JJNY : ลุยลงทุน’เวียดนาม’ SCGมั่นใจ│ลุ้นผลตัดสินคดีม็อบกปปส.│สหรัฐขู่เล่นผู้นำทัพเมียนมาเพิ่ม│ประวิตรเดือด!ไล่7ส.ส.พปชร.

ธุรกิจไทยลุยลงทุน ’เวียดนาม’ SCG มั่นใจศักยภาพเศรษฐกิจ
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/923756


 
“เอสซีจี” เชื่อมั่นศักยภาพเศรษฐกิจเวียดนาม เดินหน้าลงทุนปิโตรคอมเพล็กซ์ คืบหน้า 66% คาดทำสัญญาซื้อหุ้น Duy Tan 70% เสร็จกลางปีนี้ เจ้าสัวเจริญ ดัน‘บีเจซี-ไทยเบฟ’ ปั้นอาณาจักรธุรกิจต้นน้ำ-ปลายน้ำ
 
ปัจจุบันเวียดนามมีโครงการลงทุนจากต่างชาติ (เอฟดีไอ) 33,165 โครงการ ทุนจดทะเบียน 386,009 ล้านดอลลาร์ โดยเกาหลีใต้เป็นนักลงทุนรายใหญ่ 8,976 โครงการ มูลค่าทุนจดทะเบียน 70,489 ล้านดอลลาร์ ส่วนไทยอยู่อันดับ 9 รวม 605 โครงการ ทุนจดทะเบียน 12,602 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงฮานอย กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่าเฉพาะเดือน ม.ค.2564 เวียดนามมีเอฟดีไอ 47 โครงการ ทุนจดทะเบียน 1,323 ล้านดอลลาร์ มีสิงคโปร์ลงทุนเป็นอันดับ 1
  
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน เอสซีจี เปิดเผยว่า เอสซีจีทำธุรกิจในเวียดนามตั้งแต่ปี 2535 และขยายลงทุนต่อเนื่องด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนาม
  
ทั้งนี้ การลงทุนมีกลยุทธ์สำคัญ คือ การสร้างความร่วมมือแบบบูรณาการกับพันธมิตรทุกรายในเวียดนาม เพื่อการแลกเปลี่ยน ถ่ายทอดประสบการณ์ องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญระหว่างกัน รวมถึงพัฒนาบุคลากรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการในประเทศเติบโตด้วยกันยั่งยืน โดยพัฒนาสินค้าและบริการรองรับความต้องการตลาดอุปโภคบริโภค และการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมเวียดนาม
 
นอกจากนี้ ปัจจุบันเอสซีจีร่วมมือกับพันธมิตรดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้งธุรกิจเคมิคอลส์ ธุรกิจซิเมนต์ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีโรงงานกระจายทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โครงการลงทุนสำคัญ 2 กลุ่มธุรกิจ คือ
 
1. ธุรกิจเคมิคอลส์ โดยลงทุนโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) เป็นการลงทุนหลักของเอสซีจี ซึ่งเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันธุรกิจเคมิคอลส์ในอาเซียนระยะยาว รองรับความต้องการภายในเวียดนามที่สูงปีละ 2.3 ล้านตัน และมีแนวโน้มขยายตัวขึ้นตามเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นฐานการผลิตสำคัญรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม โดยการนำเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกและเทคโนโลยีดิจิทัลมาคิดค้นนวัตกรรมเพื่อสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีขึ้น ซึ่งมีคืบหน้าตามแผน 66%
 
2. ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ร่วมมือกับพันธมิตรเวียดนาม ขยายธุรกิจและพัฒนาโซลูชันบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรมในเวียดนามทั้งบรรจุภัณฑ์จากพลาสติกและบรรจุภัณฑ์กระดาษ รวมถึงการพัฒนาทีมนักออกแบบในประเทศ พร้อมนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละรายให้ดีมากขึ้น 
 
พร้อมทั้งจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุดและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าในอาเซียนที่ต้องการบรรจุภัณฑ์เพิ่มต่อเนื่อง คือ
 
1. ขยายการลงทุนด้วยการควบรวมกิจการ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ต้นน้ำในเวียดนาม
 
2. ลงนามสัญญาร่วมทุน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปมีรายได้ 6,100 ล้านบาท มีฐานลูกค้าเป็นบริษัทข้ามชาติและผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคแบรนด์ชั้นนำในเวียดนาม และเป็นผู้ผลิตภาชนะเครื่องใช้พลาสติกในครัวเรือนแบรนด์ “DuyTan” กำลังการผลิต 116,000 ตันต่อปี คาดว่าการทำธุรกรรมเข้าซื้อหุ้น 70% เสร็จภายในกลางปี 2564
 
ส่วนอีก “ทุนไทย” ที่ปักหมุดสร้างอาณาจักธุรกิจใน “เวียดนาม” เป็นฐานทัพที่ 2 รับเศรษฐกิจ อำนาจซื้อ การบริโภคเติบโตเสริมความมั่งคั่งให้กับบิ๊กคอร์ปของไทย คือ “กลุ่มไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น” หรือ ทีซีซี กรุ๊ป ของ “เจ้าสัวเจริญ-คุณหญิงวรรณาสิริวัฒนภักดี” ที่ลงทุนหลายปีครบวงจรตั้งแต่ “ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ”
 
5 กลุ่มธุรกิจ ทีซีซี กรุ๊ป มี 2 เสาหลักชักธงบุกเวียดนาม ได้แก่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ลุยธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ขยายอุตสาหกรรมและการค้า 
 
บีเจซีนำร่องด้วยการ“ซื้อและควบรวมกิจการ” หรือ M&A หลายปี มีการ“ร่วมทุน”พันธมิตรเช่น ผนึกโอเว่น อิลลินอยส์หรือ โอ-ไอ สร้างโรงงานผลิตกระป๋องก้าวเป็น “ยักษ์ใหญ่” ของภูมิภาค การซื้อหุ้นไทอัน เวียดนาม จอยท์ สต๊อก คัมปะนี จนเป็น “ผู้นำตลาด” ด้านการขนส่งและกระจายสินค้าครอบคลุมเวียดนามเหนือจรดใต้
 
นอกจากนี้ บีเจซี ซื้อกิจการภูไท กรุ๊ป เป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจร้านสะดวกซื้อปัจจุบันอาณาจักรค้าปลีกโตหลายเท่าตัว เพราะซื้อกิจการ “บิ๊กซี” และ“เมโทร แคช แอนด์ แครี่ เวียดนาม" เปลี่ยนชิ่อเป็น “เอ็มเอ็ม เมก้า มาร์เก็ต” มีการซื้อโรงงานผลิตเต้าหู้เบอร์ 1 และโรงงานผลิตปลากระป๋อง การลงทุนหลายหมื่นล้านบาทต่อจิ๊กซอว์เชื่อมเครือข่ายการค้าให้ทีซีซี กรุ๊ป
 
ขณะที่ไทยเบฟฯ ลงทุนครั้งใหญ่ซื้อหุ้น 75% ของไซ่ง่อน เบียร์ แอลกอฮอล์ เบฟเวอเรจ คอร์เปอเรชั่น หรือ ซาเบโกด้วยมูลค่า 1.56 แสนล้านบาท ทำให้ได้โรงงานเบียร์ 20 แห่งในเวียดนามพร้อมแบรนด์เบียร์เบอร์ 1 อย่าง 333 และไซ่ง่อนเบียร์
 
ล่าสุดไทยเบฟฯแยกธุรกิจเบียร์มาเพื่อจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ได้ให้ข้อมูลถึงความเชื่อมั่นการขยายตลาดเบียร์ในเวียดนามจะสร้างการเติบโตในอนาคตและเป็นหนึ่งในตลาดใหญ่สุดของอาเซียน อีกทั้งประชากรกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหมที่บริโภคมากขึ้น ทั้งนี้ การขยายธุรกิจเครื่องดื่มในเวียดนามไม่ได้มีแค่เบียร์แต่มีกลุ่ม “สุรา” ทั้งสุราขาว สุราสี



ลุ้นผลตัดสินคดีม็อบกปปส. ชี้ชะตาเก้าอี้รมว.-รมช.
https://www.dailynews.co.th/politics/826974
 
จับตา 24 ก.พ.64 ฟังคำตัดสินพิพากษา คดีกปปส. ก่อม็อบ-ขวางเลือกตั้งปี 2557 หากผิดจริงเก้าอี้ 2 รมว. - 1 รมช. สั่นคลอน เพราะจะหมดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ต้องรอให้คดีถึงที่สุด 
 
จากกรณีที่ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 24 ก.พ. คดีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิกาคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) และแกนนำกปปส. รวม 39 คน จากการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2557 ซึ่งมีการกระทำความผิด 9 ข้อหาที่รวมถึงการร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้งด้วยนั้น พบว่ามีจำเลยส่วนหนึ่งมีปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ส.ส.อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐ  ที่สำคัญ มีผู้ที่เป็นรัฐมนตรีด้วย คือ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ  นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม และส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์  จึงทำให้หลายฝ่ายรวมต้องติดตามคำตัดสินของศาล เพราะจะมีผลต่อคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับครม.
 
ทั้งนี้  นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนี้ด้วย ว่า  สำหรับพรรคประชาธิปัตย์มีการติดตามรอฟังคำพิพากษาคดีนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้คดีนี้เป็นการตัดสินของศาลอาญา แต่เนื่องจากโจทย์ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของจำเลยด้วย จึงถือว่าสำคัญมาก  โดยแนวทางคำตัดสินคดีนี้ มี 3 ทาง คือ 
1.จำคุกและเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 
2.รอโทษจำคุก แต่สั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 
3.ศาลสั่งยกฟ้อง  
 
ซึ่งถ้าศาลสั่งจำคุกและเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง หรือถ้าสั่งรอลงอาญา แต่ให้เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง จะทำให้จำเลยต้องพ้นจากตำแหน่งทันที เพราะหมดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ต้องรอให้คดีถึงที่สุด  และถ้ามีผู้นำเรื่องยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยสภาพความเป็น ส.ส.ว่าจะหมดไปทันที หรือต้องรอให้คดีถึงที่สุดก่อน  ที่จริงก็มีบรรทัดฐานจากคำวินิจฉัยของศาลฯ ในคดีของนายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถูกศาลอาญาตัดสินจำคุกและเพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้ง จากกรณีการทุจริตกรเลือกตั้งนายกอบจ.นครศรีธรรมราช

นายนิพิฏฐ์ กล่าวอีกว่า  ส่วนผู้ที่มีตำแหน่งรัฐมนตรี ถ้าศาลอาญาตัดสินว่ามีความผิด ก็ต้องพ้นจากตำแแหน่งทันที เพราะขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (7) ที่บัญญัติว่าไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ
 
เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้หารือกันเป็นการภายในเพื่อเตรียมแผนรองรับต่างๆสำหรับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการปรับครม. นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า  ไม่มี เพราะเราหวังว่าผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคเราจะได้รับชัยชนะ  และเรายังไม่คิดไปไกลถึงขั้นเรื่องปรับครม.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่