ทำอย่างไร เมื่อลูกร้องโคลิค
เพราะเด็กเล็กๆ 👶 ยังไม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูดได้ นอกจากการส่งเสียงร้อง ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงจำเป็นที่จะต้องฝึกแยกให้ออกว่า ลูกของเรากำลังร้องแบบไหน เช่น ร้องงอแงธรรมดา ร้องเพราะเจ็บป่วย ไม่สบายตัว หรือร้องเพราะหิว จะได้ไม่ต้องรู้สึกนอยด์ทุกครั้งเวลาที่ลูกร้อง พี่หมอเองก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกันเวลาที่ลูกร้องมากๆ เพราะยังไม่เข้าใจว่าลูกอยากได้อะไรจากเรา 😂😂
และหนึ่งในอาการที่เด็กเล็กๆ มักจะเป็นเหมือนกันก็คือ การร้องโคลิค ที่แม้แต่ในทางการแพทย์เองก็ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนถึงสาเหตุของอาการนี้ ซึ่งแม้ว่าอาการร้องโคลิคจะไม่เป็นอันตรายกับลูกน้อย และมักจะหายเองได้ เด็กบางคนอาจเป็นนานได้ถึงอายุ 5 เดือน แต่ถ้าเลี่ยงได้ คุณพ่อคุณแม่ก็คงจะไม่อยากให้ลูกมีอาการแบบนี้
แล้วร้องโคลิคกับร้องโยเยธรรมดาแตกต่างกันอย่างไร มีจุดไหนบ้างที่เป็นจุดสังเกต แล้วถ้าลูกของเราร้องโคลิคขึ้นมา คุณพ่อคุณแม่จะมีวิธีบรรเทาอาการอย่างไร พี่หมอไปรวบรวมข้อมูลทั้งหมดจากคุณหมอเด็กมาให้แล้วครับ
สังเกตอย่างไรว่าลูกร้องโคลิค
ปกติถ้าลูกร้องเพราะเจ็บป่วย คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตว่าลูกมักจะร้องทั้งวัน ไม่ได้เป็นแค่บางช่วงเวลา และอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ อาเจียน ท้องเสีย ไม่กินนม น้ำหนักไม่ขึ้น เป็นต้น
แต่ถ้าร้องโคลิค ลูกจะร้องแบบไม่มีสาเหตุ และปลอบให้หยุดยาก เพราะช่วงไม่ร้องเด็กก็จะไม่มีอาการอะไรเลย กินนมดี สบายตัว เล่นได้ แต่พอถึงช่วงที่ร้องก็จะร้องเสียงดัง เสียงสูง 🔊 ร้องไม่หยุดเป็นชั่วโมง หน้าท้องเกร็ง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดเป็นเวลา โดยที่พบกันบ่อยที่สุดก็คือช่วงเย็น หรือหัวค่ำ ซึ่งอาการร้องโคลิคสามารถพบได้ตั้งแต่แรกเกิด และพบบ่อยที่สุดในช่วง 4-6 สัปดาห์ โดยอาการมักจะเป็นไม่เกินอายุ 5 เดือน และหายเองได้ แต่ถ้าลูกร้องมาก ร่วมกับมีอาการต่างๆ นอกจากการร้อง เช่น อาเจียน ถ่ายเหลว หรือหายใจผิดปกติ พี่หมอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่รีบพามาพบคุณหมอดีกว่านะครับ 👩⚕️
สาเหตุของการร้องโคลิค
ผู้ใหญ่บางคนจะบอกว่าที่เด็กร้องแบบนี้เป็นเพราะนอนเวลาผีตากผ้าอ้อม 👻 (คือประมาณ 16.00 – 18.00 น.) ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่มีกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ แต่อาการร้องโคลิคแตกต่างจากการร้องธรรมดา และเป็นอาการที่แม้แต่ในทางการแพทย์เองก็ยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้อย่างแน่ชัดว่าที่มาจากอะไร เพราะมีหลายข้อสันนิษฐาน เช่น อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยของเด็ก โดยเฉพาะเวลาที่เล่นเยอะๆ หรือถูกกระตุ้นมากๆ หรืออาจจะอยู่ที่ตัวเด็กเองที่มีพื้นอารมณ์เป็นเด็กเลี้ยงยาก หรืออาจเกิดจากภาวะย่อยน้ำตาลแลคโตสบกพร่อง ทำให้มีแก๊สในท้องมาก ความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ลมเข้าเยอะเวลาดูดนม 🍼 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เด็กรู้สึกปวดท้อง แน่นท้อง จนต้องร้องออกมาเพราะไม่สบายตัว นอกจากนี้ ความเครียดและความวิตกกังวลของคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถส่งผลให้ลูกร้องโคลิคได้มากขึ้นเช่นกัน
การดูแลและรักษาอาการร้องโคลิค
มีบ่อยครั้งที่เด็กร้องมากและพ่อแม่คิดว่าปวดท้องจึงลดปริมาณนม ให้กินนมน้อยลง ลูกก็จะร้องมากขึ้นเพราะหิวนม แต่พอให้นมก็หยุดร้องได้ อันนี้ไม่ใช่ร้องโคลิค ส่วนใหญ่ร้องโคลิคแม้จะให้กินนมแต่ลูกก็มักจะไม่หยุดร้อง และบางครั้งการให้นมมากเกินไปก็ทำให้ร้องจากแน่นท้องได้ (สามารถอ่านบทความเรื่อง Over breastfeeding ได้จาก
link นี้ )
ดังนั้น วิธีที่พอจะช่วยบรรเทาอาการร้องโคลิคได้ก็คือ การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมหรือกิจกรรมให้ลูก เช่น พาลูกออกไปเดินหรือนั่งรถเล่น คอยลูบหลังหรือปลอบให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ หรือเปิดเพลงช้าๆ 🎵 ให้ฟังเพื่อให้ลูกสงบลง การอาบน้ำอุ่นหรือหาจุกหลอกให้ดูดก็ช่วยได้เช่นกัน หรืออาจจะเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าตัวเล็กด้วยการพาไปนั่งเก้าอี้โยกก็ได้ (แต่อย่าโยกแรงเกินไปนะครับ เดี๋ยวจะยิ่งตกใจไปกันใหญ่) พี่หมอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ลองทำไปทีละอย่าง แล้วดูว่าวิธีไหนที่ใช้ได้ผลกับลูกของตัวเองมากที่สุด เพราะเด็กแต่ละคนก็มีวิธีรับมือที่ไม่เหมือนกัน
ที่สำคัญ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรใช้อารมณ์และห้ามเขย่าตัวให้เด็กหยุดร้องเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้เด็กมีเลือดออกในสมองได้ แต่ถ้ารู้สึกรับมือไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็อาจจะแยกตัวเองออกมา และให้คุณปู่คุณย่า 👴👵 หรือคนใกล้ชิดช่วยดูแลไปก่อนจะดีกว่านะครับ
ส่วนการรักษาอาการร้องโคลิค พบว่าการใช้ยายังไม่ได้ช่วยอะไรมาก ยกเว้นว่าเด็กร้องเพราะท้องอืด หรือมีลมในท้องเยอะ ในกรณีนี้การให้ลูกกินยาขับลมก็จะช่วยบรรเทาอาการได้ เพราะหลังลูกกินนมจะมีท้องอืดได้ แต่ก่อนกินนมท้องควรที่จะแฟบถึงจะเรียกได้ว่าปกติ แต่ถ้าเด็กท้องอืดมากทั้งก่อนและหลังกินนมอาจไม่ใช่เรื่องปกติ คุณพ่อคุณแม่จึงควรสังเกตว่า ท่าให้นมและการดูดนมของลูกถูกต้องหรือไม่ เพราะถ้าให้นมผิดท่าหรือใช้จุกนมที่เสื่อมสภาพ ก็อาจจะทำให้ลมเข้าท้องเด็กเยอะเกินไป และถ้าอาการท้องอืดยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้คุณแม่รีบพาน้องมาพบคุณหมอเพื่อรับการตรวจและรักษาให้ถูกต้องนะครับ
ในปัจจุบัน การร้องโคลิคยังไม่มีวิธีป้องกัน เพราะคุณพ่อคุณแม่บางคนอาจจะเคยได้ยินมาว่า การเลือกหมอนช่วยป้องกันอาการร้องโคลิคได้ เท่าที่พี่หมอไปสอบถามมา คุณหมอบอกว่าถ้าเปลี่ยนแล้วช่วยให้ลูกนอนสบายขึ้นก็สามารถทำได้ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าสามารถช่วยป้องกันอาการร้องโคลิคได้ เช่นเดียวกับการใช้มหาหิงคุ์ทาที่ท้องเด็ก เพราะการทามหาหิงคุ์จะช่วยให้เด็กรู้สึกเย็นที่ท้องและเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของเด็ก แต่ก็ต้องระวังด้วยเช่นกัน เพราะเด็กบางคนก็อาจจะแพ้มหาหิงคุ์ได้
เด็กจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่และคนใกล้ชิดนี่แหละครับ ดังนั้น ถ้าอยากให้ลูกของเราเป็นเด็กอารมณ์ดี เลี้ยงง่าย คุณพ่อคุณแม่ก็ควรจะทำใจให้สบายๆ 😃 ไม่หมกหมุ่นกับการเลี้ยงลูกมากจนเกินไป และควรหมั่นสร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศของความสนุกสนานให้เกิดขึ้นภายในครอบครัว เพราะถ้าเรารู้สึกหงุดหงิดหรือเครียดเวลาที่อยู่กับลูก เด็กก็จะซึมซับพลังงานลบๆ เหล่านั้น และจะทำให้ลูกของเรากลายเป็นเด็กงอแง เลี้ยงยากขึ้นมาได้
พี่หมอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนนะครับ✌️✌️✌️
ทำอย่างไร เมื่อลูกร้องโคลิค
เพราะเด็กเล็กๆ 👶 ยังไม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูดได้ นอกจากการส่งเสียงร้อง ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงจำเป็นที่จะต้องฝึกแยกให้ออกว่า ลูกของเรากำลังร้องแบบไหน เช่น ร้องงอแงธรรมดา ร้องเพราะเจ็บป่วย ไม่สบายตัว หรือร้องเพราะหิว จะได้ไม่ต้องรู้สึกนอยด์ทุกครั้งเวลาที่ลูกร้อง พี่หมอเองก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกันเวลาที่ลูกร้องมากๆ เพราะยังไม่เข้าใจว่าลูกอยากได้อะไรจากเรา 😂😂
และหนึ่งในอาการที่เด็กเล็กๆ มักจะเป็นเหมือนกันก็คือ การร้องโคลิค ที่แม้แต่ในทางการแพทย์เองก็ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนถึงสาเหตุของอาการนี้ ซึ่งแม้ว่าอาการร้องโคลิคจะไม่เป็นอันตรายกับลูกน้อย และมักจะหายเองได้ เด็กบางคนอาจเป็นนานได้ถึงอายุ 5 เดือน แต่ถ้าเลี่ยงได้ คุณพ่อคุณแม่ก็คงจะไม่อยากให้ลูกมีอาการแบบนี้
แล้วร้องโคลิคกับร้องโยเยธรรมดาแตกต่างกันอย่างไร มีจุดไหนบ้างที่เป็นจุดสังเกต แล้วถ้าลูกของเราร้องโคลิคขึ้นมา คุณพ่อคุณแม่จะมีวิธีบรรเทาอาการอย่างไร พี่หมอไปรวบรวมข้อมูลทั้งหมดจากคุณหมอเด็กมาให้แล้วครับ
สังเกตอย่างไรว่าลูกร้องโคลิค
ปกติถ้าลูกร้องเพราะเจ็บป่วย คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตว่าลูกมักจะร้องทั้งวัน ไม่ได้เป็นแค่บางช่วงเวลา และอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ อาเจียน ท้องเสีย ไม่กินนม น้ำหนักไม่ขึ้น เป็นต้น
แต่ถ้าร้องโคลิค ลูกจะร้องแบบไม่มีสาเหตุ และปลอบให้หยุดยาก เพราะช่วงไม่ร้องเด็กก็จะไม่มีอาการอะไรเลย กินนมดี สบายตัว เล่นได้ แต่พอถึงช่วงที่ร้องก็จะร้องเสียงดัง เสียงสูง 🔊 ร้องไม่หยุดเป็นชั่วโมง หน้าท้องเกร็ง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดเป็นเวลา โดยที่พบกันบ่อยที่สุดก็คือช่วงเย็น หรือหัวค่ำ ซึ่งอาการร้องโคลิคสามารถพบได้ตั้งแต่แรกเกิด และพบบ่อยที่สุดในช่วง 4-6 สัปดาห์ โดยอาการมักจะเป็นไม่เกินอายุ 5 เดือน และหายเองได้ แต่ถ้าลูกร้องมาก ร่วมกับมีอาการต่างๆ นอกจากการร้อง เช่น อาเจียน ถ่ายเหลว หรือหายใจผิดปกติ พี่หมอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่รีบพามาพบคุณหมอดีกว่านะครับ 👩⚕️
สาเหตุของการร้องโคลิค
ผู้ใหญ่บางคนจะบอกว่าที่เด็กร้องแบบนี้เป็นเพราะนอนเวลาผีตากผ้าอ้อม 👻 (คือประมาณ 16.00 – 18.00 น.) ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่มีกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ แต่อาการร้องโคลิคแตกต่างจากการร้องธรรมดา และเป็นอาการที่แม้แต่ในทางการแพทย์เองก็ยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้อย่างแน่ชัดว่าที่มาจากอะไร เพราะมีหลายข้อสันนิษฐาน เช่น อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยของเด็ก โดยเฉพาะเวลาที่เล่นเยอะๆ หรือถูกกระตุ้นมากๆ หรืออาจจะอยู่ที่ตัวเด็กเองที่มีพื้นอารมณ์เป็นเด็กเลี้ยงยาก หรืออาจเกิดจากภาวะย่อยน้ำตาลแลคโตสบกพร่อง ทำให้มีแก๊สในท้องมาก ความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ลมเข้าเยอะเวลาดูดนม 🍼 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เด็กรู้สึกปวดท้อง แน่นท้อง จนต้องร้องออกมาเพราะไม่สบายตัว นอกจากนี้ ความเครียดและความวิตกกังวลของคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถส่งผลให้ลูกร้องโคลิคได้มากขึ้นเช่นกัน
มีบ่อยครั้งที่เด็กร้องมากและพ่อแม่คิดว่าปวดท้องจึงลดปริมาณนม ให้กินนมน้อยลง ลูกก็จะร้องมากขึ้นเพราะหิวนม แต่พอให้นมก็หยุดร้องได้ อันนี้ไม่ใช่ร้องโคลิค ส่วนใหญ่ร้องโคลิคแม้จะให้กินนมแต่ลูกก็มักจะไม่หยุดร้อง และบางครั้งการให้นมมากเกินไปก็ทำให้ร้องจากแน่นท้องได้ (สามารถอ่านบทความเรื่อง Over breastfeeding ได้จาก link นี้ )
ดังนั้น วิธีที่พอจะช่วยบรรเทาอาการร้องโคลิคได้ก็คือ การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมหรือกิจกรรมให้ลูก เช่น พาลูกออกไปเดินหรือนั่งรถเล่น คอยลูบหลังหรือปลอบให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ หรือเปิดเพลงช้าๆ 🎵 ให้ฟังเพื่อให้ลูกสงบลง การอาบน้ำอุ่นหรือหาจุกหลอกให้ดูดก็ช่วยได้เช่นกัน หรืออาจจะเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าตัวเล็กด้วยการพาไปนั่งเก้าอี้โยกก็ได้ (แต่อย่าโยกแรงเกินไปนะครับ เดี๋ยวจะยิ่งตกใจไปกันใหญ่) พี่หมอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ลองทำไปทีละอย่าง แล้วดูว่าวิธีไหนที่ใช้ได้ผลกับลูกของตัวเองมากที่สุด เพราะเด็กแต่ละคนก็มีวิธีรับมือที่ไม่เหมือนกัน
ที่สำคัญ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรใช้อารมณ์และห้ามเขย่าตัวให้เด็กหยุดร้องเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้เด็กมีเลือดออกในสมองได้ แต่ถ้ารู้สึกรับมือไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็อาจจะแยกตัวเองออกมา และให้คุณปู่คุณย่า 👴👵 หรือคนใกล้ชิดช่วยดูแลไปก่อนจะดีกว่านะครับ
ส่วนการรักษาอาการร้องโคลิค พบว่าการใช้ยายังไม่ได้ช่วยอะไรมาก ยกเว้นว่าเด็กร้องเพราะท้องอืด หรือมีลมในท้องเยอะ ในกรณีนี้การให้ลูกกินยาขับลมก็จะช่วยบรรเทาอาการได้ เพราะหลังลูกกินนมจะมีท้องอืดได้ แต่ก่อนกินนมท้องควรที่จะแฟบถึงจะเรียกได้ว่าปกติ แต่ถ้าเด็กท้องอืดมากทั้งก่อนและหลังกินนมอาจไม่ใช่เรื่องปกติ คุณพ่อคุณแม่จึงควรสังเกตว่า ท่าให้นมและการดูดนมของลูกถูกต้องหรือไม่ เพราะถ้าให้นมผิดท่าหรือใช้จุกนมที่เสื่อมสภาพ ก็อาจจะทำให้ลมเข้าท้องเด็กเยอะเกินไป และถ้าอาการท้องอืดยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้คุณแม่รีบพาน้องมาพบคุณหมอเพื่อรับการตรวจและรักษาให้ถูกต้องนะครับ
ในปัจจุบัน การร้องโคลิคยังไม่มีวิธีป้องกัน เพราะคุณพ่อคุณแม่บางคนอาจจะเคยได้ยินมาว่า การเลือกหมอนช่วยป้องกันอาการร้องโคลิคได้ เท่าที่พี่หมอไปสอบถามมา คุณหมอบอกว่าถ้าเปลี่ยนแล้วช่วยให้ลูกนอนสบายขึ้นก็สามารถทำได้ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าสามารถช่วยป้องกันอาการร้องโคลิคได้ เช่นเดียวกับการใช้มหาหิงคุ์ทาที่ท้องเด็ก เพราะการทามหาหิงคุ์จะช่วยให้เด็กรู้สึกเย็นที่ท้องและเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของเด็ก แต่ก็ต้องระวังด้วยเช่นกัน เพราะเด็กบางคนก็อาจจะแพ้มหาหิงคุ์ได้
เด็กจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่และคนใกล้ชิดนี่แหละครับ ดังนั้น ถ้าอยากให้ลูกของเราเป็นเด็กอารมณ์ดี เลี้ยงง่าย คุณพ่อคุณแม่ก็ควรจะทำใจให้สบายๆ 😃 ไม่หมกหมุ่นกับการเลี้ยงลูกมากจนเกินไป และควรหมั่นสร้างเสียงหัวเราะและบรรยากาศของความสนุกสนานให้เกิดขึ้นภายในครอบครัว เพราะถ้าเรารู้สึกหงุดหงิดหรือเครียดเวลาที่อยู่กับลูก เด็กก็จะซึมซับพลังงานลบๆ เหล่านั้น และจะทำให้ลูกของเรากลายเป็นเด็กงอแง เลี้ยงยากขึ้นมาได้
พี่หมอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนนะครับ✌️✌️✌️