ลงทุนกองทุนรวมผ่าน Finnomena VS Jitta Wealth (Global ETF + Thematics)

สวัสดีครับ อยากได้ความคิดเห็น หรือการแชร์ประสบการณ์ในการลงทุนกันหน่อยครับผม

ประเด็นหลักคือตอนนี้ผมลงทุนด้วยวิธี DCA ใน Finnomena Port (A.Stotz All Weather strategy) ซึ่งชอบไอเดียของ Global asset allocation และการจำกัด Maximum drawdown แต่นั่นก็อาจทำให้ผลตอบแทนระยะยาวลดลงด้วย (ผมอายุ 26 ปี มีประสบการณ์ลงทุน 2 ปี รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงค่อนข้างสูง และเงินที่ใช้ลงทุนไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ชอบการลงทุนแบบนอนหลับสบาย ไม่เครียด) 

ผมค่อนข้าง conservative เนื่องจากขาดทุนจากการลงทุนมาหลายครั้ง และชอบมี overconfidence และ confirmation bias เลยเปลี่ยนมาเน้น DCA ในกองทุนรวม All weather strategy ซึ่งผลจาก Port ดังกล่าว เริ่มต้นตั้งแต่ เม.ย 2563 ก็ได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างพอใจ ประมาณ 14-15% (เม.ย 2563-ก.พ 2564) แต่ถ้าเทียบกับตลาดหุ้นโดยรวมก็อาจจะถือได้ว่าไม่มาก ผมเลยอยากหาการลงทุนที่น่าจะได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น ความเสี่ยงมากขึ้น แต่ยังยึดหลัก Asset allocation

ข้อดีของทาง Finnomena คือมีการ Rebalance portfolio ทุก 3 เดือน และ application ก็ใช้สะดวก มีการพัฒนาเสมอ user-friendly ค่อนข้างมาก และทุกการลงทุน GURU ของ port จะแชร์แนวคิดเบื้องหลังการตัดสินใจ ว่าทำไมถึง allocate asset ออกมาแบบนี้ ซึ่งค่อนข้างชอบ

แต่ก็รู้สึกมาถูกใจ Features ของ Jitta Wealth ซึ่งลงทุนโดยตรงใน Global ETF (ที่ช่วยลดต้นทุนค่าธรรมเนียม 0.5% + 0.2% +0.1% เทียบกับ finnomena ที่มี Expense ประมาณ 1% ไม่นับกองทุนแม่) และสนใจลงทุนแนว thematics โดยที่วางแผนไว้คือ
- เงินครึ่งหนึ่งลงทุน Global ETF แบบ high risk (หวังผล 8% ต่อปี) ซึ่ง 56% ลงทุน ETF สหรัฐ, 20% ตราสารหนี้สหรัฐ ที่เหลือเป็น emerging market + developed market และ
- เงินอีกครึ่งที่เหลือจะลงทุนใน thematics โดยแบ่งเป็น 5 themes: จีน อินเดีย เวียดนาม technology และ gaming (ความชอบส่วนตัว) เป็นสัดส่วนอย่างละ 20%

ซึ่งทาง Jitta Wealth จะใช้ AI คอยซื้อขายปรับสัดส่วน Portfolio ทุกๆ 1 ปี หรือเมื่อสัดส่วนใดสัดส่วนหนึ่งสูงเกินกว่า 5% และแนวทางในการเลือกซื้อ ETF คือ AUM (Asset under managment) สูงสุด, expense ratio ต่ำสุด, และราคาต่ำกว่า 100 USD

เพื่อนๆคิดว่าการลงทุน ETF ผ่าน Jitta Wealth น่าจะได้เปรียบกว่าการลงทุนใน Mutual Fund (ซึ่งลงผ่านกอง ETF อีกที เหมือนเจอค่าใช้จ่าย 2 ต่อ) หรือไม่ อีกทั้งเพิ่มสัดส่วนของ mega trend ในอนาคต อาจทำให้ผลตอบแทนสูงขึ้น (พร้อมความเสี่ยงมากขึ้น) แต่ ETF ของ Jitta จะไม่รวมโภคภัณฑ์ และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจทำให้เงินไม่ได้ถูก diversify ไปในทุก assets รวมถึงทองคำที่มี negative correlation กับหุ้น

เพื่อนๆมีความเห็นหรือประสบการณ์ในการลงทุนมาแชร์ให้ผมไหมครับ 
ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองคิดละเอียดพอหรือยัง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่