JJNY : 5in1 เวียดนามโตแซงไทย│ยอดขายรถในปท.ฮวบ│จับตาลูกหนี้ใกล้เสีย│จวกจะจับ'เราชนะ'แลกเงินสด│ยุทธพงศ์ร้องป.ป.ช.

‘เวียดนาม’ โตแรงแซงไทย แข่งพ้นกับดักรายได้ปานกลาง
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/923755
 

 
“เวียดนาม” แซงหน้าไทยทุกเวทีทั้งการส่งออก-เอฟดีไอ หายใจรดต้นคอพ้นกับดักรายได้ปานกลาง “อังค์ถัด” เผยไทยถดถอยในซัพพลายเชนโลก ขาดความน่าสนใจลงทุน เผยนวัตกรรมเวียดนามเป็นรองแค่สิงคโปร์-มาเลเซีย
 
เวียดนามประกาศนโยบายครั้งสำคัญในการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามสมัยที่ 13 เมื่อวันที่ 25 ม.ค.2564 ถึง 1 ก.พ.2564 ซึ่งเห็นชอบเป้าหมายให้เวียดนามเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีอุตสาหกรรมทันสมัยและก้าวข้ามรายได้ปานกลางระดับต่ำภายในปี 2568 เป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีอุตสาหกรรมทันสมัยมีรายได้ปานกลางระดับสูงภายในปี 2573
 
และมีเป้าหมายเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้สูงภายในปี 2587 รวมทั้งกำหนดเป้าหมายจีดีพีช่วงปี 2564-2568 ขยายตัวเฉลี่ย 6.5-7.0% 
 
ในขณะประเทศไทยได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2561-2580) มีเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี 2580 ที่มีรายได้ต่อหัวเกิน 12,235 ดอลลาร์ ซึ่งจะใช้เวลาเกือบ 50 ปี นับจากเข้าสู่ประเทศกำลังพัฒนารายได้ปานกลางระดับต่ำเมื่อปี 2531 ที่มีรายได้ต่อหัวเกิน 1,036 ดอลลาร์
 
ส่วนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2565 - 2568) ที่คาดว่าจีดีพี 2565-2568 จะขยายตัวระหว่าง 3.2-3.7% 
 
นอกจากจีดีพีที่เวียดนามมีแนวโน้มขยายตัวมากกว่าไทย ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายตัวที่เวียดนามมากว่าไทย โดยศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สรุปในปี 2562 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ของเวียดนามอยู่ที่ 16,120 ล้านดอลลาร์ ส่วนไทยอยู่ที่ 4,816 ล้านดอลลาร์ 
 
ขณะที่ด้านการส่งออก ซึ่งสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงฮานอย กระทรวงพาณิชย์ สรุปข้อมูลปี 2563 เวียดนามมีมูลค่า 282,655 ล้านดอลลาร์ ส่วนไทยมีมูลค่า 231,648 ล้านดอลลาร์
 
รวมทั้งที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) ได้ออกรายงาน WORLD ECONOMIC SITUATION AND PROSPECTS 2021  ซึ่งส่วนหนึ่งมีการรายงานห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global value chains : GVC) หัวข้อ GVC in the aftermath of COVID-19 : implications for Asia and the Pacific ระบุว่า ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้รวมถึงไทยและเวียดนามนำ GVC มาเป็นเครื่องมือผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการลดความยากจน
 
รายงานดังกล่าวระบุการเปลี่ยนแปลงสัดส่วน GVC ต่อเศรษฐกิจแต่ประเทศ โดยในปี 2548 เวียดนามมีสัดส่วน GVD ต่อ GDP ที่ 30% ส่วนไทยอยู่ที่ 47% และปี 2558 เวียดนามเพิ่มเป็น 47% แต่ไทยมีสัดส่วนลดลงมาอยู่ที่ 28%
 
ไทยน่าสนใจลงทุนลดลง
 
นายสมชาย หาญหิรัญ คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การที่มูลค่า GVC ของไทยลดลงเพราะเอฟดีไอขยายไปลงทุนในประเทศที่ได้เปรียบ เช่น เวียดนามที่ในปี 2563 มีเอฟดีไอสูงกว่าไทย 2-3 เท่าตัว
 
รวมทั้งเอฟดีไอส่วนใหญ่จะไหลไปเวียดนามและอินโดนีเซีย เพราะเวียดนามมีข้อตกลงสำคัญ 2 ข้อตกลง คือ 
1.ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) 
2.เอฟทีเอเวียดนาม-สหภาพยุโรป (อียู) 
แต่ไทยไม่มีทำให้เวียดนามเหมาะเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปประเทศในข้อตกลง ส่วนอินโดนีเซียได้เปรียบไทยเพราะขนาดตลาดภายในใหญ่กว่าไทยถึง 4 เท่าตัว
 
โดยสิ่งที่ประเทศไทยจะต้องเร่งปรับตัวในเรื่องในสู่อุตสาหกรรม และเทคโนโลยีที่สูงขึ้น นำระบบดิจิทัล หุ่นยนต์ และเครื่องจักรอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการผลิตและการประกอบธุรกิจ และเร่งจัดทำข้อตกลงเอฟทีเอกับประเทศขนาดใหญ่ รวมทั้งการปรับฐานไปสู่ห่วงโซ่การผลิตในสินค้าไฮเทค ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีนวัตกรรมและใช้เทคโนโลยีชั้นสูง จะช่วยเพิ่มสัดส่วนซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมชั้นสูงที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
 
3 ปัจจัยเศรษฐกิจแซงไทย
 
นายปิติ ศรีแสงนามผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตรวดเร็ว ส่วนหนึ่งมาจากวิธีคิดและระบบการปกครองที่เมื่อกำหนดแผนหรือแนวทางการพัฒนาประเทศแล้ว จะเดินหน้าตามแผนประกอบกับระบบการปกครองแบบสังคมนิยมที่สั่งการจากส่วนกลางได้ทำการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 ส่วนปฏิรูปจริงจัง ได้แก่
 
1. การปฏิรูปกฎหมายโดยใช้กระบวนการ Regulatory guillotine ตั้งแต่ปี 2550-2551 โดยโละกฎหมายล้าสมัย รวมกฎหมายที่ซ้ำซ้อนและร่างกฎหมายใหม่ส่งเสริมการค้าและการลงทุนสอดคล้องสากล ซึ่งใช้มาตรฐานองค์กรการค้าระหว่างประทศ (WTO) ทำให้ลดต้นทุนเอกชนได้ปีละ 1.4 พันล้านดอลลาร์
 
2. สนับสนุนบรรยากาศและการใช้ประโยชน์จากการค้าเสรี โดยเวียดนามมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) 16 ฉบับกับ 53 ประเทศ ขณะที่ไทยมี 14 ฉบับกับ 18 ประเทศ เวียดนามจึงดึงการลงทุนได้มากกว่า 3.เวียดนามให้ความสำคัญในการพัฒนาคนต่อเนื่อง ทำให้มีแรงงานตรงความต้องการของผู้ประกอบการที่ลงทุนในประเทศ
 
เวียดนามเปลี่ยนโฉมการศึกษา
 
นางโดมินิเก อองล์ตเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญโครงการอาวุโส สถาบันระหว่างประเทศเพื่อวางแผนการศึกษา (ไอไออีพี) กล่าวกับเว็บไซต์เวียดนามเน็ตเมื่อเดือน ม.ค.ถึงการพัฒนาระบบการศึกษาของเวียดนามช่วง 5 ปีที่ผ่านมาว่าการศึกษาเวียดนามเปลี่ยนหลายอย่าง ให้ความสำคัญกับประเด็นสังคมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาก่อนประถมวัยและการศึกษาขั้นสูงขยายตัว รัฐบาลตั้งเป้าจัดการศึกษาระดับก่อนประถมวัยและมัธยมศึกษาถ้วนหน้าอัตราเด็กที่ไม่ได้เข้าโรงเรียนอยู่ในระดับต่ำ ถือเป็นความก้าวหน้าเมื่อเทียบประเทศอื่น
 
แม้โควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย แต่เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตได้ในปี 2563 หากการใช้จ่ายด้านการศึกษาคงสัดส่วนปัจจุบัน การลงทุนด้านการศึกษาจะเพิ่มขึ้น
 
สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ประทับใจมากที่สุด คือ ระบบการศึกษาที่เน้นคุณภาพ การศึกษาหลักสูตรใหม่ของเวียดนามเปลี่ยนมากในด้านระบบการประเมินนักเรียน วิธีสอนและสื่อการสอน ทั้งหมดนี้ชี้ถึงความมุ่งมั่นและรับผิดชอบปรับปรุงคุณภาพการศึกษาแตกต่างจากประเทศในกลุ่มโออีซีดีที่พัฒนาระบบมานาน
 
การเพิ่มจำนวนศูนย์สารสนเทศและศูนย์ภาษาต่างประเทศช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นหลักฐานชัดเจนบ่งบอกถึงการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันและอุทิศตัวของภาคส่วนอื่น นอกเหนือจากภาครัฐต่อระบบการศึกษาเวียดนาม
 
“นวัตกรรม”รองสิงคโปร์-มาเลย์
 
ด้านองค์กรทรัพย์สินทางปัญญาโลก เผยแพร่รายงานเมื่อวันที่ 2 ก.ย.2563 ระบุว่า เวียดนามครองอันดับ 42 จาก 131 ประเทศในดัชนีนวัตกรรมโลก (จีไอไอ) ด้วยคะแนน 37.12 เต็ม 100 เป็นอันดับ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย และเป็นอันดับ 9 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแต่เป็นที่ 1 ในกลุ่มรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ 29 ประเทศ
 
บริษัทข้ามชาติใหญ่ๆ ล้วนตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในเวียดนาม ส่วนหนึ่งเพราะได้เปรียบต้นทุนที่อยู่ใกล้ศูนย์กลางการผลิต ทั้งมีแรงงานอายุน้อย มีความรู้ดีด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม
 
อย่างไรก็ตาม รายงานแนะว่า หากเวียดนามต้องการเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีทันสมัย จะต้องทุ่มเททรัพยากรด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการศึกษาขั้นสูงให้มากกว่านี้
 

 
โควิดระลอก 2 ทำยอดขายรถในประเทศฮวบหนัก รถยนต์นั่งดิ่งหนักสุด ลด 44.2%
https://www.matichon.co.th/economy/auto/news_2590643
 
ตลาดรถยนต์เดือนมกราคม ลดลง 21.3% รถยนต์นั่งฮวบหนัก ลดลง 44.2% ผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ 
 
นายสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม 2564 ลดลงทุกตลาดโดยมียอดการขายรวมทั้งสิ้น 55,208 คัน ลดลง 21.3% ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 16,104 คัน ลดลง 44.2% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 39,104 คัน ลดลง 5.4% ขณะที่ รถกระบะขนาด 1 ตัน ในเซกเมนท์นี้ มีจำนวน 30,107 คัน ลดลง 9.6%
 
ตลาดรถยนต์เดือนมกราคม 2564 มีปริมาณการขาย 55,208 คัน ลดลง 21.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตลดลง 44.2% และตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์  มีอัตราการเติบโตลดลง 5.4% สืบเนื่องจากความกังวลของผู้บริโภคที่มีต่อการแพร่ระบาดของไวรัส COVID 19   รอบใหม่ที่มีการระบาดเป็นวงกว้างและรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การดำเนินธุรกิจและสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว การบริการต่างๆ ที่ยังคงชะลอตัว ตลอดจนอุตสาหกรรมรถยนต์ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย
 
ตลาดรถยนต์ในเดือนกุมภาพันธ์ยังคงน่าจับตามอง ถึงแม้ว่าการระบาดของไวรัส COVID 19 ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อหลายภาคส่วน ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ทุกประเทศทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ดีมาตรการแก้ไขสถานการณ์ภายในประเทศ อาทิเช่น มาตรการ Lockdown ของภาครัฐที่เข้มงวดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ตลอดจนมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ประกอบด้วยโครงการ “คนละครึ่ง” “เราเที่ยวด้วยกัน” “ช้อปดีมีคืน” “เราชนะ” ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนสามารถจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน และยังเป็นการสร้างกระแสหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ทางด้านของตลาดรถยนต์ บรรดาค่ายรถยนต์ต่างพยายามกระตุ้นการตัดสินใจซื้อรถของผู้บริโภคตั้งแต่ต้นปี ทั้งการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีการปรับปรุงใหม่ รวมทั้งข้อเสนอพิเศษต่างๆ ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ในเดือนกุมภาพันธ์น่าจับตามองว่าจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีเพียงไร
 
    ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม 2564
 
1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 55,208 คัน ลดลง 3%
 
อันดับที่ 1 โตโยต้า      17,758 คัน      ลดลง        12.2%     ส่วนแบ่งตลาด 32.2%
 
อันดับที่ 2 อีซูซุ          15,248 คัน      เพิ่มขึ้น        6.7%      ส่วนแบ่งตลาด 27.6%
 
อันดับที่ 3 ฮอนด้า      5,657 คัน       ลดลง        50.4%        ส่วนแบ่งตลาด 10.2%
 
2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 16,104 คัน ลดลง 2%
 
อันดับที่ 1 โตโยต้า      5,073 คัน       ลดลง       26.4%        ส่วนแบ่งตลาด 31.5%
 
อันดับที่ 2 ฮอนด้า      4,526 คัน       ลดลง       52.3%         ส่วนแบ่งตลาด 28.1%
 
อันดับที่ 3 มาสด้า       1,779 คัน       ลดลง       43.8%        ส่วนแบ่งตลาด 11.0%
 
3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 39,104 คัน ลดลง 4%
 
อันดับที่ 1 อีซูซุ          15,248 คัน      เพิ่มขึ้น      6.7%         ส่วนแบ่งตลาด 39.0%
 
อันดับที่ 2 โตโยต้า      12,670 คัน      ลดลง       5.0%         ส่วนแบ่งตลาด 32.4%
 
อันดับที่ 3 ฟอร์ด        2,305 คัน       เพิ่มขึ้น     8.0 % ส่วนแบ่งตลาด  5.9%
 
4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย  30,107 คัน ลดลง 9.6%
 
อันดับที่ 1 อีซูซุ           14,198 คัน      เพิ่มขึ้น     6.1%          ส่วนแบ่งตลาด 47.2%
 
อันดับที่ 2 โตโยต้า      10,494 คัน      ลดลง     11.0%          ส่วนแบ่งตลาด 34.9%
 
อันดับที่ 3 ฟอร์ด        2,305 คัน       เพิ่มขึ้น    8.0% ส่วนแบ่งตลาด  7.7%
 
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 4,294 คัน
 
โตโยต้า 1,975 คัน – อีซูซุ 1,434 คัน – มิตซูบิชิ 522  คัน – ฟอร์ด 343  คัน – นิสสัน 20 คัน
 
5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 25,813 คัน ลดลง 2%
 
อันดับที่ 1 อีซูซุ          12,764 คัน      ลดลง       1.1%          ส่วนแบ่งตลาด 49.4%
 
อันดับที่ 2 โตโยต้า      8,519 คัน       ลดลง      19.7%         ส่วนแบ่งตลาด 33.0%
 
อันดับที่ 3 ฟอร์ด        1,962 คัน       เพิ่มขึ้น    15.1%           ส่วนแบ่งตลาด  7.6%
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่