คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 32
เห็นด้วยกับความเห็นที่ 21 ค่ะ
เราเป็นลูกสาว และคิดว่าสักวันเราคงไม่เหลืออะไร
ทุกวันนี้เราทำงานที่บ้านตามหน้าที่ พร้อมกับหาช่องทางไว้
เท่าเวลาที่พ่อยังไม่ตาย เรา "ขอยืม" เงินทุนทำธุรกิจเราไว้ส่วนนึงเล็กๆ
เราใช้วิธีคุยว่า เราอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง มีรายได้เสริม ไม่กระทบกับงานหลักที่บ้าน
และเผื่อว่าวันนึงเรามีครอบครัว จะได้มั่นคง
และขอว่า ธุรกิจนี้จะไม่เอาพี่น้องเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเราตั้งใจทำเผื่อครอบครัวในอนาคตของเรา
ที่บ้านเราพูดเสมอว่า ธุรกิจที่บ้าน เป็นของลูกทุกคน
แต่ในความเป็นจริง เราต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่า พ่อแม่ไม่ได้รักและแบ่งปันทุกสิ่งอย่างเท่าเทียม
และนั่นทำให้เรารู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว มันจะไม่ใช่ของๆ เรา
.. เราเลือกที่ทำใจ อยู่กับมันให้ได้ และก้าวผ่านมันไปให้ได้
แต่ .. เราไม่หนี เราเลือกจะใช้ทรัพยากรที่บ้านอย่างคุ้มค่าที่สุด
พ่อมีเงินทุน เราไม่มี พ่อมีคอนเนคชั่นที่เราไม่มี พ่อมีที่ดินที่เราไม่มี
แต่เราจะใช้สิ่งที่พ่อมี มาทำให้เราตั้งตัวได้
ถ้าพ่อเราจากไป เราจะยืนได้ก่อนที่เราจะโดนไล่ออกจากบ้านพร้อมกับธุรกิจที่เราสร้าง
แต่ถ้าสุดท้ายพี่น้องไม่มีปัญหากัน เราก็จะอยู่รอดในธุรกิจครอบครัวต่อไปได้ แต่ถ้ามีปัญหาปุ้บ เราจะออกทันทีแบบไม่ได้ไปแต่ตัว
เราไม่ยอมตายเอาดาบหน้า ไม่กัดฟันสู้เอง เราโชคดีที่มีต้นทุนที่ไม่ต้องเริ่มจาก 0 เราก็ใช้ให้เต็มที่ แต่เมื่อไหร่ที่เราต้องสู้ด้วยตัวเอง เราก็จะพร้อมไปลุยต่อ
เราเป็นลูกสาว และคิดว่าสักวันเราคงไม่เหลืออะไร
ทุกวันนี้เราทำงานที่บ้านตามหน้าที่ พร้อมกับหาช่องทางไว้
เท่าเวลาที่พ่อยังไม่ตาย เรา "ขอยืม" เงินทุนทำธุรกิจเราไว้ส่วนนึงเล็กๆ
เราใช้วิธีคุยว่า เราอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง มีรายได้เสริม ไม่กระทบกับงานหลักที่บ้าน
และเผื่อว่าวันนึงเรามีครอบครัว จะได้มั่นคง
และขอว่า ธุรกิจนี้จะไม่เอาพี่น้องเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเราตั้งใจทำเผื่อครอบครัวในอนาคตของเรา
ที่บ้านเราพูดเสมอว่า ธุรกิจที่บ้าน เป็นของลูกทุกคน
แต่ในความเป็นจริง เราต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่า พ่อแม่ไม่ได้รักและแบ่งปันทุกสิ่งอย่างเท่าเทียม
และนั่นทำให้เรารู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว มันจะไม่ใช่ของๆ เรา
.. เราเลือกที่ทำใจ อยู่กับมันให้ได้ และก้าวผ่านมันไปให้ได้
แต่ .. เราไม่หนี เราเลือกจะใช้ทรัพยากรที่บ้านอย่างคุ้มค่าที่สุด
พ่อมีเงินทุน เราไม่มี พ่อมีคอนเนคชั่นที่เราไม่มี พ่อมีที่ดินที่เราไม่มี
แต่เราจะใช้สิ่งที่พ่อมี มาทำให้เราตั้งตัวได้
ถ้าพ่อเราจากไป เราจะยืนได้ก่อนที่เราจะโดนไล่ออกจากบ้านพร้อมกับธุรกิจที่เราสร้าง
แต่ถ้าสุดท้ายพี่น้องไม่มีปัญหากัน เราก็จะอยู่รอดในธุรกิจครอบครัวต่อไปได้ แต่ถ้ามีปัญหาปุ้บ เราจะออกทันทีแบบไม่ได้ไปแต่ตัว
เราไม่ยอมตายเอาดาบหน้า ไม่กัดฟันสู้เอง เราโชคดีที่มีต้นทุนที่ไม่ต้องเริ่มจาก 0 เราก็ใช้ให้เต็มที่ แต่เมื่อไหร่ที่เราต้องสู้ด้วยตัวเอง เราก็จะพร้อมไปลุยต่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ตัวผมก็ทำธุรกิจส่วนตัว ทำกับน้องสาว 2 คน โดยสานต่อมาจากกิจการของพ่อ (ทุกวันนี้พ่อก็ยังทำงานอยู่) เข้าใจความรู้สึก จขกท เป็นอย่างดี
-อันดับแรก สำคัญที่สุด จขกท ต้องเข้าใจและทำใจให้ได้ก่อนเลยว่า ครอบครัวคนจีน ไม่ว่ายังไง พ่อแม่ก็เลือกลูกชายมาก่อนลูกสาว อนาคตข้างหน้าถ้า จขกท กับน้องชายทะเลาะกันหรือมีปัญหากัน แล้วพ่อแม่ต้องเลือกยกกิจการให้ใครคนหนึ่ง ยังไงเค้าก็เลือกลูกชาย แต่ไม่ใช่ว่า จขกท จะไม่ได้อะไรเลย พ่อแม่จะแบ่งทรัพย์สินให้ แต่ตัวกิจการยังไงเค้าก็ให้ลูกชายก่อน ถ้าลูกชายไม่เอาหรือไม่อยากทำ จขกท ถึงจะมีสิทธิ์เลือก แน่นอนว่ามันไม่ยุติธรรมและลำเอียง แต่มันเป็นความจริง ถ้า จขกท รับข้อนี้ไม่ได้ ก็หาทางแยกออกมาตั้งแต่ตอนนี้เลยจะดีกว่า
-เรื่องที่ จขกท คิดว่าน้องชายไม่กระตือรือร้นเหมือนตัวเอง ต้องวิเคราะห์ว่าตัว จขกท ถนัดด้านไหน เหมาะกับงานอะไร แล้วน้องชายถนัดด้านไหน แล้วแยกไปเลย ให้รับผิดชอบด้านที่ตัวเองถนัด ถ้าทำพลาดขึ้นมาก็ต้องรับผิดชอบเอง อีกคนจะไม่เกี่ยวข้อง อย่างของผม ตัวผมถนัดด้านตัวเลข แต่ผมชอบทำงานคนเดียว ไม่ชอบขายของ ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าหรือลูกค้า แต่น้องสาวไม่ชอบตัวเลข แต่ขายของเก่ง คุยกับคนเก่ง ผมก็จะดูแลเรื่องหลังร้าน เรื่องบัญชี การเงิน เรื่อง stock ส่วนน้องสาวก็จะดูเรื่องหาลูกค้าใหม่ เรื่องหน้าร้าน และจะไม่ก้าวก่ายกันและกัน นอกจากจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องสำคัญ ถึงจะมีการปรึกษากัน
-เรื่องที่พ่อแทรกแซงการทำงาน ถ้าพ่อเป็นคนก่อตั้งธุรกิจ ข้อนี้ จขกท ทำใจอย่างเดียวครับ คิดซะว่าเราเป็นลูกจ้างที่พ่อจ้างมาช่วยบริหารธุรกิจ ยังไงคนที่มีอำนาจตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็คือเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของเงินซึ่งก็คือพ่อ แม้หลายครั้งการตัดสินใจของพ่อจะส่งผลเสีย หรือทางเลือกของเราน่าจะส่งผลดีมากกว่าทางเลือกของพ่อ แต่ลูกจ้างยังไงก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเจ้าของครับ เรื่องนี้คนที่ทำกงสีเจอทุกคน
-พ่อพยายามผลักดันให้น้องรับผิดชอบมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเงินทอง ข้อนี้ก็วนกลับไปข้อแรก เพราะพ่อแม่คนจีนมีความคิดติดหัวว่าลูกชาย+ลูกสะใภ้ต้องเป็นคนดูแลยามเค้าแก่เฒ่า ส่วนลูกสาว วันนึงข้างหน้าก็ต้องแต่งงานออกไปเป็นคนในครอบครัวอื่น บางกงสีที่ลูกสาวช่วยงานอยู่ ถ้าลูกสาวแต่งงานแล้วพ่อแม่จะบังคับให้ลูกสาวออกจากกงสีเลย เพื่อตัดปัญหาเรื่องเงินทองที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต หรือถ้าเป็นกงสีรุ่นพ่อแม่เรา บางคนไม่ให้ลูกสาวมาช่วยตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ
-จะออกมาดีมั้ย สิ่งสำคัญที่สุดที่ จขกท ต้องพิจารณาคือตัวน้องชายครับ เพราะ จขกท เปลี่ยนความคิดพ่อแม่ไม่ได้แน่นอน ถ้าดูแล้วน้องชายไม่ไหวจริงๆ มีแนวโน้มว่าจะทำเจ๊ง หรือมีแนวโน้มว่าจะเอาเปรียบ จขกท ทุกช่องทาง (ถ้าตอนนี้ยังเอาเปรียบแบบน่าเกลียด ตอนพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่แบ่งอะไรให้ จขกท เลย) ก็น่าจะมองหาช่องทางเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนนี้
-แต่ถ้า จขกท เก่งมาก เป็นคนที่สำคัญกับกิจการมากๆ แบบว่าถ้าขาด จขกท ไป กิจการมีสิทธิ์เจ๊ง จขกท ควรคุยกับพ่อแม่และน้องชายให้เป็นเรื่องเป็นราว ว่าถ้าจะทำต่อ ต้องแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบให้ชัดเจน รวมถึงเรื่องการเงิน เรื่องแบ่งหุ้นด้วย
-อันดับแรก สำคัญที่สุด จขกท ต้องเข้าใจและทำใจให้ได้ก่อนเลยว่า ครอบครัวคนจีน ไม่ว่ายังไง พ่อแม่ก็เลือกลูกชายมาก่อนลูกสาว อนาคตข้างหน้าถ้า จขกท กับน้องชายทะเลาะกันหรือมีปัญหากัน แล้วพ่อแม่ต้องเลือกยกกิจการให้ใครคนหนึ่ง ยังไงเค้าก็เลือกลูกชาย แต่ไม่ใช่ว่า จขกท จะไม่ได้อะไรเลย พ่อแม่จะแบ่งทรัพย์สินให้ แต่ตัวกิจการยังไงเค้าก็ให้ลูกชายก่อน ถ้าลูกชายไม่เอาหรือไม่อยากทำ จขกท ถึงจะมีสิทธิ์เลือก แน่นอนว่ามันไม่ยุติธรรมและลำเอียง แต่มันเป็นความจริง ถ้า จขกท รับข้อนี้ไม่ได้ ก็หาทางแยกออกมาตั้งแต่ตอนนี้เลยจะดีกว่า
-เรื่องที่ จขกท คิดว่าน้องชายไม่กระตือรือร้นเหมือนตัวเอง ต้องวิเคราะห์ว่าตัว จขกท ถนัดด้านไหน เหมาะกับงานอะไร แล้วน้องชายถนัดด้านไหน แล้วแยกไปเลย ให้รับผิดชอบด้านที่ตัวเองถนัด ถ้าทำพลาดขึ้นมาก็ต้องรับผิดชอบเอง อีกคนจะไม่เกี่ยวข้อง อย่างของผม ตัวผมถนัดด้านตัวเลข แต่ผมชอบทำงานคนเดียว ไม่ชอบขายของ ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าหรือลูกค้า แต่น้องสาวไม่ชอบตัวเลข แต่ขายของเก่ง คุยกับคนเก่ง ผมก็จะดูแลเรื่องหลังร้าน เรื่องบัญชี การเงิน เรื่อง stock ส่วนน้องสาวก็จะดูเรื่องหาลูกค้าใหม่ เรื่องหน้าร้าน และจะไม่ก้าวก่ายกันและกัน นอกจากจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องสำคัญ ถึงจะมีการปรึกษากัน
-เรื่องที่พ่อแทรกแซงการทำงาน ถ้าพ่อเป็นคนก่อตั้งธุรกิจ ข้อนี้ จขกท ทำใจอย่างเดียวครับ คิดซะว่าเราเป็นลูกจ้างที่พ่อจ้างมาช่วยบริหารธุรกิจ ยังไงคนที่มีอำนาจตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็คือเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของเงินซึ่งก็คือพ่อ แม้หลายครั้งการตัดสินใจของพ่อจะส่งผลเสีย หรือทางเลือกของเราน่าจะส่งผลดีมากกว่าทางเลือกของพ่อ แต่ลูกจ้างยังไงก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเจ้าของครับ เรื่องนี้คนที่ทำกงสีเจอทุกคน
-พ่อพยายามผลักดันให้น้องรับผิดชอบมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเงินทอง ข้อนี้ก็วนกลับไปข้อแรก เพราะพ่อแม่คนจีนมีความคิดติดหัวว่าลูกชาย+ลูกสะใภ้ต้องเป็นคนดูแลยามเค้าแก่เฒ่า ส่วนลูกสาว วันนึงข้างหน้าก็ต้องแต่งงานออกไปเป็นคนในครอบครัวอื่น บางกงสีที่ลูกสาวช่วยงานอยู่ ถ้าลูกสาวแต่งงานแล้วพ่อแม่จะบังคับให้ลูกสาวออกจากกงสีเลย เพื่อตัดปัญหาเรื่องเงินทองที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต หรือถ้าเป็นกงสีรุ่นพ่อแม่เรา บางคนไม่ให้ลูกสาวมาช่วยตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ
-จะออกมาดีมั้ย สิ่งสำคัญที่สุดที่ จขกท ต้องพิจารณาคือตัวน้องชายครับ เพราะ จขกท เปลี่ยนความคิดพ่อแม่ไม่ได้แน่นอน ถ้าดูแล้วน้องชายไม่ไหวจริงๆ มีแนวโน้มว่าจะทำเจ๊ง หรือมีแนวโน้มว่าจะเอาเปรียบ จขกท ทุกช่องทาง (ถ้าตอนนี้ยังเอาเปรียบแบบน่าเกลียด ตอนพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่แบ่งอะไรให้ จขกท เลย) ก็น่าจะมองหาช่องทางเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนนี้
-แต่ถ้า จขกท เก่งมาก เป็นคนที่สำคัญกับกิจการมากๆ แบบว่าถ้าขาด จขกท ไป กิจการมีสิทธิ์เจ๊ง จขกท ควรคุยกับพ่อแม่และน้องชายให้เป็นเรื่องเป็นราว ว่าถ้าจะทำต่อ ต้องแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบให้ชัดเจน รวมถึงเรื่องการเงิน เรื่องแบ่งหุ้นด้วย
แสดงความคิดเห็น
คนที่ตัดสินใจออกจากกงสี ต้องเจอขนาดไหนถึงตัดสินใจแบบนั้นได้ จุดเปลี่ยนคืออะไรคะ แล้วออกไปแล้วเป็นยังไงบ้างคะ
แต่ตอนนี้มันรู้สึกว่า มาอีกสเต็ป
อยากออกจากกงสีค่ะ แต่ไม่มั่นใจว่าออกไปแล้วจะอยู่ได้ เพราะอยู่กับครอบครัวมาตลอด
จากตอนนั้นก็พาตัวเองออกมาจากความวุ่นวายมาระดับนึง (ออกจากไลน์กรุ๊ปบริษัทก่อสร้างที่ยุ่งเหยิง) ออกมาอยู่กับตัวเอง เนื่องจากช่วงนี้โควิด งานธุรกิจที่ทำอยู่ประจำมันก็น้อย (โรงแรม)แทบไม่มีลูกค้า แต่ละวันก็ว่างมากๆจนมันเหวอ เลยลุกขึ้นมาจัดตารางชีวิตใหม่ ออกกำลังกายเยอะขึ้น หาเรียนออนไลน์สั้นๆ ฟังpodcast เพราะเราคิดว่าเราไม่อยากถอยหลังไปเรื่อยๆ แต่ก็หาบาลานส์ระหว่างความสุขภายนอกกับภายในด้วย ฟังธรรม สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน พยายามให้ใจ เป็นกลางๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์จนเกินไป
ตอนนี้มีปัญหากับความคิดตัวเองค่ะ
อยากออกจากกงสี แต่ไม่มั่นใจว่าจะออกมาแล้วอยู่ได้ไหม เพราะเคยอยู่ครอบครัวมาตลอด ต้องเรียกว่า แม้มันจะทุกข์ มันก็เป็นcomfort zone (เราพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ถ้าไปทำธุรกิจเล็กๆ ก็คงจะไปได้ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มั่นใจเลย) ไม่รู้ว่าเราควรตัดสินใจยังไง ถ้าเป็นเพื่อนๆจะทำอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่ทำให้เราอึดอัดจนอยากจะหนีไปพ้นๆ คือ
1. เราทำงานกับกงสี กับน้องชาย ซึ่งน้องชายก็ชิลมากเหลือเกิน ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาเสนอไอเดียที่จะปรับอะไร เขาก็จะไม่เสนอ ไม่ปรับอะไร เรียกว่าอยู่ทำงาน routine ไปวันๆ สิ้นเดือนมีเงินเดือนเข้ากระเป๋า เวลาเราถามความเห็นก็จะตอบเเค่ อือ เออ ก็เอาสิ เราว่าในยุคนี้ มันไม่กระตือรือร้นไม่ได้ ลูกค้าก็มีทางเลือกใหม่ๆมากมาย เราคงจะนั่งอยู่กับที่ไม่ได้ ต้องอัพเดทตัวเองตลอด แต่เราก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจคนเดียว เพราะ กงสีวางให้อำนาจสองคนเท่ากัน มันเลยไม่ก้าวไปไหน (อีกอย่างคือ พ่อเคยบอกว่า จะยกธุรกิจนี้ให้น้อง - เราเลยมีความรู้สึกว่า เออ แล้วฉันจะทุ่มเททั้งหมดไปทำไม ในเมื่อสุดท้าย ก็เป็นของเขา - ซึ่งเรารู้ว่าเป็น mindset ที่ไม่ดีเลย ถ้าเราทำ เราก็ได้ความรู้ แต่เรายังก้าวข้ามความคิดแบบนี้ไปไม่ได้สักที)
2. การแทรกแซงของพ่อ ในการทำงานพ่อจะมาเสนอความเห็นแกมบังคับเสมอ เวลาเราแพลนงานของเราจะไปซ้าย พ่อจะมาบอกให้ไปขวา แถมใช้คำพูดประมาณว่า ทำไมแค่นี้คิดไม่ได้ ต้องหัดฉลาด ต้องใช้สมอง ต้องเขี้ยว ต้องหัดทันคน จริงๆเราก็คิดว่าเราไม่ได้เป็นคนไม่เอาถ่านอะไรนะ คือทำงานมา 6-7 ปี พาธุรกิจมาได้ระดับนึง เราก็ภูมิใจในตัวเองนะ แต่พอเราฟังคำพูดพ่อมากๆ เราเริ่มจิตตก มัน negative มาก จนมัน block Mindset เรามากเลย เราไม่อยากถูกบล็อคความคิด เราไม่อยากเป็นคนคิดลบ เป็นคนไม่กล้าตัดสินใจ ไม่ไว้ใจใคร เป็นคนคิดลบกับคนรอบข้าง คือเราอยากออกไปจากสิ่งแวดล้อมแบบนี้
3. พ่อแทรกแซงการทำงาน และ บางเรื่องทันทำให้เราเริ่มมีอารมณ์'เกลียด'น้องเรา เช่น
เรากำลังติดต่อธุรกิจอยู่ อยู่ดีๆพ่อก็แทรกตัดไปที่ลูกค้า แล้วก็สั่งเลขาพ่อเป็นคนดีลเองโดยที่ไม่บอกเรา ข้ามหัวเราไปเฉยเลย แล้ววันนึงลูกค้าก็โทรมาถามเราว่า ตกลงถ้าจะซื้อของนี้ต้องติดต่อใคร เพราะน้องชายไปบอกเขาว่า เรื่องนี้ให้ติดต่อเขาเพียงคนเดียว เรานี่งงมาก (ซึ่งโดยนิสัยน้องชายเรา เราค่อนข้างมั่นใจว่าอยู่ดีๆน้องซึ่งเป็นคนไม่ได้ active อยู่ๆคงไม่ไปพูด แต่น่าจะมาจากพ่อเป็นคนสั่งให้น้องไปจัดการแบบนี้ - ซึ่งน้องเองก็อาจจะโอเค เพราะเป็นเรื่องเงินๆทองๆ) อันนี้เป็นเพียงตัวอย่างว่าการกระทำบางอย่างมันเป็นการเล่นการเมืองในครอบครัวซึ่งเราเบื่อ จนไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้เเล้ว
เราควรทำอย่างไรคะ ใจนึงก็อยากจะหนีไปไกล อยู่ให้ห่างพวกเขา อาจจะทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง หรือกับครอบครัวเราขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็ไม่มั่นใจจะไปทำธุรกิจอะไรได้ในชั่วโมงนี้ อีกใจนึงก็อยากเข้าทางธรรมไปเลย เพราะตัวคนเดียว ไม่มีลูก ไม่มีพันธะ อยากขอคำเเนะนำอยากขอคำเเนะนำหน่อยค่ะ