็ไปโรงเรียน เรียนบ้างเล่นบ้างตามภาษาเด็ก ส่วนวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เป็นดั่งเวลาที่ฟ้าประทานให้ เด็กๆเหล่านี้จะมีกิจกรรมให้ทำได้ตลอดทั้งวัน และยิ่งช่วงนี้เป็นฤฝน
แน่นอน เป็นฤดูกาลที่เด็กๆเหล่านี้จะออกล่าเหมือนอย่างเคย แต่การล่าครั้งนี้ อาจไม่ได้สนุกอย่างที่คิด เพราะพวกเขาเข้าไปล่าเหยื่อผิดที่ผิดทาง
“ย่างเข้าเดือนห๊ก ฝนก็ต๊กพรำๆ กบมันก็ร้องงึมงำ ระงมไปทั่วท้องนา….”
เสียงลุงฉ่ำขี้เมาประจำหมู่บ้านร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์ แกเดินโซซัดโซเซเป๋ไปเป๋มา จะหล่นลงข้างทางก็หลายครั้ง
แต่ราวกับคนเมานั้นมีปาฏิหารในตัวเอง แม้จะเซจนเกือบล้มแต่ไม่ล้ม บางครั้งแกหยุดเดิน ตัวแอ่นไปข้างหลังราวกับจะทิ้งดิ่งลงตรงนั้น แต่จู่ๆ แกก็หยุดเอาดื้อๆ
ร่างแกหงายหน้าทำมุม 45 องศากับพื้นโลก สักพักก็เด้งกลับมาตั้งตัวตรงเหมือนเดิม แล้วก็เริ่มเดินตุปัดตุเป๋ต่อไป อาการเหล่านี้เป็นที่ขำขันเฮฮาของคนที่พบเห็น
ที่บ้านของโหน่ง ที่บัดนี้อีกสองสหายแห่งแก๊งนักล่ายามราตรีเคนและป๊อบ กำลังง่วนกับการเตรียมอุปกรณ์ในการออกล่า
ฝนตกกระหน่ำอย่างหนักตั้งแต่บ่าย มาหยุดเอาช่วงค่ำๆ บรรยากาศแบบนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ทั้งสามสหายจะออกไปแทงกบกัน
“ไอ้โหน่ง เสร็จรึยังวะ ชักช้าเดี๋ยวคนมากันเต็มทุ่ง ไม่ทันกินกันพอดี” ป๊อบตะโกนถามเพื่อน
“เออๆ เสร็จแล้ว แหม…จะกลัวอะไรขนาดนั้นวะ กบมีเป็นแสน ยิ่งช่วงฝนตกใหม่แบบนี้นะ กูให้คนแห่ไปทั้งหมู่บ้านก็จับไม่หมด เชื่อกูดิ” โหน่งเอ่ยบอก
“คราวที่แล้วก็พูดแบบเนี๊ยะ แล้วเป็นไง สุดท้ายได้คนละตัวสองตัว เสียเวลาชิบ”เคนบ่นอุบ
ทั้งสามเกลอพากันปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปท้องนาท้ายหมู่บ้าน ทุกคนมีอาวุธประจำกายกันถ้วนหน้า ทั้งฉมวกแทงกบ ไฟฉายติดหน้าผาก ตะข้องสำหรับใส่กบที่แทงได้
เพียงสิบนาทีพวกเขาก็มาถึงจุดหมาย แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะเมื่อมองไปกลางทุ่งนา ก็พบกับแสงไฟราวสิบกว่าดวงกระจายเต็มทุ่ง ก้มๆเงยๆ อยู่แบบนั้น
“นั่นไงกูว่าแล้ว อ่ะมัวแต่ชักช้า ดูดิ ไฟหยั่งกะงานวัด” ป๊อบว่าให้โหน่งอย่างอารมณ์เสีย
“กูบอกแล้วไอ้ป๊อบ ถ้าจะชวนไอ้โหน่งไป ต้องนัดมันตั้งแต่บ่ายสาม ไอ้นี่มันเทพลีลา แล้วทีนี้จะเอาไง พวกจะไปต่อรึพอแค่นี้"
เคนเอ่ยขึ้นพลางหันไปถามเพื่อนทั้งสอง
“ออกมาแล้วก็ต้องไปต่อดิวะ กลับมือเปล่าเสียเชิงหมด” ป๊อบเอ่ย
“แล้วจะลงไปร่วมสังสรรค์กับท่านทั้งหลายเหล่านั้นรึไง คงจะทันหรอก” เคนหันไปบอกป๊อบอย่างหมดหวัง
“กูมีอีกทางเลือกนึง นาตาแกละไง”
โหน่งเอ่ยขึ้นแสดงสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
นาตาแกละที่โหน่งพูดถึงอยู่ที่ท้ายวัดติดกับป่าช้า บรรยากาศที่นั่นจึงวังเวง
แต่ที่โด่งดังไม่ใช่บรรยากาศแต่เป็นเจ้าของสถานที่ ตาแกละตกห้างลงมาคอหักตายได้หลายปีแล้ว
ความสูงของพื้นห้างก็ไม่ได้สูงนัก เพียงแค่ระดับอกของผู้ใหญ่คนนึงเท่านั้นเอง แต่ตาแกละกลับตกลงมาตาย
กว่าจะมีคนรู้เรื่องก็ตอนเช้าที่เมียแกเอาข้าวไปส่งให้นั่นแหละ สภาพศพนอนคว่ำแต่ใบหน้ากลับหันมาอยู่ข้างหลังอย่างผิดรูป น่าสยดสยอง
หลังจากตาแกละตายก็มีคนพบเห็นแกนั่งอยู่บนห้างบ้าง เดินไปมาในนาของตัวเองบ้าง
ขนาดกลางวันแสกๆ ยังเคยมีคนเห็นแกแบกจอบทำท่าจะเดินไปขุดคันนาตามปกติ แต่หัวกลับหันมาด้านหลัง
ชาวบ้านคนนั้น ถึงกับต้องทิ้งจอบทิ้งเสียม วิ่ง 4x100 ไม่เหลียวหลัง แม้แต่เมียของแกก็ยังโดนหลอก วิ่งหัวฟูกลับบ้านจับไข้ไปหลายวัน นาของแกจึงถูกทิ้งร้างเพราะไม่มีใครกล้าไปดูแล
“จะบ้าเหรอวะ ที่นั่นใครๆก็รู้ว่าผีดุ ไม่มีใครเค้ากล้าเข้าไปกันหรอก”
ป๊อบร้องบอกหน้าตาตื่น
“นั่นแหละประเด็น เมื่อไม่มีใครก็ไป เราก็หาแทงกบกันได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกลัวใครมาแย่ง อีกอย่างเรื่องมันก็ผ่านมานานละ ป่านนี้ตาแกละไม่ไปเกิดเป็นดาวลูกไก่แล้วเรอะ ” โหน่ง เอ่ยขึ้นอย่างผู้มีชัย
ป๊อบและเคนนิ่งเงียบ ใช้ความคิดอย่างหนัก
“ตกลงพวกจะเอายังไง จะลงไปแทงที่นี่โดยยังไม่รู้ว่าจะทันคนอื่นรึเปล่า หรือจะไปกับกู ที่มั่นใจว่าได้แน่นอน 100% ”โหน่งถามเพื่อนทั้งสองอย่างขัดใจ
“ เออ ไปก็ไปวะ" ป๊อบตอบสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจนัก ้
“เอาจริงเหรอวะ วันนี้กูไม่ได้คล้องพระมานะเว้ย”
เคนบอกอ่อยๆ เป็นที่รู้กันในกลุ่มเพื่อนว่าเคนนั้นเป็น
คนตาขาวที่สุดในกลุ่ม
“เออน่า เชื่อกูดิ ป่านนี้ตาแกละแกไปเกิดแล้ว ไม่มามัวนั่งหงอยเหงาเฝ้าห้างอยู่คนเดียวหรอก ไป ออกเดินทางได้พวก”
โหน่งพูดปลอบเพื่อนพลางขึ้นคล่อมจักรยานแล้วปั่นออกไปโดยไม่รอช้า
ทั้งเคนและป๊อบจำใจต้องปั่นตามไปอย่างไม่มีทางเลือก
พรรณาภาษาผี กับ" ตรัยโศก" เรื่อง ขวัญผวาคืนแทงกบ
ยังไงก็ลองอ่านกันดูนะครับ กับเรื่องที่มีชื่อว่า
"ขวัญผวาคืนแทงกบ"
เรื่องราวของเด็กแสบสามคน เคน ป๊อบ โหน่ง สามหนุ่มลูกทุ่งแห่งบ้านหมาแหงน ที่ใช้ชีวิตแบบเด็กบ้านนาทั่วไป วันปกติก็ไปโรงเรียน เรียนบ้างเล่นบ้างตามภาษาเด็ก ส่วนวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เป็นดั่งเวลาที่ฟ้าประทานให้ เด็กๆเหล่านี้จะมีกิจกรรมให้ทำได้ตลอดทั้งวัน และยิ่งช่วงนี้เป็นฤฝน
แน่นอน เป็นฤดูกาลที่เด็กๆเหล่านี้จะออกล่าเหมือนอย่างเคย แต่การล่าครั้งนี้ อาจไม่ได้สนุกอย่างที่คิด เพราะพวกเขาเข้าไปล่าเหยื่อผิดที่ผิดทาง
“ย่างเข้าเดือนห๊ก ฝนก็ต๊กพรำๆ กบมันก็ร้องงึมงำ ระงมไปทั่วท้องนา….”
เสียงลุงฉ่ำขี้เมาประจำหมู่บ้านร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์ แกเดินโซซัดโซเซเป๋ไปเป๋มา จะหล่นลงข้างทางก็หลายครั้ง
แต่ราวกับคนเมานั้นมีปาฏิหารในตัวเอง แม้จะเซจนเกือบล้มแต่ไม่ล้ม บางครั้งแกหยุดเดิน ตัวแอ่นไปข้างหลังราวกับจะทิ้งดิ่งลงตรงนั้น แต่จู่ๆ แกก็หยุดเอาดื้อๆ
ร่างแกหงายหน้าทำมุม 45 องศากับพื้นโลก สักพักก็เด้งกลับมาตั้งตัวตรงเหมือนเดิม แล้วก็เริ่มเดินตุปัดตุเป๋ต่อไป อาการเหล่านี้เป็นที่ขำขันเฮฮาของคนที่พบเห็น
ที่บ้านของโหน่ง ที่บัดนี้อีกสองสหายแห่งแก๊งนักล่ายามราตรีเคนและป๊อบ กำลังง่วนกับการเตรียมอุปกรณ์ในการออกล่า
ฝนตกกระหน่ำอย่างหนักตั้งแต่บ่าย มาหยุดเอาช่วงค่ำๆ บรรยากาศแบบนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ทั้งสามสหายจะออกไปแทงกบกัน
“ไอ้โหน่ง เสร็จรึยังวะ ชักช้าเดี๋ยวคนมากันเต็มทุ่ง ไม่ทันกินกันพอดี” ป๊อบตะโกนถามเพื่อน
“เออๆ เสร็จแล้ว แหม…จะกลัวอะไรขนาดนั้นวะ กบมีเป็นแสน ยิ่งช่วงฝนตกใหม่แบบนี้นะ กูให้คนแห่ไปทั้งหมู่บ้านก็จับไม่หมด เชื่อกูดิ” โหน่งเอ่ยบอก
“คราวที่แล้วก็พูดแบบเนี๊ยะ แล้วเป็นไง สุดท้ายได้คนละตัวสองตัว เสียเวลาชิบ”เคนบ่นอุบ
ทั้งสามเกลอพากันปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปท้องนาท้ายหมู่บ้าน ทุกคนมีอาวุธประจำกายกันถ้วนหน้า ทั้งฉมวกแทงกบ ไฟฉายติดหน้าผาก ตะข้องสำหรับใส่กบที่แทงได้
เพียงสิบนาทีพวกเขาก็มาถึงจุดหมาย แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะเมื่อมองไปกลางทุ่งนา ก็พบกับแสงไฟราวสิบกว่าดวงกระจายเต็มทุ่ง ก้มๆเงยๆ อยู่แบบนั้น
“นั่นไงกูว่าแล้ว อ่ะมัวแต่ชักช้า ดูดิ ไฟหยั่งกะงานวัด” ป๊อบว่าให้โหน่งอย่างอารมณ์เสีย
“กูบอกแล้วไอ้ป๊อบ ถ้าจะชวนไอ้โหน่งไป ต้องนัดมันตั้งแต่บ่ายสาม ไอ้นี่มันเทพลีลา แล้วทีนี้จะเอาไง พวกจะไปต่อรึพอแค่นี้"
เคนเอ่ยขึ้นพลางหันไปถามเพื่อนทั้งสอง
“ออกมาแล้วก็ต้องไปต่อดิวะ กลับมือเปล่าเสียเชิงหมด” ป๊อบเอ่ย
“แล้วจะลงไปร่วมสังสรรค์กับท่านทั้งหลายเหล่านั้นรึไง คงจะทันหรอก” เคนหันไปบอกป๊อบอย่างหมดหวัง
“กูมีอีกทางเลือกนึง นาตาแกละไง”
โหน่งเอ่ยขึ้นแสดงสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
นาตาแกละที่โหน่งพูดถึงอยู่ที่ท้ายวัดติดกับป่าช้า บรรยากาศที่นั่นจึงวังเวง
แต่ที่โด่งดังไม่ใช่บรรยากาศแต่เป็นเจ้าของสถานที่ ตาแกละตกห้างลงมาคอหักตายได้หลายปีแล้ว
ความสูงของพื้นห้างก็ไม่ได้สูงนัก เพียงแค่ระดับอกของผู้ใหญ่คนนึงเท่านั้นเอง แต่ตาแกละกลับตกลงมาตาย
กว่าจะมีคนรู้เรื่องก็ตอนเช้าที่เมียแกเอาข้าวไปส่งให้นั่นแหละ สภาพศพนอนคว่ำแต่ใบหน้ากลับหันมาอยู่ข้างหลังอย่างผิดรูป น่าสยดสยอง
หลังจากตาแกละตายก็มีคนพบเห็นแกนั่งอยู่บนห้างบ้าง เดินไปมาในนาของตัวเองบ้าง
ขนาดกลางวันแสกๆ ยังเคยมีคนเห็นแกแบกจอบทำท่าจะเดินไปขุดคันนาตามปกติ แต่หัวกลับหันมาด้านหลัง
ชาวบ้านคนนั้น ถึงกับต้องทิ้งจอบทิ้งเสียม วิ่ง 4x100 ไม่เหลียวหลัง แม้แต่เมียของแกก็ยังโดนหลอก วิ่งหัวฟูกลับบ้านจับไข้ไปหลายวัน นาของแกจึงถูกทิ้งร้างเพราะไม่มีใครกล้าไปดูแล
“จะบ้าเหรอวะ ที่นั่นใครๆก็รู้ว่าผีดุ ไม่มีใครเค้ากล้าเข้าไปกันหรอก”
ป๊อบร้องบอกหน้าตาตื่น
“นั่นแหละประเด็น เมื่อไม่มีใครก็ไป เราก็หาแทงกบกันได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกลัวใครมาแย่ง อีกอย่างเรื่องมันก็ผ่านมานานละ ป่านนี้ตาแกละไม่ไปเกิดเป็นดาวลูกไก่แล้วเรอะ ” โหน่ง เอ่ยขึ้นอย่างผู้มีชัย
ป๊อบและเคนนิ่งเงียบ ใช้ความคิดอย่างหนัก
“ตกลงพวกจะเอายังไง จะลงไปแทงที่นี่โดยยังไม่รู้ว่าจะทันคนอื่นรึเปล่า หรือจะไปกับกู ที่มั่นใจว่าได้แน่นอน 100% ”โหน่งถามเพื่อนทั้งสองอย่างขัดใจ
“ เออ ไปก็ไปวะ" ป๊อบตอบสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจนัก ้
“เอาจริงเหรอวะ วันนี้กูไม่ได้คล้องพระมานะเว้ย”
เคนบอกอ่อยๆ เป็นที่รู้กันในกลุ่มเพื่อนว่าเคนนั้นเป็น
คนตาขาวที่สุดในกลุ่ม
“เออน่า เชื่อกูดิ ป่านนี้ตาแกละแกไปเกิดแล้ว ไม่มามัวนั่งหงอยเหงาเฝ้าห้างอยู่คนเดียวหรอก ไป ออกเดินทางได้พวก”
โหน่งพูดปลอบเพื่อนพลางขึ้นคล่อมจักรยานแล้วปั่นออกไปโดยไม่รอช้า
ทั้งเคนและป๊อบจำใจต้องปั่นตามไปอย่างไม่มีทางเลือก