1. หลักฐานในคัมภีร์ไบเบิลที่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าผู้ประเสริฐ (God) ทรงมีลักษณะเป็น "ตรีเอกานุภาพ"
1.1 ในส่วนของพระคัมภีร์เดิม (ก่อนพระเยซูคริสต์ประสูติ)
(1)
ปฐมกาล 18:1-5
พระเจ้าทรงปรากฏแก่ท่านที่หมู่ต้นก่อหลวงที่มัมเร ขณะที่ท่านนั่งอยู่ที่ประตูเต็นท์เวลาแดดร้อน
ท่านเงยหน้าขึ้นมองดู
เห็นชายสามคนยืนอยู่ข้างหน้าท่าน เมื่อท่านเห็นเขาทั้งสามท่านก็วิ่งจากประตูเต็นท์ไปต้อนรับเขากราบลงถึงดิน
พูดว่า "เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ขออย่าผ่านผู้รับใช้ของท่านไปเสียเลย
ข้าพเจ้าจะเอาน้ำมานิดหน่อยให้ท่านล้างเท้า และพักใต้ต้นไม้ ข้าพเจ้าจะไปเอาอาหารหน่อยหนึ่งมาให้ ท่านจะได้พักผ่อนหายเหนื่อยเสียก่อน
แล้วจึงค่อยเดินทางต่อไป ไหนๆท่านก็มายังผู้รับใช้ของท่านแล้ว"
เขาทั้งสามจึงว่า "ทำตามที่เจ้ากล่าวนี้เถิด"
***พระเจ้าทรงปรากฏแก่ท่าน => เห็นชายสามคนยืนอยู่ข้างหน้าท่าน***
เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระเจ้ามี 3 สถานะ โดยเป็นบุคคลเดียวกัน
จึงนำไปสู่ความเชื่อที่ว่า พระเจ้าผู้ประเสริฐ (พระเจ้าผู้สูงสุด) มีเพียงองค์เดียว แต่ดำรงอยู่ 3 สถานะ โดยที่พระเจ้าทั้ง 3 สถานะมีความเท่าเทียมกัน
(2)
อิสยาห์ 9:6
ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า
"ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช"
1.2 ในส่วนของพระคัมภีร์ใหม่ (หลังพระเยซูคริสต์ประสูติ)
(1)
ยอห์น 1:1,14
ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า
พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์
คือ พระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา
(2)
ยอห์น 14:7
ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์
(3)
ยอห์น 14:15-17
ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา
เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป
คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์
เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน
***แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ศรัทธาพระเจ้าผู้ประเสริฐ พระวิญญาณของพระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับผู้นั้น
(4)
ยอห์น 14:23
พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา
แล้วพระบิดากับเราจะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา
***แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ศรัทธาพระเจ้าผู้ประเสริฐ พระบิดาและพระบุตรจะมาสถิตอยู่กับผู้นั้น
สรุป พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณของพระเจ้า จะมาสถิตอยู่กับผู้ที่ศรัทธาพระเจ้าผู้ประเสริฐ
แสดงให้เห็นว่าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันแต่ดำรงอยู่ 3 สถานะ => ตรีเอกานุภาพ
2. ในกรณีที่ข้อพระคัมภีร์ขัดแย้งกัน การที่จะพิจารณาว่าข้อความใดถูกหรือผิดนั้น เราไม่สามารถรู้ได้เลย เนื่องจากเราไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับ
พระเยซูคริสต์ จึงไม่ได้ฟังคำสอนจากพระองค์โดยตรง อีกทั้งเราไม่ได้สอบถามจากพระองค์ว่าเราได้เข้าใจถูกต้องหรือไม่ ?
ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณาข้อพระคัมภีร์อย่างรอบด้านตลอดทั่วทั้งบริบท และทำความเชื่อมโยงระหว่างข้อพระคัมภีร์ทุกตอนที่เกี่ยวข้องกัน
แล้วจึงทำการสรุปแก่นคำสอนของพระเจ้าออกมา โดยเราเชื่อว่าเป็นคำสอนของพระองค์
และเชื่อว่าข้อความใดในพระคัมภีร์ที่ขัดแย้งกับ
แก่นคำสอนของพระเจ้า ถือว่าข้อความนั้นไม่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า
3. ในส่วนของพระคัมภีร์ใหม่ที่มีผู้บันทึกหลายคน เราจึงต้องให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือกับอัครสาวกมากที่สุด
เนื่องจากได้ฟังคำสอนจากพระเยซูคริสต์โดยตรง ได้แก่ มัทธิว ยอห์น เปโตร และยากอบ รองลงมาก็คือสาวกที่นำเอาบันทึกของอัครสาวก
มาบันทึกใหม่ ได้แก่ มาระโก และลูกา ในส่วนจดหมายฝากของเปาโลนั้น ถือว่ามีน้ำหนักเท่ากับคำเทศนา
เนื่องจากเป็นการแสดงความคิดเห็นจากความเชื่อของตนเอง โดยที่ไม่เคยฟังคำสอนจากพระเยซูคริสต์โดยตรงเลย
จึงไม่ถือว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้า และไม่ควรนับเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิล
4. อีกประการหนึ่งที่สำคัญ ในการคัดลอกคัมภีร์ไบเบิลจากต้นฉบับอาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น
ซึ่งการคัดลอกคัมภีร์ไบเบิลนั้นอาจเกิดขึ้นหลายครั้งด้วยกัน จึงทำให้พระคัมภีร์ที่เราอ่านอยู่ในปัจจุบันอาจมีข้อผิดพลาดได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นบันทึกของอัครสาวกก็ตาม จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมบันทึกของอัครสาวกจึงอาจมีข้อผิดพลาดได้เช่นกัน
แต่เรายังเชื่อว่าบันทึกของอัครสาวกมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด
5. ประการสุดท้าย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการอ่านคัมภีร์ไบเบิลก็คือ เราจะต้องขอให้พระเจ้าผู้ประเสริฐเป็นผู้นำเราในการอ่านคำสอน
ของพระองค์ ผ่านทางพระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเรา เพื่อเราจะได้เข้าใจคำสอนของพระองค์ได้อย่างถูกต้อง
ซึ่งเราจำเป็นจะต้องอธิษฐานขอจากพระองค์ก่อนอ่านพระคัมภีร์ แต่หากเราได้ทำอย่างครบถ้วนแล้ว เรายังไม่เข้าใจคำสอนบางอย่างของพระองค์
ก็เนื่องจากว่าข้อความนั้น พระองค์จะเปิดเผยให้แก่ผู้ที่มีของประทานในการรู้ข้อล้ำลึกในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แต่สำหรับแก่นคำสอน
ของพระเจ้า พระองค์จะนำให้ผู้ที่ศรัทธาพระองค์เข้าใจได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้ผู้ที่ศรัทธาพระองค์จะได้รับความรอดเข้าสู่สวรรค์
หมายเหตุ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรคริสเตียนใดๆ ทั้งสิ้น
พระเจ้าผู้ประเสริฐทรงเป็นตรีเอกานุภาพ
1.1 ในส่วนของพระคัมภีร์เดิม (ก่อนพระเยซูคริสต์ประสูติ)
(1) ปฐมกาล 18:1-5
พระเจ้าทรงปรากฏแก่ท่านที่หมู่ต้นก่อหลวงที่มัมเร ขณะที่ท่านนั่งอยู่ที่ประตูเต็นท์เวลาแดดร้อน
ท่านเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นชายสามคนยืนอยู่ข้างหน้าท่าน เมื่อท่านเห็นเขาทั้งสามท่านก็วิ่งจากประตูเต็นท์ไปต้อนรับเขากราบลงถึงดิน
พูดว่า "เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ขออย่าผ่านผู้รับใช้ของท่านไปเสียเลย
ข้าพเจ้าจะเอาน้ำมานิดหน่อยให้ท่านล้างเท้า และพักใต้ต้นไม้ ข้าพเจ้าจะไปเอาอาหารหน่อยหนึ่งมาให้ ท่านจะได้พักผ่อนหายเหนื่อยเสียก่อน
แล้วจึงค่อยเดินทางต่อไป ไหนๆท่านก็มายังผู้รับใช้ของท่านแล้ว" เขาทั้งสามจึงว่า "ทำตามที่เจ้ากล่าวนี้เถิด"
***พระเจ้าทรงปรากฏแก่ท่าน => เห็นชายสามคนยืนอยู่ข้างหน้าท่าน***
เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระเจ้ามี 3 สถานะ โดยเป็นบุคคลเดียวกัน
จึงนำไปสู่ความเชื่อที่ว่า พระเจ้าผู้ประเสริฐ (พระเจ้าผู้สูงสุด) มีเพียงองค์เดียว แต่ดำรงอยู่ 3 สถานะ โดยที่พระเจ้าทั้ง 3 สถานะมีความเท่าเทียมกัน
(2) อิสยาห์ 9:6
ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า
"ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช"
1.2 ในส่วนของพระคัมภีร์ใหม่ (หลังพระเยซูคริสต์ประสูติ)
(1) ยอห์น 1:1,14
ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า
พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์
คือ พระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา
(2) ยอห์น 14:7
ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์
(3) ยอห์น 14:15-17
ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา
เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป
คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์
เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน
***แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ศรัทธาพระเจ้าผู้ประเสริฐ พระวิญญาณของพระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับผู้นั้น
(4) ยอห์น 14:23
พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วพระบิดากับเราจะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา
***แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ศรัทธาพระเจ้าผู้ประเสริฐ พระบิดาและพระบุตรจะมาสถิตอยู่กับผู้นั้น
สรุป พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณของพระเจ้า จะมาสถิตอยู่กับผู้ที่ศรัทธาพระเจ้าผู้ประเสริฐ
แสดงให้เห็นว่าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันแต่ดำรงอยู่ 3 สถานะ => ตรีเอกานุภาพ
2. ในกรณีที่ข้อพระคัมภีร์ขัดแย้งกัน การที่จะพิจารณาว่าข้อความใดถูกหรือผิดนั้น เราไม่สามารถรู้ได้เลย เนื่องจากเราไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับ
พระเยซูคริสต์ จึงไม่ได้ฟังคำสอนจากพระองค์โดยตรง อีกทั้งเราไม่ได้สอบถามจากพระองค์ว่าเราได้เข้าใจถูกต้องหรือไม่ ?
ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณาข้อพระคัมภีร์อย่างรอบด้านตลอดทั่วทั้งบริบท และทำความเชื่อมโยงระหว่างข้อพระคัมภีร์ทุกตอนที่เกี่ยวข้องกัน
แล้วจึงทำการสรุปแก่นคำสอนของพระเจ้าออกมา โดยเราเชื่อว่าเป็นคำสอนของพระองค์ และเชื่อว่าข้อความใดในพระคัมภีร์ที่ขัดแย้งกับ
แก่นคำสอนของพระเจ้า ถือว่าข้อความนั้นไม่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า
3. ในส่วนของพระคัมภีร์ใหม่ที่มีผู้บันทึกหลายคน เราจึงต้องให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือกับอัครสาวกมากที่สุด
เนื่องจากได้ฟังคำสอนจากพระเยซูคริสต์โดยตรง ได้แก่ มัทธิว ยอห์น เปโตร และยากอบ รองลงมาก็คือสาวกที่นำเอาบันทึกของอัครสาวก
มาบันทึกใหม่ ได้แก่ มาระโก และลูกา ในส่วนจดหมายฝากของเปาโลนั้น ถือว่ามีน้ำหนักเท่ากับคำเทศนา
เนื่องจากเป็นการแสดงความคิดเห็นจากความเชื่อของตนเอง โดยที่ไม่เคยฟังคำสอนจากพระเยซูคริสต์โดยตรงเลย
จึงไม่ถือว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้า และไม่ควรนับเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิล
4. อีกประการหนึ่งที่สำคัญ ในการคัดลอกคัมภีร์ไบเบิลจากต้นฉบับอาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น
ซึ่งการคัดลอกคัมภีร์ไบเบิลนั้นอาจเกิดขึ้นหลายครั้งด้วยกัน จึงทำให้พระคัมภีร์ที่เราอ่านอยู่ในปัจจุบันอาจมีข้อผิดพลาดได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นบันทึกของอัครสาวกก็ตาม จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมบันทึกของอัครสาวกจึงอาจมีข้อผิดพลาดได้เช่นกัน
แต่เรายังเชื่อว่าบันทึกของอัครสาวกมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด
5. ประการสุดท้าย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการอ่านคัมภีร์ไบเบิลก็คือ เราจะต้องขอให้พระเจ้าผู้ประเสริฐเป็นผู้นำเราในการอ่านคำสอน
ของพระองค์ ผ่านทางพระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเรา เพื่อเราจะได้เข้าใจคำสอนของพระองค์ได้อย่างถูกต้อง
ซึ่งเราจำเป็นจะต้องอธิษฐานขอจากพระองค์ก่อนอ่านพระคัมภีร์ แต่หากเราได้ทำอย่างครบถ้วนแล้ว เรายังไม่เข้าใจคำสอนบางอย่างของพระองค์
ก็เนื่องจากว่าข้อความนั้น พระองค์จะเปิดเผยให้แก่ผู้ที่มีของประทานในการรู้ข้อล้ำลึกในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แต่สำหรับแก่นคำสอน
ของพระเจ้า พระองค์จะนำให้ผู้ที่ศรัทธาพระองค์เข้าใจได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้ผู้ที่ศรัทธาพระองค์จะได้รับความรอดเข้าสู่สวรรค์
หมายเหตุ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรคริสเตียนใดๆ ทั้งสิ้น