แผนที่ของดาวอังคารที่วาดโดยนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี Giovani Schiaparelli ในช่วงทศวรรษที่ 1880
ที่แสดงเส้นทางน้ำบนพื้นผิวดาวเคราะห์ โดย Schiaparelli เป็นคนแรกที่เสนอทฤษฎี " canal theory "
Cr.หนังสือ “ A Popular Handbook and Atlas of Astronomy” โดย William Peck, 1891
Percival Lowell นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันผู้มีชื่อจารึกอยู่ในหอสังเกตการณ์ในรัฐแอริโซนา ได้ทำการสังเกตการณ์ดาวเคราะห์ที่สำคัญมากไว้หลายครั้ง
โดยผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการตามล่า Planet X ทีอยู่นอกเหนือจากวงโคจรของดาวเนปจูน
ซึ่งแม้ว่าการค้นหาของเขาจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ต่อมาก็มีการค้นพบดาวพลูโตใกล้กับสถานที่ที่ Lowell กำลังสังเกตการณ์อยู่ (ซึ่งชื่อและสัญลักษณ์ของดาวพลูโตส่วนหนึ่งมาจากชื่อย่อของ Percival Lowell, PL) โดยใช้หอดูดาว Lowell Observatory ที่เขาก่อตั้งขึ้นเพื่อใช้ศึกษาดาวอังคารในเวลาต่อมา
และสิ่งที่ได้เห็นจากการสังเกตและข้อสรุปที่ได้ ทำให้ Lowell หลงใหลใน Mars ดาวเคราะห์สีแดงนี้ โดยเขาเชื่อมั่นว่าจะต้องมีสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดอยู่บนมัน เพราะเมื่อมองผ่านกล้องโทรทรรศน์ เขาสามารถมองเห็นเส้นทางคดเคี้ยวของคลองที่คล้ายกับโครงสร้างบนพื้นผิวของโลก
โดย Lowell ได้ตั้งทฤษฎีขึ้นว่า อารยธรรมขั้นสูงของชนพื้นเมืองบนดาวอังคารได้สร้างคลองเพื่อนำน้ำจากหมวกน้ำแข็งขั้วโลก ไปยังบริเวณเส้นศูนย์สูตรในช่วงสุดท้ายที่พยายามจะอยู่รอดในดาวเคราะห์ที่แห้งแล้งนี้ โดยก่อนหน้า Lowell ก็มีนักดาราศาสตร์จากอิตาลี Giovanni Schiaparelli ที่ได้สังเกตเห็นสิ่งที่เป็นคลองหรือโครงสร้างอื่น ๆ บนดาวอังคารเช่นกัน
ในวิสัยทัศน์ของ Lowell ที่เกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตรอดบนดาวอังคารของอารยธรรมขั้นสูงนี้ ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับสาธารณชนและมีอิทธิพลต่อ
ความชอบของ H.G. Wells (นักเขียนนวนิยายแนววิทยาศาสตร์)อย่างมาก และเพื่อที่จะคาดเดาว่า ชีวิตของชาวอังคารจะแตกต่างจากมนุษย์บนโลกเพียงใด และความก้าวหน้าทางวิวัฒนาการของพวกมันที่เปรียบเทียบกับเราแล้วเป็นอย่างไร
Percival Lowell ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
เขาก่อตั้งหอดูดาว Lowell Observatory ใน Flagstaff รัฐแอริโซนา
และเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามที่นำไปสู่การค้นพบดาวพลูโต 14 ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิต
Wells จึงสร้างทฤษฎีขึ้นว่า ในดาวเคราะห์ที่เป็นศัตรูกับดาวอังคาร สิ่งมีชีวิตจะไม่มีมือและไม่มีระบบย่อยอาหาร แต่มีหนวดที่ใช้ดูดสิ่งมีชีวิตอื่น
เพื่อความอยู่รอด ซึ่งมันอาจฟังดูตลก แต่ความคิดเหล่านี้กลายเป็นหนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของ H.G. Wells ในปี 1897 นั่นคือหนังสือนวนิยายวิทยาศาสตร์ " The War of the Worlds "
วิสัยทัศน์ของดาวอังคารที่ได้จากทฤษฎีของ Lowell นี้ ยังคงมีอิทธิพลต่อนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ต่อไปจนถึงกลางศตวรรษที่ 20 โดยลักษณะเด่นชัดของ Martian canals ปรากฏอยู่ในงานเขียน " Red Planet " โดย Robert A. Heinlein (1949) และ " The Martian Chronicles " โดย Ray Bradbury (1950) แม้ในปัจจุบัน ก็ยังคงปรากฏอยู่ในผลงานของนักเขียนหลายคน และยังคงอ่านกันอย่างแพร่หลายในฐานะนิยายวิทยาศาสตร์คลาสสิก
แต่ในที่สุด ความคิดเกี่ยวกับคลองและชีวิตที่ชาญฉลาดบนดาวอังคารก็หยุดลงในปี 1972 เมื่อยานอวกาศ Mariner 9 ของนาซ่า ส่งภาพพื้นผิวดาวอังคารในระยะใกล้มายังโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีโครงสร้างใดๆบนดาวเคราะห์สีแดงนั้น ส่วนความคิดอื่น ๆ ของเขายังต้องใช้เวลานานกว่าจะเปลี่ยนแปลงได้
การตีความ Martian canals ของดาวอังคารของPercival Lowell
ต่อมาในปี1896 Lowell และนักดาราศาสตร์ส่วนหนึ่งได้เริ่มหันมาศึกษาดาวศุกร์ โดย Lowell ได้ซื้อกล้องโทรทรรศน์ใหม่แบบหักเหแสงขนาด 24 นิ้ว และนำไปติดตั้งไว้ที่หอดูดาวใน Flagstaff ซึ่งไม่นานหลังจากนั้น Lowell ก็ได้สังเกตเห็นว่า เมื่อเขาหยุดรูรับแสงของกล้องโทรทรรศน์ จะมีจุดมืดลึกลับปรากฏขึ้นบนพื้นผิวดาวเคราะห์ โดยมีโครงสร้างแบบ spoke-like structures เล็ดลอดออกมา
Lowell จึงรู้ว่าดาวศุกร์มีชั้นบรรยากาศที่หนาทึบซึ่งไม่สามารถเจาะด้วยแสงได้ แต่เขาก็สามารถเห็นเครื่องหมายเหล่านี้ซึ่งอยู่บนพื้นผิวของมันได้เท่านั้น ซึ่งสิ่งแปลกๆลักษณะเหล่านี้ดูเหมือนจะหันหน้าเข้าหาโลกเสมอ และจากการอนุมานของ Lowell ที่ไม่นับรวมกับการสังเกตอื่น ๆคือ ดาวศุกร์จะต้องมีวงโคจรแบบ synchronous กับดวงอาทิตย์
แต่สิ่งที่ทำให้งงที่สุดคือ มีแต่ Lowell เท่านั้นที่สามารถมองเห็นเครื่องหมายเหล่านี้ และเรื่องนี้ถูกปล่อยให้นิ่งเฉยมานานกว่าศตวรรษ จนกระทั่งมีนักดาราศาสตร์สมัครเล่นสองคนได้เสนอทฤษฎีที่ว่า Lowell กำลังจ้องมองตาของเขาเอง
หอดูดาว Lowell Observatory ใน Flagstaff รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกาที่สูง 2,210 ม. (7,250 ฟุต)
หอดูดาวนี้ช่วยสร้างแผนที่ของดวงจันทร์ และเป็นที่ตั้งของกล้องโทรทรรศน์ที่ช่วยให้ผู้ช่วยสังเกตการณ์ค้นพบดาวพลูโต
Lowell นั้นมักจะสังเกตเห็นดาวเคราะห์ที่อยู่สูงในท้องฟ้าในตอนกลางวัน และเพื่อลดผลกระทบของบรรยากาศในเวลากลางวันที่จะรบกวนกล้อง
เลนส์ของกล้องโทรทรรศน์จะหดลงเหลือเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 3 นิ้ว ด้วยการตั้งค่าดังกล่าว Lowell ได้ย่อรูม่านตาตรงทางออกของกล้องโทรทรรศน์
ด้านหน้าดวงตาของเขาให้เหลือเท่ารูเข็ม ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 0.5 มิลลิเมตร เพื่อทำให้กล้องโทรทรรศน์กลายเป็น opthalmoscope ขนาดยักษ์ที่แพทยตรวจสายตาใช้ในการตรวจสอบดวงตาของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในกรณีนี้ Andrew T. Young จากมหาวิทยาลัยแห่ง San Diego State University ได้อธิบายว่า รูม่านตาเล็ก ๆ มักจะสร้างเงาของเส้นเลือดบนเรตินา ทำให้มองเห็นได้ ในขณะที่รูม่านตาเคลื่อนไปตามรูเข็มของกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก ทำให้มุมของรังสีมาถึงเรตินาเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น
ลักษณะภายในดวงตาแม้เพียงเล็กน้อยที่หลุดออกจากเรตินา อาจทำให้เกิดเงาที่เปลี่ยนไปในภายหลังและมองเห็นได้
รูปวาดของดาวศุกร์และ spoke-like structures ของ Lowell (ซ้าย) ที่ค่อนข้างคล้ายกับด้านหลังของดวงตามนุษย์ (ขวา)
พูดให้ชัดเจนก็คือ สิ่งที่ Lowell เห็นลักษณะของ spoke-like นั้นเป็นเงาของเส้นเลือดและโครงสร้างอื่น ๆ ในเรตินาของเขาเอง ดังนั้น แทนที่ Lowell จะทำแผนที่พื้นผิวของดาวศุกร์ กลายเป็นว่าเขาได้ทำแผนที่โครงสร้างตาของเขาเอง แม้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจจะฟังดูแปลกๆ และท่ามกลางนักดาราศาสตร์ที่มีความก้าวหน้าอย่างมากในการสังเกตดาวเคราะห์จากภาพที่ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น แต่ปรากฏการณ์นี้กลับเป็นผลงานที่ถูกแพร่หลายมานานหลายปี
โดยในระหว่างงาน Gifford Lectures ปี 1985 เมื่อ Carl Sagan นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันผู้ล่วงลับได้รับเชิญให้ไปพูดที่มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ เขาได้ใช้ตัวอย่างผลงานของ Lowell ที่เกี่ยวกับความคิดและความสามารถที่มีมากเกินไป เพื่อเป็นเรื่องราวเตือนใจเกี่ยวกับพลังแห่งความเชื่อและความปรารถนาที่เหนือกว่าวิทยาศาสตร์และเหตุผล
และในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร Space Science Reviews เมื่อปี 2007 ผู้เขียนได้มีการบรรยายถึง Percival Lowell ว่าเป็น "ผู้นิยมวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในอเมริกา "
The War of the Worlds
หนังสือนวนิยายวิทยาศาสตร์ของ H.G. Wells ได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี 1897
โดยนิตยสาร Pearson ในสหราชอาณาจักรและนิตยสาร Cosmopolitan ในสหรัฐอเมริกา
War Of The Worlds (2005)
War Of The Worlds เป็นภาพยนตร์แอคชั่น-ไซไฟอเมริกัน สร้างขึ้นเมื่อปี 2005 กำกับโดย สตีเว่น สปีลเบิร์ก
เขียนบทโดย Josh Friedman และ David Koepp เป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากนิยายเรื่อง The War of the Worlds ของ H.G. Wells
ร่วมกันผลิตและเผยแพร่โดย Paramount Pictures และ DreamWorks Pictures นำแสดงโดย Tom Cruise ร่วมกับ Dakota Fanning, Justin Chatwin, Miranda Otto และ Tim Robbins ในบทบาทสมทบ นอกจากนี้ยังมีการบรรยายเรื่องโดย Morgan Freeman
เรื่องย่อ :
เรย์ เฟอร์เรียร์ คนงานท่าเรือม่ายและเป็นคุณพ่อที่ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่นานหลังจากอดีตภรรยาของเขาและสามีใหม่ของเธอ พาร็อบบี้ ลูกชายวัยรุ่น และ เรเชล ลูกสาวตัวน้อยของเขา มาแวะเยี่ยมและอาศัยอยู่ในช่วงสุดสัปดาห์ ก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล
เมื่อเครื่องจักรสงครามลักษณะเหมือนหอคอยสามขาโผล่มาจากใต้พื้นโลก และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก นั่นคือการบุกโจมตีโลกครั้งแรกของพวกมนุษย์ต่างดาว เรย์ ต้องพยายามช่วยลูกๆเของเขาให้พ้นจากความหายนะจากศัตรูที่ไร้ความปราณีเหล่านี้ แต่ไม่ว่าจะหนีไปทางใด ก็ไร้ซึ่งความปลอดภัยและที่พักพิง มีเพียงความมุ่งมั่นที่ยากจะทำลายได้ของเรย์เท่านั้น ที่จะปกป้องคนที่เขารักได้
War of the Worlds ออกฉายในอเมริกาเหนือเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2005 และในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2005
โดย Paramount Pictures และ DreamWorks Pictures ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกจากนักวิจารณ์โดยทั่วไป ซึ่ได้รับการยกย่องในการแสดงมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงของ Cruise และ Fanning รวมทั้ง Spielberg's direction, screenplay, action sequences และ visual effects
โดยรายได้ทั่วโลกกว่า 603 ล้าน$ และเป็นหนึ่งในสี่ของภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของปี 2005 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับสามรางวัลออสการ์ ได้แก่ เอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม บันทึกเสียงยอดเยี่ยม และตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม
ที่มา
# William Sheehan, Venus Spokes: An Explanation At Last?, Sky & Telescope
# Leon Jaroff, What Lowell Really Saw When He Watched Venus, New York Times
# Kat Eschner, The Bizarre Beliefs of Astronomer Percival Lowell, Smithsonian Magazine
# Kevin Zahnle et al, Emergence of a habitable planet, Space Science Reviews
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
VENUS SPOKES สิ่งที่นักดาราศาสตร์เห็นเป็น Martian canals
โดยผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการตามล่า Planet X ทีอยู่นอกเหนือจากวงโคจรของดาวเนปจูน
ซึ่งแม้ว่าการค้นหาของเขาจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ต่อมาก็มีการค้นพบดาวพลูโตใกล้กับสถานที่ที่ Lowell กำลังสังเกตการณ์อยู่ (ซึ่งชื่อและสัญลักษณ์ของดาวพลูโตส่วนหนึ่งมาจากชื่อย่อของ Percival Lowell, PL) โดยใช้หอดูดาว Lowell Observatory ที่เขาก่อตั้งขึ้นเพื่อใช้ศึกษาดาวอังคารในเวลาต่อมา
และสิ่งที่ได้เห็นจากการสังเกตและข้อสรุปที่ได้ ทำให้ Lowell หลงใหลใน Mars ดาวเคราะห์สีแดงนี้ โดยเขาเชื่อมั่นว่าจะต้องมีสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดอยู่บนมัน เพราะเมื่อมองผ่านกล้องโทรทรรศน์ เขาสามารถมองเห็นเส้นทางคดเคี้ยวของคลองที่คล้ายกับโครงสร้างบนพื้นผิวของโลก
โดย Lowell ได้ตั้งทฤษฎีขึ้นว่า อารยธรรมขั้นสูงของชนพื้นเมืองบนดาวอังคารได้สร้างคลองเพื่อนำน้ำจากหมวกน้ำแข็งขั้วโลก ไปยังบริเวณเส้นศูนย์สูตรในช่วงสุดท้ายที่พยายามจะอยู่รอดในดาวเคราะห์ที่แห้งแล้งนี้ โดยก่อนหน้า Lowell ก็มีนักดาราศาสตร์จากอิตาลี Giovanni Schiaparelli ที่ได้สังเกตเห็นสิ่งที่เป็นคลองหรือโครงสร้างอื่น ๆ บนดาวอังคารเช่นกัน
ในวิสัยทัศน์ของ Lowell ที่เกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตรอดบนดาวอังคารของอารยธรรมขั้นสูงนี้ ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับสาธารณชนและมีอิทธิพลต่อ
ความชอบของ H.G. Wells (นักเขียนนวนิยายแนววิทยาศาสตร์)อย่างมาก และเพื่อที่จะคาดเดาว่า ชีวิตของชาวอังคารจะแตกต่างจากมนุษย์บนโลกเพียงใด และความก้าวหน้าทางวิวัฒนาการของพวกมันที่เปรียบเทียบกับเราแล้วเป็นอย่างไร
เพื่อความอยู่รอด ซึ่งมันอาจฟังดูตลก แต่ความคิดเหล่านี้กลายเป็นหนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของ H.G. Wells ในปี 1897 นั่นคือหนังสือนวนิยายวิทยาศาสตร์ " The War of the Worlds "
วิสัยทัศน์ของดาวอังคารที่ได้จากทฤษฎีของ Lowell นี้ ยังคงมีอิทธิพลต่อนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ต่อไปจนถึงกลางศตวรรษที่ 20 โดยลักษณะเด่นชัดของ Martian canals ปรากฏอยู่ในงานเขียน " Red Planet " โดย Robert A. Heinlein (1949) และ " The Martian Chronicles " โดย Ray Bradbury (1950) แม้ในปัจจุบัน ก็ยังคงปรากฏอยู่ในผลงานของนักเขียนหลายคน และยังคงอ่านกันอย่างแพร่หลายในฐานะนิยายวิทยาศาสตร์คลาสสิก
แต่ในที่สุด ความคิดเกี่ยวกับคลองและชีวิตที่ชาญฉลาดบนดาวอังคารก็หยุดลงในปี 1972 เมื่อยานอวกาศ Mariner 9 ของนาซ่า ส่งภาพพื้นผิวดาวอังคารในระยะใกล้มายังโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีโครงสร้างใดๆบนดาวเคราะห์สีแดงนั้น ส่วนความคิดอื่น ๆ ของเขายังต้องใช้เวลานานกว่าจะเปลี่ยนแปลงได้
Lowell จึงรู้ว่าดาวศุกร์มีชั้นบรรยากาศที่หนาทึบซึ่งไม่สามารถเจาะด้วยแสงได้ แต่เขาก็สามารถเห็นเครื่องหมายเหล่านี้ซึ่งอยู่บนพื้นผิวของมันได้เท่านั้น ซึ่งสิ่งแปลกๆลักษณะเหล่านี้ดูเหมือนจะหันหน้าเข้าหาโลกเสมอ และจากการอนุมานของ Lowell ที่ไม่นับรวมกับการสังเกตอื่น ๆคือ ดาวศุกร์จะต้องมีวงโคจรแบบ synchronous กับดวงอาทิตย์
แต่สิ่งที่ทำให้งงที่สุดคือ มีแต่ Lowell เท่านั้นที่สามารถมองเห็นเครื่องหมายเหล่านี้ และเรื่องนี้ถูกปล่อยให้นิ่งเฉยมานานกว่าศตวรรษ จนกระทั่งมีนักดาราศาสตร์สมัครเล่นสองคนได้เสนอทฤษฎีที่ว่า Lowell กำลังจ้องมองตาของเขาเอง
เลนส์ของกล้องโทรทรรศน์จะหดลงเหลือเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 3 นิ้ว ด้วยการตั้งค่าดังกล่าว Lowell ได้ย่อรูม่านตาตรงทางออกของกล้องโทรทรรศน์
ด้านหน้าดวงตาของเขาให้เหลือเท่ารูเข็ม ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 0.5 มิลลิเมตร เพื่อทำให้กล้องโทรทรรศน์กลายเป็น opthalmoscope ขนาดยักษ์ที่แพทยตรวจสายตาใช้ในการตรวจสอบดวงตาของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในกรณีนี้ Andrew T. Young จากมหาวิทยาลัยแห่ง San Diego State University ได้อธิบายว่า รูม่านตาเล็ก ๆ มักจะสร้างเงาของเส้นเลือดบนเรตินา ทำให้มองเห็นได้ ในขณะที่รูม่านตาเคลื่อนไปตามรูเข็มของกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก ทำให้มุมของรังสีมาถึงเรตินาเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น
ลักษณะภายในดวงตาแม้เพียงเล็กน้อยที่หลุดออกจากเรตินา อาจทำให้เกิดเงาที่เปลี่ยนไปในภายหลังและมองเห็นได้
โดยในระหว่างงาน Gifford Lectures ปี 1985 เมื่อ Carl Sagan นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันผู้ล่วงลับได้รับเชิญให้ไปพูดที่มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ เขาได้ใช้ตัวอย่างผลงานของ Lowell ที่เกี่ยวกับความคิดและความสามารถที่มีมากเกินไป เพื่อเป็นเรื่องราวเตือนใจเกี่ยวกับพลังแห่งความเชื่อและความปรารถนาที่เหนือกว่าวิทยาศาสตร์และเหตุผล
และในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร Space Science Reviews เมื่อปี 2007 ผู้เขียนได้มีการบรรยายถึง Percival Lowell ว่าเป็น "ผู้นิยมวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในอเมริกา "
เรย์ เฟอร์เรียร์ คนงานท่าเรือม่ายและเป็นคุณพ่อที่ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่นานหลังจากอดีตภรรยาของเขาและสามีใหม่ของเธอ พาร็อบบี้ ลูกชายวัยรุ่น และ เรเชล ลูกสาวตัวน้อยของเขา มาแวะเยี่ยมและอาศัยอยู่ในช่วงสุดสัปดาห์ ก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล
เมื่อเครื่องจักรสงครามลักษณะเหมือนหอคอยสามขาโผล่มาจากใต้พื้นโลก และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก นั่นคือการบุกโจมตีโลกครั้งแรกของพวกมนุษย์ต่างดาว เรย์ ต้องพยายามช่วยลูกๆเของเขาให้พ้นจากความหายนะจากศัตรูที่ไร้ความปราณีเหล่านี้ แต่ไม่ว่าจะหนีไปทางใด ก็ไร้ซึ่งความปลอดภัยและที่พักพิง มีเพียงความมุ่งมั่นที่ยากจะทำลายได้ของเรย์เท่านั้น ที่จะปกป้องคนที่เขารักได้
# Leon Jaroff, What Lowell Really Saw When He Watched Venus, New York Times
# Kat Eschner, The Bizarre Beliefs of Astronomer Percival Lowell, Smithsonian Magazine
# Kevin Zahnle et al, Emergence of a habitable planet, Space Science Reviews