10.BrandNew Sunset - The Machiner
ถ้าจะบอกว่าBrandNew Sunset คืออีก1วงดนตรีไทยที่ข้ามกาลเวลาคำนี้หาใช่เกินไปไม่
ทั้งการอยู่ค่ายในตำนานอย่าง New Destiny Records เข้าค่ายใหญ่อย่าง BEC-TERO MUSIC
จนมาถึงวันนี้พวกเขากลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง และที่ต่างไปจากตอนที่หัดเริ้มต้นทำอัลบัมแรกก็คือ
อัลบัมที่6สังกัด Black Groove Records ที่พวกเขาตั้งขึ้นมาเอง โดยมีพี่ชายเป็นนายห้างและแทบจะทุกอย่างทั้งค่ายและวงดนตรี
บ่งบอกถึงการเติบโตอย่างมั่นใจในฝีมือและวุฒิภาวะ
โดยอัลบัมชุดที่ 6 มีชื่อว่า The Machiner นี้ใช้เวลา4ปีนับจาก Of Space And Time ถือว่าไม่นานนับเทียบกับตอนที่หายไปถึง6ปี
แน่นอนพวกเขายังคงเป็นBrandNew Sunsetแบบที่เรารู้จัก ซึ่งอีกสิ่งที่เราๆรู้กันอยู่พวกเขาแทบจะทำอัลบัมทั้งหมดด้วยตัวเอง
อัลบัมนี้ยังคงใช้การอัดสด ซึ่งแน่นอนเราจะได้ผลงานศิลปะทรงคุณค่าอีกชิ้นนึงที่มีความสดใหม่และผลงานเนี้ยบ แสดงถึงทีมเวิร์คที่เข้าขาประสานกันเป็นอย่างดี
ของพวกเขาทั้ง5คน
The Machiner คือMetalที่มีความเก๋าแบบลายครามอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว ด้วยความอหังการ์ที่จะนำ Black SabbathและThe Beatles มาเป็นอิทธิพลในการทำอัลบัม
ด้วยความเคารพ
แน่นอนหลายคนรวมทั้งผู้เขียนเข้าไม่ถึงวงดนตรีทั้งสองที่ว่าเพราะอาจเกิดไม่ทัน แต่พอคิดซะว่าเหมือนรุ่นพี่ พี่ชายที่สนิทนำเพลงรุ่นเก๋าๆมาเล่นโดยไส่ลายเซ็นเข้าไป
ก็พอจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นเยอะ ด้วยดนตรีแบบ Post Metal ที่เน้น RiffและRhythmเอาใจใส่ในด้านกระดูกสันหลังมากกว่าโดยลดการSolo กีตาร์ลงไปพอสมควรเลย
แน่นอนว่าจุดเด่นที่สุดอีกอย่างของ BrandNew Sunset คือสองมือกีตาร์ ที่เรารู้กันดีอย่างชุดที่แล้วคือจุดหัวเลี้ยวหัวต่ออีกจุดของวงอันเนื่องมาจากพี่กานต์ที่ลาออกจากวงไป
แต่หลายคนก็ยังจำพาร์ทกีตาร์ได้ที่บางเพลงมีกลิ่นดนตรียุค2000'sปลายๆเช่นEasy Core,Hardcore แต่ชุดนี้เราจะได้ฟังพาร์ทกีตาร์ของพี่ก้องเต็มๆ ซึ่งดาร์คได้ใจพอควร
ถ้าจะนับเวลาที่ BrandNew Sunsetห่างหายไปจากการทำเพลงภาษาอังกฤษทั้งอัลบัม ก็กินเวลาไป15ปีจากRealisticที่ออกมาปี2005 The Machiner คืออีกชุดที่มีเพลง
ภาษาอังกฤษอัดแน่นถึง8เพลง รวมIntroและ Interludeอีกอย่างละ 1ซึ่งส่วนเพลงบรรเลงนี่แหละถือเป็นอีก 1 เซอร์ไพรส์ที่จะขอพูดถึงใน Track By Track
ไหนๆข้างบนก็พูดเรื่องความดาร์คไปแล้ว แน่นอนชุดนี้มีความต่อเนื่องมาจากOf Space And Time อยู่พอสมควรทั้งวความดาร์คและมืดหม่นและความพิศวง
และเรื่องที่รอการหาคำตอบ
ซึ่งแน่นอนไม่มีเพลงด้านสว่างให้กำลังใจแบบชุดที่ผ่านมา จึงขอยกให้ว่านี่เป็นผลงานที่ดาร์คที่สุดตั้งแต่วงเดินทางมาเกือบ20ปี เลยที่เดียว
หากยังจำได้ในชุด Of Space And Time ในเพลงSpaceship มีการพูดถึงผู้สร้าง ผู้เขียนคิดว่าวงได้นำเอาประเด็นนั้นมาต่อยอด เช่นผู้สร้างทุกสิ่งเปรียบดั่งเครื่องควบคุม
มนุษย์ที่มีการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และ รัก โลภ โกรธ หลงทั้งหลายก็ทำงานเป็นดั่งฟันเฟืองในเครื่องจักร ที่อาจกำหนดมาแล้วให้เราต้องเคลื่อนที่และทำงานอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ดูเหมือนจะได้เวลาหยุดทำงานของเครื่องจักรเข้าไปทุกที นั่นก็คือวันสิ้นโลกที่ทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหวและรอการพังทลาย และถ้าโลกเรามาถึงวันสิ้นโลก
จะเป็นไปได้ไหมว่านีอาจคือจุดเริ่มต้นในจุดจบของจักรวาล
เรามาหาคำตอบในวันสิ้นโลกในรูปแบบของ BrandNew Sunset กัน
Track By Track
D.O.N.E
เมื่อทุกอย่างจบสิ้นลง สัญญาณแรกและสุดท้ายก็ได้ดังขึ้น
Introของอัลบัมที่มืดหม่นที่สุด เป็นเสียงระฆังค่อยดีดังขึ้นช้าๆอย่างน่าใจหาย
พร้อมกับเสียงของจิตแพทย์ที่กรอกหูย้ำเตือนถึงสภาวะปัจจจุบัน ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มรุนแรงขึ้นใน
Headspin
สัมผัสได้ถึงความโกลาหล การไขว่คว้าตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด
แม้ภาคดนตรีอาจไม่มีอะไรซับซ้อนแบบที่เคยเป็นมาละเป็นเพลงที่สั้นแค่นาทีกว่า แต่รู้สึกได้ชัดถึงความมืดที่กำลังมาเยือนทั้งข้างนอกในการมองเห็น
และข้างในจิตใจ
Fading Reality
ความมืดกำลังไล่ตามเรา เราต้องหนีทั้งความมืดและสิ่งที่มากับความมืด
เพลงนี้พูดถึงการเอาตัวรอดและความอับจนหนทาง แบบท่อนคลีนที่เราได้ยินเป็นครั้งแรกก็ปาเข้าไปเพลงที3แล้ว
ทางออกเดียวที่มีคือการปลดปล่อยตัวเอง ในแบบที่เพลงนี้กล่าวถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิตที่จะค่อยๆแผ่วลงไปตามชื่อเพลง
Catalyst
ลางร้ายกำลังเข้ามาทุกขณะ ทางสู้ก็คือทางหนี
Punkสาดๆคอร์ดแบบไม่ต้องมีอะไรไห้คิดเยอะ
ด้วยความหลอกหลวงของคนที่สื่อถึงในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ได้รับมา บวกกับความโกลาหลต่างๆ ทำให้เพลงนี้ดูอันตรายยิ่งขึ้น
ด้วยจังหวะที่ค่อนข้างเร็วอาจทำให้หายใจได้ไม่ทั่วท้อง จงหนีมันไปซะ
The Sun That Never Came
เมื่อแสงตะวันไม่ทรงพลังเท่าที่ควร
แม้ว่าเพลงนี้จะสื่อถึงดวงอาทิตย์แต่ก็เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์ที่กำลังดับลง เหมือนเป็นการเฝ้ารอถึงความหวังที่ไม่อาจกลับมาสว่างดั่งแต่ก่อนแล้ว
Riffง่ายๆช้าๆผสานกับเสียงสครีมด้วยความอึดอัด จนมาถึงท่อนคลีนที่เหมือนโหยหาอะไรอยู่ และกีตาร์Soloของพี่ชายสามสิ่งที่ว่าสร้างโลกทั้งใบให้กับเพลงนี้
อย่างไรก็ตามแม้หลายอย่างในเพลงนี้จะดูน่ากลัว แต่ก็มีความสวยงามในแบบของมันเอง
เพลงนี้คือเพลงที่ผู้เขียนชอบสุดในอัลบัมครับ
City of Dust
มันเกิดขึ้นแล้ว เงียบและใกล้ตัวอย่างที่คิด
อย่างที่บอกทุกอัลบัมของBrandNew Sunset จะมีเพลงที่เป็นการลองอะไรไหม่ๆเข้ามา
แม้ว่าอาจจะไม่ไช่เพลงที่ชอบและดีที่สุดในอัลบัม แต่นี่คือInterludeที่เป็นเพลงบรรเลงที่มีแค่เสียงกีตาร์โปร่งดิบๆ
ผสานกับเพอร์คัชชั่นที่พี่ชายบรรจงตีด้วยมือของตัวเอง
คลอไปกับเสียงสังเคราะห์ เป็นการมองออกไปยังโลกที่เราเคยอยู่โดยมีฝุ่นเป็นทัศนียภาพ กับซากที่พังทลายลง
HEX
ท่านคือผู้นำโลกใหม่ที่กำลังจะมาถึงพวกเรา
โชคดีที่ได้ศึกษาเรื่องลัทธิ Jim Jones ศาสดาของลัทธิที่ก่อเหตุฆ่าตัวตายหมู่ พอดีจากช่อง Youtubeจึงมองเห็นสิ่งที่เพลงจะสื่อไม่ยากเลย
อย่างที่บอกไว้ว่าอัลบัมนี้จะสื่อถึงวันสิ้นโลก ที่จะค่อยๆกัดกินทุกสิ่งไปอย่างช้าๆ
คำพูดของคนๆเดียวมีอำนาจเพียงพอที่จะทำให้คนเกือบพันคนจบชีวิตตัวเอง เพลงนี้บ่งบอกถึงอารมณ์หวาดกลัวของสาวกที่ต้องการบางอย่างที่
ต้องการศาสดาที่แกร่งพอที่จะให้พวกเขายึดเหนี่ยวจิตใจ
ไม่ค่อยพูดถึงไลน์เบสของBrandNew Sunset เท่าไรเพลงนี้เราจะได้ยินเสียงเบสที่ต่างออกไปของพี่ยุทธ และทางด้านการร้องถือได้ว่าเป็นเพลงที่มีเสียงคลีนเยอะที่สุด
เทียบกับเวลาของเพลงเกือบ10นาที และด้วยจังหวะเพลงที่ไม่เร็วมากนักเหมือนกันการมอมเมา จนกว่าจะรู้ตัวหรือไม่มีวันได้รู้ตัวก็ไปสู่โลกหน้าแบบสาวกในลัทธิของJim Jones
ซะแล้ว
The Machiner
หากผู้สร้างได้มอบสิ่งที่เรียกว่าชีวิต เวลานี้คือเวลานำสิ่งที่ว่านั้นกลับไป
ไม่มีเสียงคลีนให้ผ่อนปรน นี่คือการสครีมหรือว้ากล้วนๆ เหมือนการพิพากษาของผู้สร้างที่มาในรูปแบบของผู้ทำลาย เหมือนการจับมัดและกักขังไว้เพื่อทรมานและให้ตระหนักรู้
จะอยู่หรือตาย ขึ้นอยู่กับมัน
Into The New Sky
โลกเป็นเพียงเม็ดทรายในจักรวาล
ถ้าเทียบกับความมืดหม่นเพลงนี้ถือว่าได้ดึงด้านสว่างออกมาเยอะพอสมควร
หลังจากจุดจบได้ผ่านไปเพลงนี้เหมือนการเดินทางมาสู่อีกโลกหนึ่ง
Post-Apocalyptic Lullaby
ที่ๆตรงนี้จะเปลี่ยนไปจากเดิมและจะไม่มีวันเป็นเหมือนเดิม
ยุคสมัยที่ส่งผ่านต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น
เสียงร้องของพี่ตูนคือการร้องเพลงผ่านโทรศัพท์ เพื่อบันทึกถึงสิ่งที่ผ่านมา บอกเล่าถึงสิ่งที่ได้รับมาจากรุ่นก่อนและเล่าถึงบุคลที่ต้องการจะส่งต่อ
ว่ากล่าวกันถึงสิ่งที่มีอยู่ และเคยมีอยู่ในตรงนี้ เป็นการสรุปถึงโลกที่พังทลายไปแล้ว
ราวกับว่าเราได้ตระหนักรู้แล้วว่าที่ๆเราอาศัยคือเศษซากของสิ่งที่เคยสวยงาม
ที่เราหลอกตัวเองว่ามันคือ "โลกใหม่"
My Best Albums of 2020
ถ้าจะบอกว่าBrandNew Sunset คืออีก1วงดนตรีไทยที่ข้ามกาลเวลาคำนี้หาใช่เกินไปไม่
ทั้งการอยู่ค่ายในตำนานอย่าง New Destiny Records เข้าค่ายใหญ่อย่าง BEC-TERO MUSIC
จนมาถึงวันนี้พวกเขากลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง และที่ต่างไปจากตอนที่หัดเริ้มต้นทำอัลบัมแรกก็คือ
อัลบัมที่6สังกัด Black Groove Records ที่พวกเขาตั้งขึ้นมาเอง โดยมีพี่ชายเป็นนายห้างและแทบจะทุกอย่างทั้งค่ายและวงดนตรี
บ่งบอกถึงการเติบโตอย่างมั่นใจในฝีมือและวุฒิภาวะ
โดยอัลบัมชุดที่ 6 มีชื่อว่า The Machiner นี้ใช้เวลา4ปีนับจาก Of Space And Time ถือว่าไม่นานนับเทียบกับตอนที่หายไปถึง6ปี
แน่นอนพวกเขายังคงเป็นBrandNew Sunsetแบบที่เรารู้จัก ซึ่งอีกสิ่งที่เราๆรู้กันอยู่พวกเขาแทบจะทำอัลบัมทั้งหมดด้วยตัวเอง
อัลบัมนี้ยังคงใช้การอัดสด ซึ่งแน่นอนเราจะได้ผลงานศิลปะทรงคุณค่าอีกชิ้นนึงที่มีความสดใหม่และผลงานเนี้ยบ แสดงถึงทีมเวิร์คที่เข้าขาประสานกันเป็นอย่างดี
ของพวกเขาทั้ง5คน
The Machiner คือMetalที่มีความเก๋าแบบลายครามอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว ด้วยความอหังการ์ที่จะนำ Black SabbathและThe Beatles มาเป็นอิทธิพลในการทำอัลบัม
ด้วยความเคารพ
แน่นอนหลายคนรวมทั้งผู้เขียนเข้าไม่ถึงวงดนตรีทั้งสองที่ว่าเพราะอาจเกิดไม่ทัน แต่พอคิดซะว่าเหมือนรุ่นพี่ พี่ชายที่สนิทนำเพลงรุ่นเก๋าๆมาเล่นโดยไส่ลายเซ็นเข้าไป
ก็พอจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นเยอะ ด้วยดนตรีแบบ Post Metal ที่เน้น RiffและRhythmเอาใจใส่ในด้านกระดูกสันหลังมากกว่าโดยลดการSolo กีตาร์ลงไปพอสมควรเลย
แน่นอนว่าจุดเด่นที่สุดอีกอย่างของ BrandNew Sunset คือสองมือกีตาร์ ที่เรารู้กันดีอย่างชุดที่แล้วคือจุดหัวเลี้ยวหัวต่ออีกจุดของวงอันเนื่องมาจากพี่กานต์ที่ลาออกจากวงไป
แต่หลายคนก็ยังจำพาร์ทกีตาร์ได้ที่บางเพลงมีกลิ่นดนตรียุค2000'sปลายๆเช่นEasy Core,Hardcore แต่ชุดนี้เราจะได้ฟังพาร์ทกีตาร์ของพี่ก้องเต็มๆ ซึ่งดาร์คได้ใจพอควร
ถ้าจะนับเวลาที่ BrandNew Sunsetห่างหายไปจากการทำเพลงภาษาอังกฤษทั้งอัลบัม ก็กินเวลาไป15ปีจากRealisticที่ออกมาปี2005 The Machiner คืออีกชุดที่มีเพลง
ภาษาอังกฤษอัดแน่นถึง8เพลง รวมIntroและ Interludeอีกอย่างละ 1ซึ่งส่วนเพลงบรรเลงนี่แหละถือเป็นอีก 1 เซอร์ไพรส์ที่จะขอพูดถึงใน Track By Track
ไหนๆข้างบนก็พูดเรื่องความดาร์คไปแล้ว แน่นอนชุดนี้มีความต่อเนื่องมาจากOf Space And Time อยู่พอสมควรทั้งวความดาร์คและมืดหม่นและความพิศวง
และเรื่องที่รอการหาคำตอบ
ซึ่งแน่นอนไม่มีเพลงด้านสว่างให้กำลังใจแบบชุดที่ผ่านมา จึงขอยกให้ว่านี่เป็นผลงานที่ดาร์คที่สุดตั้งแต่วงเดินทางมาเกือบ20ปี เลยที่เดียว
หากยังจำได้ในชุด Of Space And Time ในเพลงSpaceship มีการพูดถึงผู้สร้าง ผู้เขียนคิดว่าวงได้นำเอาประเด็นนั้นมาต่อยอด เช่นผู้สร้างทุกสิ่งเปรียบดั่งเครื่องควบคุม
มนุษย์ที่มีการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และ รัก โลภ โกรธ หลงทั้งหลายก็ทำงานเป็นดั่งฟันเฟืองในเครื่องจักร ที่อาจกำหนดมาแล้วให้เราต้องเคลื่อนที่และทำงานอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ดูเหมือนจะได้เวลาหยุดทำงานของเครื่องจักรเข้าไปทุกที นั่นก็คือวันสิ้นโลกที่ทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหวและรอการพังทลาย และถ้าโลกเรามาถึงวันสิ้นโลก
จะเป็นไปได้ไหมว่านีอาจคือจุดเริ่มต้นในจุดจบของจักรวาล
เรามาหาคำตอบในวันสิ้นโลกในรูปแบบของ BrandNew Sunset กัน
Track By Track
D.O.N.E
เมื่อทุกอย่างจบสิ้นลง สัญญาณแรกและสุดท้ายก็ได้ดังขึ้น
Introของอัลบัมที่มืดหม่นที่สุด เป็นเสียงระฆังค่อยดีดังขึ้นช้าๆอย่างน่าใจหาย
พร้อมกับเสียงของจิตแพทย์ที่กรอกหูย้ำเตือนถึงสภาวะปัจจจุบัน ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มรุนแรงขึ้นใน
Headspin
สัมผัสได้ถึงความโกลาหล การไขว่คว้าตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด
แม้ภาคดนตรีอาจไม่มีอะไรซับซ้อนแบบที่เคยเป็นมาละเป็นเพลงที่สั้นแค่นาทีกว่า แต่รู้สึกได้ชัดถึงความมืดที่กำลังมาเยือนทั้งข้างนอกในการมองเห็น
และข้างในจิตใจ
Fading Reality
ความมืดกำลังไล่ตามเรา เราต้องหนีทั้งความมืดและสิ่งที่มากับความมืด
เพลงนี้พูดถึงการเอาตัวรอดและความอับจนหนทาง แบบท่อนคลีนที่เราได้ยินเป็นครั้งแรกก็ปาเข้าไปเพลงที3แล้ว
ทางออกเดียวที่มีคือการปลดปล่อยตัวเอง ในแบบที่เพลงนี้กล่าวถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิตที่จะค่อยๆแผ่วลงไปตามชื่อเพลง
Catalyst
ลางร้ายกำลังเข้ามาทุกขณะ ทางสู้ก็คือทางหนี
Punkสาดๆคอร์ดแบบไม่ต้องมีอะไรไห้คิดเยอะ
ด้วยความหลอกหลวงของคนที่สื่อถึงในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่ได้รับมา บวกกับความโกลาหลต่างๆ ทำให้เพลงนี้ดูอันตรายยิ่งขึ้น
ด้วยจังหวะที่ค่อนข้างเร็วอาจทำให้หายใจได้ไม่ทั่วท้อง จงหนีมันไปซะ
The Sun That Never Came
เมื่อแสงตะวันไม่ทรงพลังเท่าที่ควร
แม้ว่าเพลงนี้จะสื่อถึงดวงอาทิตย์แต่ก็เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์ที่กำลังดับลง เหมือนเป็นการเฝ้ารอถึงความหวังที่ไม่อาจกลับมาสว่างดั่งแต่ก่อนแล้ว
Riffง่ายๆช้าๆผสานกับเสียงสครีมด้วยความอึดอัด จนมาถึงท่อนคลีนที่เหมือนโหยหาอะไรอยู่ และกีตาร์Soloของพี่ชายสามสิ่งที่ว่าสร้างโลกทั้งใบให้กับเพลงนี้
อย่างไรก็ตามแม้หลายอย่างในเพลงนี้จะดูน่ากลัว แต่ก็มีความสวยงามในแบบของมันเอง
เพลงนี้คือเพลงที่ผู้เขียนชอบสุดในอัลบัมครับ
City of Dust
มันเกิดขึ้นแล้ว เงียบและใกล้ตัวอย่างที่คิด
อย่างที่บอกทุกอัลบัมของBrandNew Sunset จะมีเพลงที่เป็นการลองอะไรไหม่ๆเข้ามา
แม้ว่าอาจจะไม่ไช่เพลงที่ชอบและดีที่สุดในอัลบัม แต่นี่คือInterludeที่เป็นเพลงบรรเลงที่มีแค่เสียงกีตาร์โปร่งดิบๆ
ผสานกับเพอร์คัชชั่นที่พี่ชายบรรจงตีด้วยมือของตัวเอง
คลอไปกับเสียงสังเคราะห์ เป็นการมองออกไปยังโลกที่เราเคยอยู่โดยมีฝุ่นเป็นทัศนียภาพ กับซากที่พังทลายลง
HEX
ท่านคือผู้นำโลกใหม่ที่กำลังจะมาถึงพวกเรา
โชคดีที่ได้ศึกษาเรื่องลัทธิ Jim Jones ศาสดาของลัทธิที่ก่อเหตุฆ่าตัวตายหมู่ พอดีจากช่อง Youtubeจึงมองเห็นสิ่งที่เพลงจะสื่อไม่ยากเลย
อย่างที่บอกไว้ว่าอัลบัมนี้จะสื่อถึงวันสิ้นโลก ที่จะค่อยๆกัดกินทุกสิ่งไปอย่างช้าๆ
คำพูดของคนๆเดียวมีอำนาจเพียงพอที่จะทำให้คนเกือบพันคนจบชีวิตตัวเอง เพลงนี้บ่งบอกถึงอารมณ์หวาดกลัวของสาวกที่ต้องการบางอย่างที่
ต้องการศาสดาที่แกร่งพอที่จะให้พวกเขายึดเหนี่ยวจิตใจ
ไม่ค่อยพูดถึงไลน์เบสของBrandNew Sunset เท่าไรเพลงนี้เราจะได้ยินเสียงเบสที่ต่างออกไปของพี่ยุทธ และทางด้านการร้องถือได้ว่าเป็นเพลงที่มีเสียงคลีนเยอะที่สุด
เทียบกับเวลาของเพลงเกือบ10นาที และด้วยจังหวะเพลงที่ไม่เร็วมากนักเหมือนกันการมอมเมา จนกว่าจะรู้ตัวหรือไม่มีวันได้รู้ตัวก็ไปสู่โลกหน้าแบบสาวกในลัทธิของJim Jones
ซะแล้ว
The Machiner
หากผู้สร้างได้มอบสิ่งที่เรียกว่าชีวิต เวลานี้คือเวลานำสิ่งที่ว่านั้นกลับไป
ไม่มีเสียงคลีนให้ผ่อนปรน นี่คือการสครีมหรือว้ากล้วนๆ เหมือนการพิพากษาของผู้สร้างที่มาในรูปแบบของผู้ทำลาย เหมือนการจับมัดและกักขังไว้เพื่อทรมานและให้ตระหนักรู้
จะอยู่หรือตาย ขึ้นอยู่กับมัน
Into The New Sky
โลกเป็นเพียงเม็ดทรายในจักรวาล
ถ้าเทียบกับความมืดหม่นเพลงนี้ถือว่าได้ดึงด้านสว่างออกมาเยอะพอสมควร
หลังจากจุดจบได้ผ่านไปเพลงนี้เหมือนการเดินทางมาสู่อีกโลกหนึ่ง
Post-Apocalyptic Lullaby
ที่ๆตรงนี้จะเปลี่ยนไปจากเดิมและจะไม่มีวันเป็นเหมือนเดิม
ยุคสมัยที่ส่งผ่านต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น
เสียงร้องของพี่ตูนคือการร้องเพลงผ่านโทรศัพท์ เพื่อบันทึกถึงสิ่งที่ผ่านมา บอกเล่าถึงสิ่งที่ได้รับมาจากรุ่นก่อนและเล่าถึงบุคลที่ต้องการจะส่งต่อ
ว่ากล่าวกันถึงสิ่งที่มีอยู่ และเคยมีอยู่ในตรงนี้ เป็นการสรุปถึงโลกที่พังทลายไปแล้ว
ราวกับว่าเราได้ตระหนักรู้แล้วว่าที่ๆเราอาศัยคือเศษซากของสิ่งที่เคยสวยงาม
ที่เราหลอกตัวเองว่ามันคือ "โลกใหม่"