หลุมสิว กับ 11 ข้อที่ต้องรู้ ถ้าไม่อยากเสียเงินฟรี
1. หลุมสิวเกิดจากการเป็นสิวรุนแรงหรือเรื้อรัง
ทำให้ผิวตรงนั้นเกิดการอักเสบเยอะจนกลายเป็นหลุมสิว
นอกจากนี้ยังเกิดจากการรักษาสิวที่ทำอย่างไม่ถูกวิธี
เช่น กด แกะ บีบสิวเอง
2. สัญญาณเตือนให้ระวังว่าหน้าเรากำลังมีโอกาสเป็นหลุมสิวแล้ว
เช่น จำนวนสิวอักเสบเยอะ
สิวไม่เยอะแต่เป็นสิวรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง
สิวหายแล้วแต่ยังทิ้งรอยแดงที่ชัดเจนเอาไว้
3. หลุมสิวแบ่งเป็น 3 ชนิด ตามลักษณะของหลุม (ดูรูปประกอบใต้โพส)
ได้แก่ Ice-pick scar (ปากหลุมแคบแต่ก้นลึก)
Boxcar scar (เหมือนกล่อง)
Rolling scar (คล้ายๆแอ่งกระทะ ผิวเป็นคลื่นๆ)
4. ในคนหนึ่งคนมักจะมีหลุมสิวหลายๆแบบผสมกัน
ดังนั้นไม่ต้องเครียดกับการแบ่งชนิดของหลุมสิวมากเกินไป
5. หลุมสิวถ้าเป็นแล้วมักเป็นเลย
รักษาให้ดีขึ้นได้ แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีวิธีไหนเลยค่ะ
ที่จะทำให้ผิวที่เป็นหลุมสิวไปแล้วหายกลับมาเนียนเท่าผิวปกติ
(ก่อนเป็นหลุม)
6. ในปัจจุบันยังไม่มีครีม เซรั่ม ยาทา หรือ ยากินชนิดใดๆที่รักษาหลุมสิวได้ อาจจะมีการใช้ยาทาบางกลุ่ม เช่น เรติน-เอ ทาต่อเนื่อง 6 เดือนขึ้นไป
เพื่อหวังผลให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ๆ พอจะช่วยได้บ้างเล็กน้อย ไม่สามารถทาแล้วหวังให้ผิวที่เป็นหลุมกลับมาตื้นได้นะคะ
ไม่ควรซื้อใช้เองเพราะมีโอกาสเกิดอันตรายได้หากใช้ผิดวิธี
7. วิธีรักษาหลุมสิวมีหลายอย่าง
วิธีที่ทำแล้วเห็นผลและเป็นที่นิยมกันมากที่สุด
คือ การใช้เลเซอร์ช่วยปรับสภาพผิว (Fractional resurfacing laser/ Fractional radiofrequency) ซึ่งกลุ่มนี้เค้ามีหลายชนิด/หลายยี่ห้อมาก
ข้อสังเกต คือ เลเซอร์กลุ่มนี้มักจะต้องทายาชาก่อนทำ (เพราะพลังงานสูงต้องลงลึกถึงก้นหลุม) + ทำแล้วมักเป็นแผลสะเก็ดประมาณ 5-7 วัน
มักต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 4-6 สัปดาห์
8. วิธีอื่นๆ
เช่น การแต้มกรด TCA
การตัดเลาะพังผืด (Subcision)
การตัดและเย็บ (Punch excision)
ก็เป็นอีกทางเลือกของการรักษาหลุมสิว
9. แต่ละวิธีมีข้อดี ข้อจำกัด ที่แตกต่างกันไป
ดังนั้นหมอแนะนำว่าถ้าจะให้ดีควรไปพบหมอผิวหนังเพื่อตรวจประเมินผิวก่อนที่จะแนะนำวิธีที่เหมาะสมสำหรับแต่ละเคส
10. ข้อได้เปรียบ/ปัจจัยที่ช่วยให้การรักษาได้ผลดี
คือ คนไข้อายุน้อย
เพิ่งเริ่มจะเป็นหลุมสิวมาไม่นาน
รักษาจนสามารถควบคุมสิวได้ดีแล้ว
11. อย่ารอจนเป็นมากไม่ไหวแล้วค่อยเริ่มไปหาหมอ
หาหมอรักษาสิวไม่แพงเท่าค่ารักษาหลุมสิวนะคะ
แนะนำปรึกษาหมอผิวหนังตั้งแต่เริ่มเป็นสิว
เพราะ การรักษาสิวอย่างถูกวิธี ลดโอกาสการเกิดหลุมสิวได้
แต่ถ้ามีหลุมสิวไปแล้วและก็ยังควบคุมสิวไม่ได้
ควรรักษาสิวให้ดีขึ้นก่อน ค่อยรักษาหลุมสิวทีหลัง ไม่งั้นจะวนไปวนมาค่ะ
💔 ถ้าไม่อยากเสียเงิน/เสียเวลากับวิธีการรักษาที่ไม่ได้ผล
ควรเลือกรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
(ตรวจสอบรายชื่อคุณหมอที่รักษาได้จากเว็บไซต์แพทยสภา ตามลิงค์นี้ได้เลยค่ะ
https://checkmd.tmc.or.th
ใส่เฉพาะ ชื่อ นามสกุล ไม่ต้องใส่คำนำหน้า จะมีบอกปีที่จบการศึกษา มีรูปถ่ายพร้อมชื่อนามสกุล และยังบอกสาขาที่จบเฉพาะทางอีกด้วยค่ะ)
Dr.Yui คุยทุกเรื่องผิว ✨
พญ.มานิตา อัตถสุริยานันท์ (หมอยุ้ย)
11 ข้อที่ต้องรู้ก่อนเริ่มรักษาหลุมสิว ถ้าไม่อยากเสียเงินฟรี
หลุมสิว กับ 11 ข้อที่ต้องรู้ ถ้าไม่อยากเสียเงินฟรี
1. หลุมสิวเกิดจากการเป็นสิวรุนแรงหรือเรื้อรัง
ทำให้ผิวตรงนั้นเกิดการอักเสบเยอะจนกลายเป็นหลุมสิว
นอกจากนี้ยังเกิดจากการรักษาสิวที่ทำอย่างไม่ถูกวิธี
เช่น กด แกะ บีบสิวเอง
2. สัญญาณเตือนให้ระวังว่าหน้าเรากำลังมีโอกาสเป็นหลุมสิวแล้ว
เช่น จำนวนสิวอักเสบเยอะ
สิวไม่เยอะแต่เป็นสิวรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง
สิวหายแล้วแต่ยังทิ้งรอยแดงที่ชัดเจนเอาไว้
3. หลุมสิวแบ่งเป็น 3 ชนิด ตามลักษณะของหลุม (ดูรูปประกอบใต้โพส)
ได้แก่ Ice-pick scar (ปากหลุมแคบแต่ก้นลึก)
Boxcar scar (เหมือนกล่อง)
Rolling scar (คล้ายๆแอ่งกระทะ ผิวเป็นคลื่นๆ)
4. ในคนหนึ่งคนมักจะมีหลุมสิวหลายๆแบบผสมกัน
ดังนั้นไม่ต้องเครียดกับการแบ่งชนิดของหลุมสิวมากเกินไป
5. หลุมสิวถ้าเป็นแล้วมักเป็นเลย
รักษาให้ดีขึ้นได้ แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีวิธีไหนเลยค่ะ
ที่จะทำให้ผิวที่เป็นหลุมสิวไปแล้วหายกลับมาเนียนเท่าผิวปกติ
(ก่อนเป็นหลุม)
6. ในปัจจุบันยังไม่มีครีม เซรั่ม ยาทา หรือ ยากินชนิดใดๆที่รักษาหลุมสิวได้ อาจจะมีการใช้ยาทาบางกลุ่ม เช่น เรติน-เอ ทาต่อเนื่อง 6 เดือนขึ้นไป
เพื่อหวังผลให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ๆ พอจะช่วยได้บ้างเล็กน้อย ไม่สามารถทาแล้วหวังให้ผิวที่เป็นหลุมกลับมาตื้นได้นะคะ
ไม่ควรซื้อใช้เองเพราะมีโอกาสเกิดอันตรายได้หากใช้ผิดวิธี
7. วิธีรักษาหลุมสิวมีหลายอย่าง
วิธีที่ทำแล้วเห็นผลและเป็นที่นิยมกันมากที่สุด
คือ การใช้เลเซอร์ช่วยปรับสภาพผิว (Fractional resurfacing laser/ Fractional radiofrequency) ซึ่งกลุ่มนี้เค้ามีหลายชนิด/หลายยี่ห้อมาก
ข้อสังเกต คือ เลเซอร์กลุ่มนี้มักจะต้องทายาชาก่อนทำ (เพราะพลังงานสูงต้องลงลึกถึงก้นหลุม) + ทำแล้วมักเป็นแผลสะเก็ดประมาณ 5-7 วัน
มักต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 4-6 สัปดาห์
8. วิธีอื่นๆ
เช่น การแต้มกรด TCA
การตัดเลาะพังผืด (Subcision)
การตัดและเย็บ (Punch excision)
ก็เป็นอีกทางเลือกของการรักษาหลุมสิว
9. แต่ละวิธีมีข้อดี ข้อจำกัด ที่แตกต่างกันไป
ดังนั้นหมอแนะนำว่าถ้าจะให้ดีควรไปพบหมอผิวหนังเพื่อตรวจประเมินผิวก่อนที่จะแนะนำวิธีที่เหมาะสมสำหรับแต่ละเคส
10. ข้อได้เปรียบ/ปัจจัยที่ช่วยให้การรักษาได้ผลดี
คือ คนไข้อายุน้อย
เพิ่งเริ่มจะเป็นหลุมสิวมาไม่นาน
รักษาจนสามารถควบคุมสิวได้ดีแล้ว
11. อย่ารอจนเป็นมากไม่ไหวแล้วค่อยเริ่มไปหาหมอ
หาหมอรักษาสิวไม่แพงเท่าค่ารักษาหลุมสิวนะคะ
แนะนำปรึกษาหมอผิวหนังตั้งแต่เริ่มเป็นสิว
เพราะ การรักษาสิวอย่างถูกวิธี ลดโอกาสการเกิดหลุมสิวได้
แต่ถ้ามีหลุมสิวไปแล้วและก็ยังควบคุมสิวไม่ได้
ควรรักษาสิวให้ดีขึ้นก่อน ค่อยรักษาหลุมสิวทีหลัง ไม่งั้นจะวนไปวนมาค่ะ
💔 ถ้าไม่อยากเสียเงิน/เสียเวลากับวิธีการรักษาที่ไม่ได้ผล
ควรเลือกรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
(ตรวจสอบรายชื่อคุณหมอที่รักษาได้จากเว็บไซต์แพทยสภา ตามลิงค์นี้ได้เลยค่ะ https://checkmd.tmc.or.th
ใส่เฉพาะ ชื่อ นามสกุล ไม่ต้องใส่คำนำหน้า จะมีบอกปีที่จบการศึกษา มีรูปถ่ายพร้อมชื่อนามสกุล และยังบอกสาขาที่จบเฉพาะทางอีกด้วยค่ะ)
Dr.Yui คุยทุกเรื่องผิว ✨
พญ.มานิตา อัตถสุริยานันท์ (หมอยุ้ย)