หมวกเหล็กที่พบที่สุสานเรือ Sutton Hoo ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการค้นพบทางโบราณคดีที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสหราชอาณาจักร
(ภาพ: © Universal History Archive / Universal Images Group ผ่าน Getty Images)
การฝังศพในเรือในยุคกลางของอังกฤษ เมื่อเทียบกับโลกมหากาพย์ "Beowulf" ที่เกี่ยวกับวีรบุรุษยุคอังกฤษโบราณแล้ว ก็เป็นสิ่งที่น่าประทับใจและลึกลับเช่นกัน รวมทั้งภาพยนตร์ปี 2021 ที่กำลังดึงดูดผู้ชมละครของ Netflix ในเรื่อง "The Dig" ที่เกี่ยวกับการขุดค้นที่ Sutton Hoo แต่ในความจริง สถานที่เก่าแก่กว่า 1,400 ปีแห่งนี้มีร่างหนึ่งถูกฝังไว้ ซึ่งนักโบราณคดีกำลังพยายามหาหลักฐานว่าเป็นใคร
ในที่ฝังศพมีสิ่งของมากมาย รวมทั้งหมวกเหล็กที่ตกแต่งอย่างวิจิตร ซึ่งบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ที่เป็นไปได้ของสิ่งที่เหลืออยู่ ซึ่งนักโบราณคดีได้ทำการศึกษาสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้มา ตั้งแต่ค้นพบสุสานในปี1939 โดย Basil Brown นักโบราณคดีและผู้นำทีม
โดยนักโบราณคดีหลายคนระบุว่า ความลับของ Sutton Hooและผู้ที่อาจถูกฝังอยู่ที่นั่น ที่เป็นไปได้มากที่สุดน่าจะเป็น กษัตริย์ Raedwald ผู้ปกครองอาณาจักรใน East Anglia และเสียชีวิตในราว ค.ศ. 627 แต่นั่นเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ซึ่งบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่สืบเนื่องมาจนถึงช่วงเวลานั้นมีจำกัดอย่างมาก และศพของผู้ที่ถูกฝังอยู่ก็สลายตัวไปหมดแล้วโดยไม่เหลือซากใดๆให้วิเคราะห์
และแม้จะมีสุสานหลายแห่งในบริเวณนี้ที่ถูกปล้นอย่างหนัก แต่สุสานหนึ่งที่พวกโจรไม่ได้แตะต้องเลยคือ สุสานที่รู้จักกันในชื่อ "great ship burial"
ซึ่งมีซากเรือยาว 88.6 ฟุต (27 เมตร) ที่มีห้องฝังศพที่เต็มไปด้วยโบราณวัตถุ 263 ชิ้น และภาพยนตร์เรื่อง "The Dig" ที่กล่าวถึงข้างต้น ก็สร้างจากที่ Sutton Hoo จริงๆ เนื่องจากที่นี่ถือเป็นหนึ่งการค้นพบทางโบราณคดีที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหราชอาณาจักร ที่มีตัวละครจริงๆอยู่แล้ว
The Sutton Hoo
บนเนินเขาเล็ก ๆ เหนือแม่น้ำ Deben ในซัฟฟอล์ก เป็นทุ่งที่ดูแปลกตาปกคลุมไปด้วยเนินหญ้าที่มีขนาดแตกต่างกัน
ซึ่งเป็นเวลาหลายร้อยปี สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้พวกมันเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่งดงามที่สุดครั้งหนึ่ง
การขุดค้น Mound 1 ที่ Sutton Hoo
ล่าสุดได้ค้นพบแง่มุมที่น่าแปลกใจของการใช้สุสาน (Cr.ภาพ: Sutton Hoo Archive)
ชื่อ Sutton Hoo มาจากภาษาอังกฤษโบราณ (ซัตตัน = South farmstead และ Hoo = คนที่อาศัยอยู่บนเนินเขา) ตั้งอยู่ใกล้หมู่บ้าน Woodbridge บนแม่น้ำ Deben ในเขต Suffolk โดยเนินดินทั้งหมดถูกรบกวนมาตลอดหลายศตวรรษ และสมบัติส่วนใหญ่ที่อยู่ข้างใต้ได้ถูกขโมยไป
สำหรับโบราณวัตถุที่ค้นพบ เป็นสิ่งประดิษฐ์หลายอย่างตั้งแต่ หัวเข็มขัดสีทองที่สลับซับซ้อน ซึ่งแสดงให้เห็นการผสมผสานของงู สัตว์ร้าย และนกล่าเหยื่อ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องเงินและเหรียญจากจักรวรรดิ Byzantine รวมถึง ดาบที่มีด้ามจับที่ทำจากอัญมณี และเครื่องประดับทองที่มีแร่โกเมนจากศรีลังกา ซึ่งในบรรดาการค้นพบจำนวนมากนี้คือ หมวกโลหะผสมเหล็กและทองแดงที่โดดเด่นของนักรบซึ่งตอนนี้ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษ
และการที่นักโบราณคดีคิดว่าผู้ที่ถูกฝังอยู่เป็น King Raedwald เนื่องจากวันที่ของเหรียญและสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ เข้ากันได้ดีกับช่วงเวลาแห่งการครองราชย์ของเขาในช่วงต้นทศวรรษที่ 600 รวมทั้งการฝังศพที่โดดเด่นแบบนี้น่าจะเป็นอนุสรณ์ของบุคคลสำคัญของ East Anglia ซึ่งเป็นอาณาจักร Anglo-Saxon ที่อยู่ในชนบทของซัฟฟอล์ก
นอกจากนั้น ในช่วงที่ King Raedwald ปกครองอาณาจักรใน East Anglia เขายังเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจมากที่สุดในช่วงเวลาของเขา และการฝังศพของเรือ Sutton Hoo ดูเหมือนจะเป็นการฝังศพที่ร่ำรวยด้วยเครื่องประดับหรูหราที่ทำจากทองคำและอัญมณี ที่ถูกจัดให้อย่างสมเกียรติสำหรับผู้ปกครองคนนี้
ในภาพวาดที่สร้างขึ้นใหม่นี้แสดงการฝังศพของเรือ Sutton Hoo
ที่มีโบราณวัตถุ Anglo-Saxon มากมาย และร่างของผู้ที่น่าจะเป็นกษัตริย์จากEast Anglia
(Cr.ภาพ: English Heritage / Heritage Images / Getty Images)
ส่วนหนึ่งในคอลเลกชันของวัตถุ 263 ชิ้น รวมถึงอาวุธมีด เงิน หัวเข็มขัดทอง เหรียญ และหมวกเหล็กแบบเต็มใบที่ไม่เคยมีมาก่อนในสหราชอาณาจักร จากการตรวจสอบสิ่งประดิษฐ์ทั้งหมด สรุปได้ว่าไม่ใช่ของชาวไวกิ้งอย่างที่สันนิษฐานไว้แต่แรก แต่เป็นของชาว Anglo-Saxon
ซึ่งเดิมทีแล้วเชื่อกันว่า ชาวแองโกล-แซกซอนที่ปรากฏในหลายอาณาจักรในอังกฤษตลอดช่วงเวลานั้น เป็นพวกกลุ่มชนที่ล้าหลัง แต่การค้นพบวัตถุอันสวยงามเหล่านี้ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงสังคมที่ให้คุณค่ากับงานฝีมือและศิลปะ ทั้งเครื่องดนตรีที่พบบ่งบอกถึงทักษะด้านดนตรี ไปจนถึงเรื่องการติดต่อแลกเปลี่ยนกับชนกลุ่มอื่นในยุโรป เห็นได้จากหลักฐานการพบโล่แบบสแกนดิเนเวียน
และเมื่อเร็ว ๆ นี้นักโบราณคดีที่ Sutton Hoo ได้ใช้ lidar ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้เลเซอร์ในการทำแผนที่ภูมิประเทศ พร้อมกับเรดาร์เจาะพื้นดิน เพื่อตรวจสอบรายละเอียดอีดครั้งว่าสุสานนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างไร แม้นักวิจัยหลายคนบอกว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่จะรู้แน่ชัด แต่ Sutton Hoo ก็ยังน่าศึกษาตลอดกาล
ภายหลังการขุดค้น พื้นที่ Sutton Hoo อยู่ภายใต้การดูแลขององค์การอนุรักษ์แห่งชาติ (National Trust) ที่ปัจจุบันมี Nick Collinson เป็นผู้จัดการองค์การ เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว BBC เมื่อปลายเดือนมกราคม 2021 ว่า ในช่วงเวลาปกติ Sutton Hoo จะดึงดูดผู้เข้าเยี่ยมชมปีละ 1 แสนราย
ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา Sutton Hoo ใช้งบประมาณไปแล้ว 4 ล้านปอนด์ เพื่อปรับปรุงโดยหวังช่วยให้ผู้เข้าชมได้รับประสบการณ์เยี่ยมชมที่ดีกว่าเดิม และหนึ่งในนั้นคือโครงการสร้างหอคอยชมวิวเพื่อชมจุดกลบฝังจากมุมสูง
เมื่อมาถึงช่วงล็อกดาวน์สืบเนื่องจากมาตรการรับมือไวรัสโควิด-19 ระบาด พื้นที่จะเปิดให้ผู้เดินชมภายในท้องถิ่นเท่านั้น ซึ่ง Collinson หวังว่า ภาพยนตร์เรื่องThe Dig นี้จะช่วยกระตุ้นกระแสให้ผู้คนสนใจพื้นที่ เพิ่มผู้เข้าชมเป็น 1.4 แสนรายต่อปี
เรือจำลองซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสถานที่พำนักสุดท้ายของกษัตริย์ Raedwald แห่ง East Anglia ในศตวรรษที่ 7
ที่ถูกค้นพบในปี 1939 ใกล้ Woodbridge, Suffolk
The Dig 2021 : ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของการขุดค้น Sutton Hoo ที่น่าทึ่ง
ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์แบบจำนวนคนดูจำกัดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2021 และ Netflix ปล่อยภาพยนตร์เรื่องนี้ให้สตรีมเมื่อวันที่ 29 มกราคม2021 ที่นำแสดงโดย Ralph Fiennes, Carey Mulligan และ Lily James
โดยภาพยนตร์สร้างจากหนังสือThe Dig (2008) ซึ่งเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ของ John Preston ที่เนื้อหาในภาพยนตร์เล่าเหตุการณ์บนที่ดินผืนหนึ่งในมณฑล Sutton Hoo ประเทศอังกฤษ ในปี 1939 แม้จะมีรายละเอียดบางส่วนถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ แต่โครงเรื่องหลักใหญ่แล้วอ้างอิงจากเหตุการณ์จริง ซึ่งเป็นละครที่เกี่ยวกับผู้คนจริงๆ และเป็นเรื่องของผู้คนมากกว่าเรื่องของการขุดค้น
ซึ่งเป็นการค้นพบเรือ Anglo-Saxon ขนาดยาว พร้อมโบราณวัตถุมีค่าหลายชิ้น โดยในมุมมองของชาวอังกฤษ การค้นพบครั้งนี้เป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 20 ในประวัติศาสตร์ของชาติ และพลิกความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคต้นของอังกฤษไปโดยปริยาย
ทั้งนี้ ตัวละครที่ปรากฏในภาพยนตร์อย่างกลุ่มนักวิชาการชื่อ Charles Phillips) และ James Reid Moir ที่เพิ่มบริบททางวิชาการของงานขุดค้นในยุคนั้นล้วนมีตัวตนจริง
เรื่องจริงของการขุดค้นก่อนมาสู่ The Dig
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ใครถูกฝังอยู่ที่ " Sutton Hoo "
(ภาพ: © Universal History Archive / Universal Images Group ผ่าน Getty Images)
ในที่ฝังศพมีสิ่งของมากมาย รวมทั้งหมวกเหล็กที่ตกแต่งอย่างวิจิตร ซึ่งบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ที่เป็นไปได้ของสิ่งที่เหลืออยู่ ซึ่งนักโบราณคดีได้ทำการศึกษาสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้มา ตั้งแต่ค้นพบสุสานในปี1939 โดย Basil Brown นักโบราณคดีและผู้นำทีม
โดยนักโบราณคดีหลายคนระบุว่า ความลับของ Sutton Hooและผู้ที่อาจถูกฝังอยู่ที่นั่น ที่เป็นไปได้มากที่สุดน่าจะเป็น กษัตริย์ Raedwald ผู้ปกครองอาณาจักรใน East Anglia และเสียชีวิตในราว ค.ศ. 627 แต่นั่นเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ซึ่งบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่สืบเนื่องมาจนถึงช่วงเวลานั้นมีจำกัดอย่างมาก และศพของผู้ที่ถูกฝังอยู่ก็สลายตัวไปหมดแล้วโดยไม่เหลือซากใดๆให้วิเคราะห์
และแม้จะมีสุสานหลายแห่งในบริเวณนี้ที่ถูกปล้นอย่างหนัก แต่สุสานหนึ่งที่พวกโจรไม่ได้แตะต้องเลยคือ สุสานที่รู้จักกันในชื่อ "great ship burial"
ซึ่งมีซากเรือยาว 88.6 ฟุต (27 เมตร) ที่มีห้องฝังศพที่เต็มไปด้วยโบราณวัตถุ 263 ชิ้น และภาพยนตร์เรื่อง "The Dig" ที่กล่าวถึงข้างต้น ก็สร้างจากที่ Sutton Hoo จริงๆ เนื่องจากที่นี่ถือเป็นหนึ่งการค้นพบทางโบราณคดีที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหราชอาณาจักร ที่มีตัวละครจริงๆอยู่แล้ว
นอกจากนั้น ในช่วงที่ King Raedwald ปกครองอาณาจักรใน East Anglia เขายังเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจมากที่สุดในช่วงเวลาของเขา และการฝังศพของเรือ Sutton Hoo ดูเหมือนจะเป็นการฝังศพที่ร่ำรวยด้วยเครื่องประดับหรูหราที่ทำจากทองคำและอัญมณี ที่ถูกจัดให้อย่างสมเกียรติสำหรับผู้ปกครองคนนี้
และเมื่อเร็ว ๆ นี้นักโบราณคดีที่ Sutton Hoo ได้ใช้ lidar ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้เลเซอร์ในการทำแผนที่ภูมิประเทศ พร้อมกับเรดาร์เจาะพื้นดิน เพื่อตรวจสอบรายละเอียดอีดครั้งว่าสุสานนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างไร แม้นักวิจัยหลายคนบอกว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่จะรู้แน่ชัด แต่ Sutton Hoo ก็ยังน่าศึกษาตลอดกาล
ภายหลังการขุดค้น พื้นที่ Sutton Hoo อยู่ภายใต้การดูแลขององค์การอนุรักษ์แห่งชาติ (National Trust) ที่ปัจจุบันมี Nick Collinson เป็นผู้จัดการองค์การ เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว BBC เมื่อปลายเดือนมกราคม 2021 ว่า ในช่วงเวลาปกติ Sutton Hoo จะดึงดูดผู้เข้าเยี่ยมชมปีละ 1 แสนราย
ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา Sutton Hoo ใช้งบประมาณไปแล้ว 4 ล้านปอนด์ เพื่อปรับปรุงโดยหวังช่วยให้ผู้เข้าชมได้รับประสบการณ์เยี่ยมชมที่ดีกว่าเดิม และหนึ่งในนั้นคือโครงการสร้างหอคอยชมวิวเพื่อชมจุดกลบฝังจากมุมสูง
เมื่อมาถึงช่วงล็อกดาวน์สืบเนื่องจากมาตรการรับมือไวรัสโควิด-19 ระบาด พื้นที่จะเปิดให้ผู้เดินชมภายในท้องถิ่นเท่านั้น ซึ่ง Collinson หวังว่า ภาพยนตร์เรื่องThe Dig นี้จะช่วยกระตุ้นกระแสให้ผู้คนสนใจพื้นที่ เพิ่มผู้เข้าชมเป็น 1.4 แสนรายต่อปี