ภาพวาดสีที่สดใสจาก "Tomb of the Monkey" ในสุสานของชาว Etruscan




Tomb of the Monkey หรือ Tomba della Scimmia เป็นสุสานของชาว Etruscan ในเมือง Chiusi ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่มีอำนาจมากที่สุดในอารยธรรม Etruscan ที่รุ่งเรืองบนคาบสมุทรอิตาลีเมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อนในช่วงเวลาก่อนที่โรมจะเรืองอำนาจ โดยต้นกำเนิดของมันต้องย้อนกลับไปในช่วงสหัสวรรษแรกก่อนคริสต์ศักราชระหว่างศตวรรษที่ 6 - 7 ภายใต้การนำของ king Porsenna ที่มีกำลังมากพอที่จะสามารถโจมตีโรมได้

ต่อมาภายหลังในศตวรรษที่ 1  Etruscan ได้เป็นพันธมิตรกับชาวโรมัน และเมืองนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น " Clusium " ซึ่งมีสุสานของชาว Etruscan จำนวนมากในชนบทโดยรอบ โดยมีพิพิธภัณฑ์ Museo Nazionale Etrusco เป็นที่เก็บโบราณวัตถุของชาว Etruscan ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ในอิตาลี 
 
สุสานของชาว Etruscan ที่มีอยู่ในเวลานี้มีมากกว่า 400 แห่งในพื้นที่ แม้ว่าสุสานแต่ละที่จะแตกต่างกันไปตามประเพณีท้องถิ่น แต่โดยทั่วไปแล้วคนฐานะดีจะถูกฝังไว้ในโลงหินซึ่งวางไว้ในสุสานของห้องที่ตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่ทาสีสดใส และที่ Tomb of the Monkey ได้รับการตั้งชื่อนี้เพราะมีลิงตัวหนึ่งที่อยู่ในภาพจิตรกรรมบนฝาผนัง (Fresco) ที่ผูกติดกับพุ่มไม้ ซึ่งมันอาจเป็นรางวัลสำหรับนักมวยปล้ำที่ชนะในภาพวาดเดียวกัน 

ภาพวาดฝาผนังจาก Etruscan Tomb of the Lionesses ที่ Tarquinia
ในภาพผู้ชายกำลังเอนกายบนเบาะรองนั่งในงานเลี้ยงสังสรรค์ (คริสตศักราช 530-520 / ภาพโดย AlMare, Wikimedia Commons)

สุสานถูกค้นพบในปี 1846 โดย Alexander François มีรูปร่างคล้ายรูปไม้กางเขนที่เย็นและชื้น ประกอบด้วยห้องโถงใหญ่ตรงกลางล้อมรอบด้วยห้องสามห้องสำหรับตั้งโลงศพหิน  ผนังทั้งสามด้านมีภาพจิตรกรรมที่ยังคงมีหลายสีที่สดใสแม้ในแสงสลัว ซึ่งเป็นภาพวาดฝาผนังที่โดดเด่นที่แสดงให้เห็นถึงฉากที่มีชีวิตชีวาและมีสีสัน จากตำนานการปฏิบัติทางศาสนา พิธีการ และชีวิตประจำวันของพวกเขา โดยสีที่ศิลปินชาว Etruscan ใช้นั้น ส่วนใหญ่ทำจากสีของวัสดุอินทรีย์ ดังนี้

- สีขาวมาจากชอล์กหรือดินขาว
- สีดำจากส่วนผสมของผัก
- สีเขียวจากมาลาไคต์
- สีแดงและสีเหลืองมาจากออกไซด์ของเหล็ก และ
- สีน้ำเงินที่ถูกใช้น้อยมาก และอาจทำจากวัสดุนำเข้าจากดินแดนอื่น


โลงหินของชาว Etruscan แสดงงานเลี้ยงสังสรรค์ ในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตศักราช
(Staatliche Museum, Berlin) / ภาพถ่ายโดย Sailko, Wikimedia Commons
สำหรับภาพวาดของชาว Etruscan นั้นเป็นภาพวาดที่มีรายละเอียดอย่างมาก แต่กาลเวลาที่ผ่านไปทำให้หลายคนมองเห็นได้เพียงบางส่วนและสีของพวกมันส่วนใหญ่ได้สูญหายไป ซึ่งปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได้เข้าไปตรวจสอบโดยใช้เทคนิคใหม่ และได้พบกับรายละเอียดใหม่ที่ซ่อนอยู่ในภาพวาดจากทั้งใน "Tomb of the Monkey" และฉากของยมโลกในงานศิลปะอื่น ๆ

โดย Gloria Adinolfi นักวิจัยจากสถาบัน Pegaso Srl Archeologia Arte Archeometria ระบุว่า สีบางสีสามารถอยู่รอดได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้ดีกว่า
ส่วนสีอื่น ๆบางสี อาจผิดเพี้ยนไปเช่น สีเขียวบางเฉดมักจะไม่สามารถอยู่รอดได้ดีในขณะที่สีแดงมักจะทำได้ 

และเพื่อเปิดเผยรายละเอียดใหม่ของภาพวาด นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า multi-illumination hyperspectral extract (MHX) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการถ่ายภาพหลายสิบภาพในแถบแสงที่มองเห็นได้ในอินฟราเรดและอัลตราไวโอเลต และประมวลผลโดยใช้อัลกอริธึมทางสถิติที่พัฒนาโดย National Research Council of Italy ในเมืองปิซา โดยสมาชิกในทีมของ Vincenzo Palleschi นักวิจัยอาวุโสของสภาวิจัย

ด้วยเทคนิคนี้ สามารถตรวจจับสีน้ำเงินอียิปต์ได้ ซึ่งเป็นสีที่พัฒนาขึ้นในอียิปต์โบราณ ที่มีการตอบสนองที่เฉพาะเจาะจงมากในแถบสเปกตรัมเดียว ซึ่งทีมงานยังวิเคราะห์เศษสีอื่น ๆ ที่เหลืออยู่เพื่อช่วยระบุว่ามีสีอะไรอีกบ้างในภาพวาด

จากการรวมกันของการวิเคราะห์สีและเทคนิค MHX  ทีมงานสามารถเปิดเผยฉากที่หายไปจากภาพวาด Etruscan โบราณได้ และยังได้เปิดเผยตัวอย่างหลายตัวอย่างในระหว่างการนำเสนอในการประชุมร่วมเสมือนประจำปีของสถาบันโบราณคดีแห่งอเมริกา รวมถึงรายละเอียดของภาพวาดที่แสดงถึงโลกใต้พิภพของชาว Etruscan ที่แสดงหิน ต้นไม้และน้ำ 

ซึ่งนอกจาก Tomb of the Monkey ที่โดดเด่นแล้ว ยังมีสุสานที่น่าสนใจอื่น ๆ อีกได้แก่
- สุสาน Tarquinia ที่เก่าแก่ที่สุดที่มีสุสานชาว Etruscan ราว 200 แห่ง ซึ่งอุดมไปด้วยสิ่งประดิษฐ์และตกแต่งด้วยภาพวาดฝาผนังอันงดงามจนได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก เป็นห้องตัดหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งทาสีเพื่อจำลองลักษณะทางสถาปัตยกรรมของบ้านจริง
 
- Tomb of the Lion (ถูกตั้งชื่อเนื่องจากการตกแต่งผนังที่แสดงภาพสิงโต) สร้างขึ้นในช่วงคริสตศักราช 530-520  ซึ่งมีระเบียงและห้องนอนสามห้อง 
- Tomb of the Pilgrim  (ศตวรรษที่ IV-II ถูกค้นพบในปี 1928 ประกอบด้วยทางเดินซึ่งมีสี่ช่องและห้องฝังศพสามห้อง)
- Tomb of the Bulls ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 540-530 ก่อนคริสตศักราช
- The Tomb of The Baron (ตั้งชื่อตามผู้ค้นพบ Baron Kestner) ค. 510 ก่อนคริสตศักราช
- Tomb of the Bigas ค. 480 ก่อนคริสตศักราช เป็นตัวแทนของเกมกีฬาและการแข่งขันรถม้า ( bighe) 



พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ National Etruscan Museum
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ Etruscan แห่ง Chiusi เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดของเมือง และมีสิ่งประดิษฐ์ทางโบราณคดีจำนวนมาก
การเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เป็นไปตามลำดับเหตุการณ์และตามหัวข้อ โดยเริ่มตั้งแต่ยุคสำริด ยุคเหล็ก และอิทธิพลของตะวันออกและด้วยวัตถุต่างๆที่ผลิตในท้องถิ่นเช่น แจกันสีดำ 'Buccheri' ที่มีชื่อเสียงของ Chiusi ซึ่งมีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช


Cr.ภาพ zonzofox.com/


(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่