ทำไมแม่ชอบด่า ชอบแช่งเราด้วยคำหยาบคาย และความอึดอัดจากครอบครัว ?!?!

กระทู้คำถาม
เราเป็นคนหนึ่งที่มีครอบครัวไม่สมบูรณ์แบบ แม่เคยเล่าให้เราฟังว่า พ่อได้แยกทางกับแม่ตั้งแต่เราอยู่ในท้องได้แปดเดือน ซึ่งเรามีพี่สาวอยู่หนึ่งคน เราโตมาด้วยความกดดัน ความเครียดหลายๆ อย่าง ถูกบังคับให้เรียนในสายที่ไม่ถนัด ถ้าไม่เรียนหรือทำอะไรที่แม่ไม่พอใจแม่ก็จะพูดมาว่าจะไม่ส่งให้เรียนหนังสือ ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กจนเรียนจบมหาลัย แม่เราชอบเอาเราไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่นๆ ตั้งแต่เด็กจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเอาไปเปรียบเทียบ บางครั้งไม่พอใจใครมาจากนอกบ้านก็จะมาลงที่ลูกๆ หรือคนในบ้าน หลายๆ พฤติกรรมของแม่ที่ทำกับเรามาตั้งแต่เด็กจนตอนนี้ เราอายุ 33 ปีแล้วก็ยังรู้สึกว่าเราไม่สามารถอยู่กับแม่ได้นานๆ เลย เพราะแม่เป็นคนที่โมโหร้าย คือใช้คำหยาบ พูดแทงใจดำและพูดด่าว่าเราเสียๆ หายๆ หลายครั้งที่เราได้ฟังแล้วกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เลย มันทำให้เราเป็นคนเครียดง่าย เป็นคนชอบวิตกกังวล ผู้ใหญ่ทางบ้านเราทุกคนจะเป็นคนหัวโบราณ คือความคิดของพวกเขาถูกต้องเสมอ เราก็เลยไม่มีสิทธิตัดสินใจทำอะไรเองได้เลย มันทำให้เราโตขึ้นมาแบบไม่กล้าตัดสินใจอะไรสักเท่าไหร่ หรือตัดสินใจไปแล้วมันเกิดพลาด จนตอนนี้เรามีแฟน แต่แม่และทางบ้านก็ยังไม่ทราบ เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ลูกหลานแต่งงาน และห้ามเราคุยกับผช. หรือห้ามมีแฟน ห้ามเข้าใกล้ ผช. ฟังดูแล้วเหมือนโกหก แต่บ้านเราเป็นแบบนี้จริงๆ เกริ่นนำมาเยอะแต่มันก็ยังไม่ถึงครึ่งของสิ่งที่เจอมาเลย...เข้าเรื่องตามหัวข้อกระทู้เลยแล้วกัน ที่บอกว่าแม่เราเป็นคนชอบแช่ง ด่าลูกตัวเองเวลาโมโห ตั้งแต่เด็กจนโต จนตอนนี้เราทำงานเป็นข้าราชการ มาทำงานอยู่ต่างจังหวัด เดือนสองเดือน หรือสามเดือนถึงจะกลับบ้าน นานๆ ที เพราะเหตุผลที่ไม่อยากกลับคือ ความอึดอัด เครียด กดดัน หลายๆ อย่างเวลากลับบ้านไป แม่เราชอบด่าเรากับพี่ด้วยคำหยาบ เช่น ไอ้นร_ /เด็กเปร_ /เด็กอุบา_ว์ /นอนเ_ากับ ผช.อยู่เหรอ หรือสบถเป็นคำแช่งออกมา ประมาณนี้เป็นต้น ทุกครั้งถ้าเราได้ยินก็น้ำตาไหล ว่าทำไมแม่ถึงเป็นแบบนี้ เสียใจ และเก็บคำพูดไปคิดจนไมเกรนขึ้น บางครั้งก็อยากจะหนีออกจากบ้านไปตายดาบหน้า มีเหตุการณ์นึงที่ยังสะเทือนใจอยู่คือ ตอนนั้นเป็นช่วงวันหยุดสิ้นปี เรากลับบ้านไปได้หนึ่งคืน คือวันที่ 30 ธ.ค.และในวันที่ 31 ธ.ค. เราไม่รู้ว่าตอนนั้นทะเลาะกันเรื่องอะไร เราเข้ามาในห้องนอนเพราะไม่อยากทะเลาะ และล็อคประตู แม่ก็มายืนด่าหน้าห้อง แค่คำว่า ไอ้เด็กเปร_ น้ำตาก็ร่วงออกมาแบบ non stop เราตัดสินใจหิ้วกระเป๋ากลับมาที่ทำงานใันวันที่ 31 ธ.ค. ต้องมานอนคนเดียวที่บ้านพัก ตอนนั้นคนที่ทำงานไม่มีใครอยู่บ้านพักเลยเพราะเขากลับบ้านในช่วงวันหยุดยาวกันหมด และแถมคืนนั้นก็โดนผีหลอกเบาๆ แบบต้องนอนไม่หลับและนอนร้องไห้ แม่ขู่เราตลอดตอนเรียนหนังสือจนจบมหาลัยเวลาที่เราทำอะไรที่แม่ไม่พอใจว่าจะไม่ส่งให้เรียน แล้วเราก็เกือบจะไม่ได้เรียนจริงๆ มา 2-3 ครั้ง เพราะไม่มีค่าลงทะเบียน จริงๆ แล้วตอนนั้นแม่ก็พอมีเงินส่งเราเรียนนะ เหตุการณ์ที่เด่นๆ คือตอนเรากำลังจะขึ้น ม.1 เราจะต้องไปจ่ายค่าลงทะเบียนประมาณ 1,500 บาท และได้บอกแม่ล่วงหน้าประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้แม่ได้เตรียมเงิน ก่อนหน้านั้นแม่เอาเงินมาให้เราดูว่าแม่ได้เตรียมเงินค่าลงทะเบียนไว้ให้แล้ว แล้วพอใกล้ถึงวันจ่ายเงินลงทะเบียน แม่กลับมาบอกว่าเงินไม่มีแล้ว เราตกใจมาก ใจนึงก็งงว่าเงินมันไปไหน แม่บอกว่าได้เอาไปซื้อเสื้อผ้าและผ้าถุงหมด เราเครียด กลัวอย่างเดียวคือไม่ได้เรียนหนังสือ แม่มีพี่น้องสี่คน คือ ป้าๆ น้าๆ เราเอง เราไปขอความช่วยเหลือตอนนั้น ไม่มีใครให้เรายืมเลย  แต่แม่เรากลับไม่เดือดร้อนอะไรเลย เราเครียด เราร้องไห้ ตอนจะเข้าม.1 กลัวไม่ได้เรียน แต่ก็ไม่มีใครให้เงินเรายืมเลย เขาอ้างว่าเขาอยากดัดนิสัยแม่ ถ้าให้เงินเราไปลงทะเบียน วันหลังเราก็จะมาขออีก แต่ไม่มีใครนึกถึงความรู้สึกของเด็กผู้หญิงคนนี้เลย...เวลาผ่านไปจนถึงตอนเย็นก่อนวันลงทะเบียนเรียน เราก็ยังยืมเงินใครไม่ได้ เรามีความคิดว่าเราจะขโมยเงินใครก็ได้มาลงทะเบียนก่อน...แต่ก็ยังไม่ทันได้ลงมือขโมย ก็ได้รับความช่วยเหลือจากน้าสะใภ้ เพราะแม่ไปเล่าเรื่องและยืมเงินน้ามาส่งให้เราลงทะเบียนฟัง เราก็ดีใจมาก และน้าสะใภ้ก็บอกว่าไม่ต้องมาคืนนะ ให้ไปลงทะเบียนเรียนหนังสือ เด็กๆ ต้องเรียนหนังสือถึงจะมีอนาคตที่ดี ในตอนนั้นเราอยากมีแม่เป็นน้าสะใภ้มาก คิดในใจว่าถ้าใครได้เป็นลูกคือมีบุญวาสนา...กลับมาที่ตัวเราอีกตอนหนึ่งคือตอนเรียนมหาลัยแล้ว ก็อย่างที่บอกว่าเรามีพี่สาวอีก 1 คน รวมเราเป็น 2 คน แต่แม่ไม่ได้เป็นคนส่งพี่สาวให้เรียนหนังสือนะ พี่สาวได้รับการสนับสนุนเงินจากน้าซึ่งเป็นน้องสาวของแม่เอง น้ารับพี่สาวไปเลี้ยงตั้งแต่อยู่ ม.1 ตอนนั้นน้าเราเป็นครู สอนที่ จ.นราธิวาส น้าเป็นสาวโสด ไม่แต่งงาน อยู่คนเดียวสาเหตุที่พี่สาวต้องไปอยู่กับน้า คือมีเหตุการณ์ที่พี่ต้องตัดสินใจวันนั้นว่าจะไปอยู่กับน้าที่ต่าง จว. (นราธิวาส) คือโดนแม่ด่า ว่าด้วยคำหยาบเช่นเคย ทุกครั้งเวลาที่แม่ด่า แม่จะใช้เสียงดังมาก ด่าด้วยคำหยาบ ซึ่งตอนนั้นพี่สาวเรากำลังจะขึ้น ม.1 และเราก็อายุห่างกับพี่สาว 1 ปีเท่านั้น เราสงสารพี่มาก ร้องไห้แทนพี่ และพี่ก็ร้องไห้เยอะมาก เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นพอดีกับที่น้าเดินทางกลับมาที่บ้านในช่วงปิดเทอม และน้าก็ได้ยินกับคำที่แม่ด่าออกมาลั่นบ้านก็เลยชวนพี่สาวไปอยู่ด้วยที่นราธิวาสเพราะไม่อยากให้พี่สาวโดนด่าว่าอีก เราไม่อยากให้พี่ไป เราเสียใจมาก ไม่อยากแยกกับพี่สาว เพราะเราสนิทกับพี่สาว น้าเราก็เป็นคนเจ้าระเบียบ จู้จี้ ขี้บ่น โมโหง่ายแต่ไม่ได้ใช้คำหยาบเหมือนแม่ พี่ไปอยู่กับน้าไม่ได้ยินคำหยาบแล้วแต่ก็ต้องมารับความกดดัน เก็บกด จากน้าแทน แต่น้าก็ส่งเสียให้เรียนจนจบมหาลัย และพี่เราก็เป็นคนเก็บกดไปเลย ตั้งแต่นั้นมานิสัยของพี่เราก็เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยเล่นด้วยกันก็กลายเป็นห่างเหิน ไม่ค่อยพูด และไม่สนิทคุ้นเคยกับเราเลย กลายเป็นความไม่เข้าใจ การทะเลาะกัน จนทุกวันนี้เราก็ไม่ค่อยคุยกับพี่สาวเลย บางปีก็แทบไม่ได้เจอหน้า ทะเลาะกันถึงขั้นไม่คุยกันเลยเป็นปีก็มี...ครอบครัวเราเป็นอะไร ทำไมเราถึงรู้สึกไม่อบอุ่น อีกเหตุการณ์ระหว่างแม่กับเราคือ ตอนเราจะเข้ามหาลัย ก็จะต้องจ่ายลงทะเบียนเรียน (อีกแล้ว) ตอนจะเข้าปี 1 แม่เราก็ไม่มีให้อีกเช่นเคย เราก็เกือบจะไม่ได้เรียนอีกเช้นเคย แต่ครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากน้าๆ 2 คน ช่วยกันจ่าย หลังจากนั้นเราก็ทำเรื่องขอกู้เงินเรียน กยส. จนจบปี 4 ส่วนเงินรายเดือนแม่ก็ผลักภาระให้เป็นหน้าที่ของน้าอีกเช่นเคย ส่วนแม่ก็จะให้บ้างนานๆ ครั้ง หรือช่วงที่น้าทะเลาะกับเรา จนถึง ปี 2 เราจำต้องมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุคเพื่อเตรียมตัวทำโปรเจคและพรีเซนงานต่างๆ จะบอกเลยว่าตอนนั้น (ปี 2552-2553) นศ.ส่วนใหญ่จะมีโน้ตบุค มือถือ เอาไว้ติดต่อ สื่อสาร หาข้อมูล มันจำเป็นมากๆ สิ่งแรกที่เราอยากมีคือ โทรศัพท์ แต่ไปขอเงินบ้างส่วนจากแม่ จากน้า ก็ไม่มีใครให้ เราไม่ได้ขอเงินทั้งหมดมาซื้อนะ เพราะเราเก็บเงินเองได้บางส่วนแล้ว แต่มันก็ไม่ได้อย่างที่คิด เราไม่ได้เงินซื้อโทรศัพท์ จนเราต้องรอเก็บซื้อด้วยตัวเองกว่าจะได้มันมา อย่างที่ 2 ตามมาคือโน้ตบุค เหตุการณ์นี้ยังฝังใจเรามาก เพราะเราได้บอกแม่ว่าจะขอเงินบางส่วนจากแม่ซื้อโน้ตบุคเช่นเคย แม่เลยบอกเราว่าจะไปขอกู้เงินนอกระบบจากคนรู้จักมาให้ แต่แม่ก็พาเราไปบ้านคนปล่อยเงินกู้ด้วยเพื่อเอาเราไปยืนยันว่าจะกู้เงินสามหมื่นมาซื้อโน้ตบุคให้ลูก คนปล่อยเงินกู้ก็นัดวันให้เงิน แต่หลังจากวันนัดรับเงินเราก็ยังไม่เห็นเงิน เลยถามแม่ว่าเขาให้เงินกู้แม่หรือยัง ตอนนั้นจำได้ว่าแม่ตอบแบบเฉไฉว่า เขานัดเลื่อน จนเวลาล่วงเลยมา เรายังไม่ได้เงินซื้อโน้ตบุค เรื่องมันมาแดงตรงที่เจ้าหนี้มาทวงเงินที่บ้านพร้อมดอกเบี้ยรวมๆ ก็ประมาณสี่หมื่น ตอนนั้นแม่ไม่อยู่บ้านแต่มีน้าๆ แม่แอบเอาโฉนดที่ดินไปตั้ง เพื่อเอาเงินมา ไม่มีใครรู้ว่าเงินที่กู้มาหายไปไหน วันนั้นน้าเป็นคนจ่ายเงินพร้อมดอกเบี้ยไปแทนแม่ น้าโกรธมาที่แม่แอบกู้เงินและเอาโฉนดไปตั้ง ตอนนั้นเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เราอยู่ที่มหาลัย ป้าเราโทรมาหาเราเล่าเรื่องทั้งหมดให้เราฟัง พร้อมกับถามเราว่า เราเป็นคนให้แม่ไปกู้เงินนอกระบบเพื่อมาซื้อโน้ตบุคให้เราสาม สี่หมื่นจริงเหรอ(จะบอกว่าราคาโน้ตบุคประมาณ 2 หมื่น) เราเป็นคนเลวมาในตอนนั้น เราไม่รู้ว่าเงินที่แม่กู้มาแม่เอาไปไหน แค่แม่บอกเราว่ายังไม่ได้...ทำไมถึงเป็นแบบนี้ สุดท้ายเราก็เก็บเงินบางส่วนซื้อเอง และอีกครึ่งนึงแม่ก็ไปยืมน้ามาให้อีกเช่นเคย #แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเงินนั้นไปไหน ตอนเด็กๆ ตั้งแต่อนุบาล จนถึงป.3 เราและพี่ถูกปลูกฝั่งให้รู้จักอดออม เก็บเงินหยอดกระปุก และทุกครั้งที่เราเก็บเงินเต็มกระปุก (ประมาณคนละ 1,500-2,000) หรือฝากเงินไว้กับธนาคารโรงเรียน (ราวๆ คนละเกือบ 3,000) และเก็บเงินใส่กระปุกครั้งอื่นๆ เรากลับไม่เคยได้นำเงินเก็บไปใช้เลยสักครั้งเพราะแม่หรือป้าจะเอาออกไปซื้อของที่เขาอยากได้แทน เงินที่เก็บได้เราภูมิใจนะ แต่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ มันทำให้เราเป็นคนไม่อยากเก็บเงินตั้งแต่นั้นมา เพราะไม่รู้ว่าเงินไปไหน...จนเข้าสู่วัยทำงานเป็นวัยที่เราเริ่มจะสร้างสิ่งของที่อยากมี อยากได้ สิ่งแรกคือรถยนต์ เรากู้เงินเพื่อซื้อรถ 1 คัน แม่และป้าๆ น้าๆ ไม่มีใครสนับสนุน เราตัดสินใจซื้อโดยไม่ปรึกษาใคร (เพราะปรึกษาแล้วก็คงไม่ได้ซื้อ) เราเริ่มจาก 0 เราไม่มีทุนเหมือนคนอื่นๆ การจะมีรถสักคันก็คงต้องกู้ ทุกคนทางบ้านตกใจมาก และแม่ก็ดูไม่ค่อยโอเคกับการที่ฉันออกรถด้วยตัวเอง แม่บอกว่าให้กู้เงินมาอีก เอามาให้แม่เพราะแม่ทำเอามาทำธุรกิจและให้ปันผลเงินต้นและกำไรกับเราทุกเดือน เราก็ดำเนินการกู้เงินมาให้แม่อีก้อน (180,000 บาท) แม่จ่ายให้เรามาเดือน 16,000 บาท ได้ประมาณ 4-5 เดือน และขอลดจำนวนลงเหลือเดือน 10,000 บาท อีกประมาณ 5 เดือน หลังจากนั้นแม่ก็เริ่มโมโห โวยวาย หงุดหงิด ทุกครั้งที่เราโทรไปรับเงิน แม่ให้เรากู้เอาเงินไปหมุนทำกำไร และก็ปล่อยให้เราชำระหนี้ที่กู้มาฝ่ายเดียว โดยที่เราไม่ได้รับการช่วยเหลืออีก เรามีเงินเดือนเหลือจากการหักชำระหนี้รายเดือนเพียงเดือนละ 2,000 บาท เราเครียดมาก ไม่มีใครช่วยเราได้เลยตอนนั้น ยังดีที่มีเงินธุรการนอกมาเสริมอยู่บ้างอีก 3000 บาท แต่เป็นเงินไม่แน่นอน แม่ไม่เคยถามเราเลยว่าเราลำบากไหม มีแต่พูดว่าอยากให้เราไปกู้เงินมาเพิ่ม เพราะแม่อยากได้เงินไปซื้อที่ดิน เราก็ได้แต่คิดในใจว่าแม่ไม่ห่วงเราเลยเหรอว่าเราเป็นหนี้เท่าไหร่แล้ว เราไม่มีเงินเก็บเลยแล้วยังจะให้เราไปกู้มาเพิ่มอีก แม่ไม่คิดจะให้เรามีเงินติดตัวซื้อสมบัติในอนาคตเป็นของตัวเองเลยเหรอ...จนตอนนี้เราอายุ 33 ปี เราก็ยังไม่ชินกับการโดนด่า ในช่วงหลังนี้เราแสดงจุดยืนว่าทุกครั้งที่แม่ด่า แม่แช่ง เราจะเดินออกมาจากบ้าน กลับไปที่ทำงานเลย แม่ก็เลยไม่กล้าด่าว่าเราแรงๆ แต่จะไปพูดลับหลังว่าเรากับพี่สาว กับป้า ด้วยคำหยาบที่แรงๆ เรารู้เพราะพี่สาวและป้าโทรมาเล่าให้ฟัง...
#เราควรทำยังไงดี
#บุญคุณก็ไม่ลืมนะแต่มันยังไม่ถึงเวลาเพราะเราก็ยังลำบากอยู่มาก
#คิดเสมอว่าถ้ามีเงินเยอะๆ เมื่อไหร่ก็จะหอบเงินไปกองไว้ตรงหน้าให้แม่
#นี่เป็นแค่บางส่วนของชีวิตเท่านั้น
#หากเราพิมพ์ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง ไม่จัดลำดับ ก็ขออภัย #มือใหม่ #คนมันอยากระบาย 😥😥
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่