‘ยิ่งลักษณ์’ ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 2 โดยมี ‘พี่โทนี่’ ให้กำลังใจ พร้อมเผยผลข้างเคียงที่พบ (คลิป)
https://www.matichon.co.th/politics/news_2616428

 
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์อินสตาแกรม @pouyingluck_shin ซึ่งเป็นภาพจากการเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่สอง โดยมีพี่ชายอย่าง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้าง พร้อมกันนี้ยังโพสต์คลิประหว่างฉีดวัคซีนในอินสตาแกรมสตอรี่อีกด้วย
 
ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมีข้อความระบุว่า 
  
“สองสามวันก่อนดิฉันไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มที่สองแล้วค่ะ ครั้งนี้มีคุณโทนี่พี่ชายที่แสนดี มาคอยให้กำลังใจดิฉันเช่นเคย
 
ดิฉันรับวัคซีนของซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ค่ะ ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับเข็มแรกที่ฉีดไป ความรู้สึกตอนฉีดระหว่างเข็มแรกกับเข็มสองนั้นไม่ต่างกัน แต่เข็มแรกอาจจะมีความกังวลว่าจะมีอาการแพ้ไหม และรู้สึกหนักที่ต้นแขนที่ฉีดยามากหน่อย เพราะร่างกายเรายังไม่คุ้นเคย ทำให้รู้สึกเพลียบ้างเล็กน้อย แต่สำหรับเข็มที่สองความกังวลลดลงไป หลังฉีดเสร็จส่วนตัวดิฉันรู้สึกว่าไม่ค่อยปวด เพียงแขนรู้สึกหนัก เมื่อยล้าเล็กน้อย สักพักก็กลับไปเหมือนปกติ ทั้งนี้ร่างกายหลังฉีดวัคซีนอ่อนเพลียและง่วงซึมบ้าง ดังนั้นหลังการฉีด จึงควรพักผ่อนให้เพียงพอ
 
หลังจากนี้อีกประมาณ 1 เดือน แพทย์จะให้ดิฉันตรวจ Anti Body หรือ การตรวจระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด-19 อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่า ร่างกายเรามีภูมิคุ้มกันเพียงพอแล้ว เพราะตามทฤษฎีร่างกายควรจะมีภูมิคุ้มกันหลังจากฉีดเข็มที่สอง แต่อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เกิดความประมาท เรายังคงต้องกินของร้อน ใช้ช้อนส่วนตัว ล้างมือบ่อยๆ ใส่หน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างเหมือนเดิมค่ะ
 
ในอนาคตอันใกล้ทุกประเทศจะทยอยให้ประชาชนของตนเองได้ฉีดวัคซีน เพื่อได้เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัว ส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้น สร้างรายได้ให้กับประชาชน ดิฉันเชื่อว่าใบรับรองการฉีดวัคซีน หรือ วัคซีนพาสปอร์ต คงจะเป็นเอกสารอีกหนึ่งชิ้นที่เราจะต้องแสดงคู่กับหนังสือเดินทาง เพื่อเป็นใบเบิกทางในการเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ได้
 
นี่คืออีกวิถีชีวิตหนึ่งของเราที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการระบาดของโควิด-19 ค่ะ”
  
(คลิปอยู่ในข่าวครับ)
 

---

 
“การบินไทย” โครงสร้างใหม่ป่วน ฐานเงินเดือนร่วง ลุ้นสัญญาจ้างใหม่
https://www.prachachat.net/tourism/news-627176
 
โครงการใหม่การบินไทยป่วน! พนักงานร่วม 2 หมื่นคนเศร้า ฐานเงินเดือนใหม่รายได้ร่วงเฉลี่ย 10-20% แถมต้องแบกรับภาษีด้วยตัวเอง ลุ้นต่อสัญญาจ้างใหม่จะได้ไปต่อหรือถูกบีบให้เข้าแผนเออร์รี่ เผยรอบนี้เป้าลดพนักงาน 6-7 พันคน
 
แหล่งข่าวจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าหลังจากที่บริษัทฯ ได้ทำการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่รับแผนฟื้นฟู และเตรียมความพร้อมที่จะกลับมาให้บริการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันจนสามารถกลับมาเป็นผู้นำในตลาดอุตสาหกรรมการบินอีกครั้งนั้นพบว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้ประกาศโครงสร้างเงินเดือนใหม่สำหรับพนักงานทั้งหมดไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมาได้สร้างความสับสนให้กับพนักงานอย่างมาก เนื่องจากฐานโครงสร้างของฐานเงินเดือนใหม่นั้นส่วนใหญ่ได้รับในอัตราที่ลดลงเฉลี่ยประมาณ 10-20% พร้อมทั้งต้องแบกรับภาษีด้วยตัวเอง
 
ทั้งนี้ ผู้บริหารมีแผนจะนัดประชุมพนักงานทั้งหมดเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบ ข้อบังคับการทำงาน รวมถึงสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ต่างๆ สำหรับดำเนินงานในอนาคตภายในสัปดาห์นี้ เพื่อให้พนักงานส่วนใช้ประกอบในการตัดสินใจว่า จะสมัครลงชื่อในสัญญาจ้างใหม่ต่อไปหรือไม่ ซึ่งหากใครรับไม่ได้หรือไม่เห็นด้วยกับแนวทางใหม่ บริษัทฯได้เปิดให้เข้าร่วมโครงการร่วมใจจากองค์กรแผน C (MSP C) ต่อไป
 
“ตอนนี้โครงการร่วมใจจากองค์กรแผน C ได้ดำเนินการไปแล้ว 2 Block เหลือ Block ที่ 3 และ 4 โดย Block ที่ 3 รับสมัครตั้งแต่ 16 มีนาคม–1 เมษายน Block ที่ 4 รับสมัครตั้งแต่ 1–19 เมษายน ซึ่งพนักงานที่เข้าโครงการฯ จะได้รับเงินตอบแทนในอัตราเทียบเท่าค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน คำนวณจากค่าจ้างอัตราสุดท้ายของพนักงานตามกฎหมาย และยังมีเงินตอบแทนพิเศษเพิ่มเติมเท่ากับเงินเดือน 0.5 – 1 เดือน ตามอายุของพนักงาน”
 
สำหรับพนักงานที่ต้องการไปต่อนั้น บริษัทฯ เปิดให้ลงชื่อสมัครตั้งแต่วันที่ 11-19 มีนาคมนี้ จากนั้นจะมีหน่วยงานพิจารณาคัดเลือก และจะแจ้งรายชื่อผู้ที่ผ่านมาการคัดเลือกในวันที่ 1 เมษายน 2564
 
“ประเด็นที่น่าวิตกตอนนี้คือ พนักงานแต่ละคนไม่รู้ว่าหลักเกณฑ์การพิจารณาตัดเลือกของแต่ละหน่วยธุรกิจ หรือในแต่ละแผนกนั้นคืออะไร และในโครงสร้างใหม่นี้ก็ไม่ได้ระบุว่าในแต่ละแผนก แต่ละหน่วยธุรกิจนั้นมีบริษัทฯ จะใช้พนักงานจำนวนกี่คน” แหล่งข่าวกล่าว
 
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า เชื่อว่าการให้พนักงานทั้งหมดทำสัญญาจ้างใหม่ครั้งนี้เป็นหนึ่งในแผนปรับลดจำนวนพนักงานจากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 19,500 คน ให้เหลือประมาณ 13,000-15,000 ภายในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้ แต่ในครั้งคาดว่าบริษัทฯ มีเป้าหมายการเอาพนักงานออกราว 6,000-7,000 คน