น้ำมันยักษ์ใหญ่เริ่มหนีตาย .. ปี 63 หุ้นน้ำมันแย่สุดใน S&P500 "น้ำมัน" ไม่ใช่ธุรกิจที่น่าฝากอนาคตไว้อีกแล้ว



 น้ำมันยักษ์ใหญ่เริ่มหนีตาย ..
"ยุคพลังงานสะอาด" อาจมาถึงเร็วกว่าที่คิด
.
ปี 63 หุ้นน้ำมันเป็นกลุ่มที่ทำผลประกอบการได้แย่ที่สุดในดัชนี S&P500
Exxon Mobile ขาดทุนติดต่อกัน 4 ไตรมาสเป็นครั้งแรก
กองทุน PIF ของรัฐบาลซาอุฯ กำลังไล่ซื้อหุ้น Facebook และหุ้นตัวอื่นๆในอเมริกา
.
เรื่องพวกนี้กำลังบอกอะไรกับเรา ?
.
.
คำตอบก็คือ "น้ำมัน" ไม่ใช่ธุรกิจที่น่าฝากอนาคตไว้อีกแล้ว ... ล่าสุดผลประกอบการปี 2563 ของบริษัทน้ำมันระดับโลกที่เริ่มทยอยประกาศออกมา ยิ่งตอกย้ำสถานการณ์ขาลงของธุรกิจน้ำมันอย่างชัดเจน
.
ตลาดหุ้นที่มีบริษัทน้ำมันรวมตัวกันอยู่มากอย่าง S&P500 ธุรกิจพลังงานก็เป็นกลุ่มที่ทำผลประกอบการได้แย่ที่สุดในปีที่ผ่านมาอีกด้วย
.
อย่างเช่น ExxonMobil ที่รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/63 เมื่อคืนที่ผ่านมา ขาดทุนไปถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์(ราวๆ 6 แสนล้านบาท) จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 5.69 พันล้านดอลลาร์ และไตรมาสก่อนหน้าที่ขาดทุน 680 ล้านดอลลาร์
.
ซึ่งในปี 63 ถือเป็นครั้งแรกที่ ExxonMobil ขาดทุนติดต่อกันถึง 4 ไตรมาส ทำให้ผลงานทั้งปีขาดทุนไปถึง 2.24 หมื่นล้านดอลลาร์หรือเฉียด 7 แสนล้านบาทเลยทีเดียว (ปตท.มีกำไรสุทธิปีละราวๆ 1 แสนล้านบาท)
.
แม้ปัจจัยหลักที่กดดันอุตสาหกรรมน้ำมันในปีก่อนจะมาจากโควิด-19 แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างจริงๆแล้วก็คือ "อุตสาหกรรมน้ำมัน" กำลังเป็นขาลง
.
ซึ่งผลประกอบการที่ย่ำแย่ และการสนับสนุนด้านพลังงานสะอาดของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ก็ยิ่งทำให้ยักษ์ใหญ่ในวงการน้ำมัน ต้องเร่งเข้ามาลงทุนพลังงานสะอาดให้เร็วยิ่งขึ้น
.
ที่ผ่านมา ExxonMobil ยังคงยืนกรานว่าจะทุ่มงบลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซต่อไป เพราะมองว่าความต้องการใช้น้ำมันจะยังสูงไปอีกนาน แต่เมื่อถูกกดดันอย่างหนักจากผู้ถือหุ้น และรวมกับผลประกอบการไตรมาสล่าสุด
.
ก็ทำให้ท่าทีของบริษัทเปลี่ยนไปทันที โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ExxonMobil ได้ประกาศว่าจะตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาเพื่อดูแล "ธุรกิจเทคโนโลยีลดการปล่อยคาร์บอน" โดยเฉพาะ เพราะมองว่าธุรกิจนี้น่าจะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสะอาด
.
ซึ่งเทคโนโลยีนี้คือการดักจับคาร์บอนในอากาศที่ปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรมและส่งลงไปในดิน โดยวางแผนว่าจะใช้งบลงทุนราว 3 พันล้านดอลลาร์ไปจนถึงปี 2025
.
ส่วน BP บริษัทน้ำมันอังกฤษที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ที่รายงานผลประกอบการปี 63 ออกมาขาดทุนไปถึง 5.7 พันล้านดอลลาร์(1.76 แสนล้านบาท) ก็เริ่มออกมาคาดการณ์ว่าความต้องการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงไม่น่าจะกลับมาฟื้นตัวได้เต็มที่เหมือนแต่ก่อนแล้ว
.
และสถานการณ์โควิด-19 จะยิ่งเร่งให้เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ(lower-carbon economy) เกิดขึ้นเร็วกว่าเดิมมากๆ ด้วย โดยที่ BP เองก็มีแผนจะลดการพึ่งพาน้ำมันและก๊าซลง ด้วยการเพิ่มงบลงทุนในพลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์
.
ส่วนคู่แข่งรายใหญ่อีก 2 รายอย่าง Total และ Shell ก็เริ่มออกมาประกาศแผนที่จะจัดตั้งธุรกิจพลังงานสะอาดขึ้นมาอย่างจริงจังเช่นกัน
.
"ความต้องการน้ำมันที่หดตัวรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จะตัวเร่งให้บริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของโลกก้าวเข้าสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดในอัตราเร็วขึ้น" Christyan Malek นักวิเคราะห์จาก JPMorgan
.
และการที่น้ำมันถึง 50% ของโลกถูกใช้ไปกับยานพาหนะด้วยแล้ว การเปลี่ยนแปลงสู่ยุคพลังงานสะอาดที่เร็วขึ้น นั่นหมายความว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะเข้ามาแทนที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเร็วกว่าที่คิดเช่นกัน
.
ทุกวันนี้ธุรกิจน้ำมันยังคงเป็นธุรกิจหลักในการผลักดันเศรษฐกิจไทย บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในไทย ก็ยังเป็นหุ้นในกลุ่มน้ำมันอย่างบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) อีกด้วย
.
แต่การลงทุนใน "อุตสาหกรรมน้ำมัน" ขณะนี้ อาจต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น เพราะนี่ไม่ใช่สวรรค์ของการลงทุนอย่างที่เคยรู้จักเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมาอีกแล้ว
.
และแม้นักลงทุนที่จองซื้อหุ้นไอพีโออย่าง "ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก OR" จะมองการเติบโตไว้ที่ธุรกิจ Non-Oil เป็นหลัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน OR เป็นธุรกิจที่มีกำไรมาจากน้ำมันมากถึง 68% ขณะที่ค้าปลีกอยู่ที่เพียง 25%
.
แม้บริษัทจะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกอยู่แล้ว แต่การขยับของยักษ์ใหญ่รายนี้ก็อาจจะต้องใช้เวลา แต่จะใช้เวลาแค่ไหน และผู้เล่นรายใหม่อีกมากจะเกิดขึ้นในช่วงนั้นหรือเปล่า ก็ต้องมาติดตามกันต่อ
<<══════════════════════════════════════>>
อีไฟแนนซ์ไทย สำนักข่าวหุ้น-การเงิน-การลงทุน อันดับหนึ่งของไทย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่