การสังหารหมู่ที่ Agaligmiut ในศตวรรษที่ 17




นักโบราณคดีพบหลักฐานการสังหารหมู่ในหมู่บ้านอลาสก้าที่ชื่อ Agaligmiut โดยพบซากศพ 28 ศพ และโบราณวัตถุ 60,000 ชิ้นในสภาพดี
(Cr.ภาพ: © Photo courtesy University of Aberdeen) 

 
เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2019 มีรายงานว่า นักโบราณคดีค้นพบร่องรอยของการสังหารหมู่ และวัตถุโบราณร่วม 60,000 ชิ้นที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีในแหล่งโบราณคดีที่เมืองโบราณ Agaligmiut (ในปัจจุบันเรียกกันว่า Nunalleq) รัฐอะแลสกา, สหรัฐอเมริกา โดยโครงกระดูกส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เด็กและผู้สูงอายุที่ถูกมัดด้วยเชือกหญ้า และถูกประหารด้วยการเจาะที่กะโหลกที่ดูเหมือนว่าเกิดจากหอกหรือลูกศร

Rick Knecht และ Charlotta Hillerdal อาจารย์ด้านโบราณคดีของมหาวิทยาลัย Aberdeen ในสกอตแลนด์ระบุว่าว่า Agaligmiut  เป็นเมืองใหญ่ที่มีความซับซ้อนที่เชื่อมต่อกันที่ได้รับการออกแบบมาสำหรับการป้องกันเมือง โดยพวกเขาพบว่ามันถูกไฟไหม้และที่ด้านบนเต็มไปด้วยลูกศร ซึ่งอาคารนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1590 - 1630 และมันถูกทำลายโดยการโจมตีและด้วยธนูหรือหอกในช่วงปี 1652 - 1677 

นักประวัติศาสตร์เรียกการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 นี้ว่า " สงครามธนูและศร " จากการที่ช่วงนั้นเกิดความขัดแย้งหลายครั้งขึ้นในหมู่ชนพื้นเมืองที่อาศัยในแถบ Alaska ที่รบกันโดยใช้ธนูเป็นหลัก  อ้างอิงจากตามตำนานของ Yup'ik (ชนพื้นเมืองในพื้นที่) ความขัดแย้งนี้เริ่มต้นขึ้นในระหว่างการแข่งขันปาลูกดอกของเมือง

เมื่อเด็กชายคนหนึ่งปาลูกดอกไปโดนตาของเด็กอีกคนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้พ่อของเด็กชายที่ได้รับบาดเจ็บไม่พอใจ และควักลูกตาทั้งสองข้างของเด็กที่ปาลูกดอกเพื่อเป็นการ “ชดใช้” จากนั้นญาติของเด็กชายที่ถูกควักดวงตาก็ออกมาตอบโต้ ความขัดแย้งจึงทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ ของเด็กชายทั้งสองเข้าไปเกี่ยวข้อง ในที่สุดจากการแข่งขันปาลูกดอกในระยะประชิดก็ส่งผลให้เกิดสงครามหลายครั้งใน Alaska และ Yukon และบานปลายกลายเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ 

ตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาจากชาว Yup'ik ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในแถบอาร์กติกที่อาศัยอยู่ในอลาสก้า
Cr.dailymail.co.uk
Yupik เรียกอีกอย่างว่า Yupiit หรือ Western Eskimo เป็นชนพื้นเมืองในแถบอาร์กติกที่อาศัยอยู่ในไซบีเรีย
บนเกาะ Saint Lawrence และหมู่เกาะ Diomede ในทะเลแบริ่งและช่องแคบแบริ่งและอลาสก้า
การสังหารหมู่ที่พบในครั้งนี้เชื่อกันว่า เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นได้สักพักหนึ่ง และเหยื่อส่วนมากน่าจะเป็นเด็กและผู้หญิงเนื่องจากในเวลานั้นเหล่าผู้ชายได้ออกไปรบกันหมด แนวคิดนี้ได้รับความเชื่อถือจากนักโบราณคดีค่อนข้างมาก เพราะในบรรดาโครงกระดูก 28 ร่างที่พบ มีเพียงแค่ร่างเดียวเท่านั้นที่เป็นของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่

มีเรื่องราวอื่น ๆของการสังหารหมู่นี้ที่เล่าว่า ชายคนหนึ่งชื่อ Pillugtuq ได้รวบรวมผู้คนใน Agaligmiut ไปทำสงคราม โดยเข้าโจมตีหมู่บ้านอื่นรวมทั้งหมู่บ้าน Pengurmiut และ Qinarmiut ซึ่งผู้คนในหมู่บ้านเหล่านี้ เมื่อได้รับคำเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับสงคราม พวกเขาจึงคอยซุ่มโจมตีและสังหารนักรบทั้งหมดที่เข้ามา
 
ส่วนเรื่องราวที่เกี่ยวกับการซุ่มโจมตีนี้ก็มีอยู่หลายเรื่อง ซึ่งมีเรื่องหนึ่งที่เล่าว่า ผู้หญิงจากหมู่บ้านอื่นๆแต่งตัวให้ดูเหมือนผู้ชาย และเข้าร่วมในการซุ่มโจมตีโดยใช้คันธนูและลูกศรเพื่อโจมตีฝ่ายที่มาทำสงคราม  และอีกเรื่องเล่าว่า ไม่นานก่อนที่นักรบจะออกจาก Agaligmiut ไปทำสงคราม หมอผีได้ทำนายว่าเมือง Agaligmiut จะต้องกลายเป็นเถ้าถ่าน แต่ Pillugtuq ไม่สนใจและออกไป  จากนั้นนักรบจากหมู่บ้านอื่นจึงบุกเข้ามาจุดไฟเผาเมือง และสังหารผู้อยู่อาศัยทั้งหมด

ซึ่ง Knecht ก็ได้อธิบายว่า แม้มีเรื่องราวมากมายที่ถูกเล่าแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เรารู้แน่ชัดก็คือ สงครามยิงธนูนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งที่เรียกว่ายุคน้ำแข็งขนาดเล็ก ซึ่งสภาพอากาศที่หนาวเย็นอาจทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนอาหาร และส่งผลให้เกิดความขัดแย้งที่น่าเศร้าได้

(ภาพแรก) หน้ากากไม้มีลักษณะเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์และส่วนหนึ่งของ walrus ที่นักโบราณคดีอธิบายว่า
โดยผู้คนใน Agaligmiut เชื่อว่าบางครั้งคนอาจกลายเป็นสัตว์ได้ และในทางกลับ กันสัตว์ก็อาจกลายเป็นคนได้เช่นกัน
(Cr.ภาพ Photo courtesy University of Aberdeen)

นอกจากหลักฐานเกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นใน Agaligmiut แล้ว การค้นพบวัตถุโบราณอีกกว่า 60,000 ชิ้นเองก็เป็นที่น่าสนใจมากเช่นกัน
โบราณวัตถุที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีประมาณ 60,000 ชิ้นส่วนหนึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์จากไม้ ได้แก่ ตุ๊กตารูปแกะสลักหน้ากากเต้นรำไม้และตะกร้าหญ้า
 
โดยหน้ากากไม้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจที่สุด ส่วนรูปแกะสลักและตุ๊กตาน่าจะถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย รวมถึงพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นของเล่น โดยงานวิจัยที่ Agaligmiut ได้รับการสนับสนุนโดย "สมาคมชนพื้นเมือง" Alaska Native Village Corporation ในเมือง Quinhagak
 
- ตุ๊กตาที่ตกแต่งด้วยสีแดงสด (ภาพกลาง)
  มีการพบตุ๊กตาและรูปแกะสลักจำนวนมากที่ไซต์ ที่ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย รวมถึงพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นของเล่น
- หน้ากากรูปแกะสลักและตุ๊กตาหลายตัวที่เป็นรูปสัตว์เช่น หน้ากากรูปกวางคาริบูนี้ (ภาพที่สาม)
ซึ่งสัตว์ป่าจะมีบทบาทสำคัญในความเชื่อดั้งเดิมของชาว Yup'ik 
 

  
 
- Permafrost ส่งผลให้โบราณวัตถุจำนวนมากได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีแม้จะผ่านไปประมาณ 350 ปี 
และจากภาวะโลกร้อนหมายความว่าดินที่แห้งแล้งนี้กำลังละลาย และสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกเก็บรักษาไว้อาจจะสูญหายได้
ภาพนี้แสดงหน้ากากที่ถูกพบจากการละลายของน้ำแข็ง (ภาพแรก)

- การแกะสลักนกฮูก (ภาพกลาง)
สิ่งประดิษฐ์ประมาณ 850 ชิ้นได้รับการสแกนแบบ 3 มิติแล้ว และกำลังถูกนำไปรวมไว้ในการศึกษา  เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ เรียนรู้เกี่ยวกับโบราณสถาน
นอกจากนี้ยังมีการค้นพบซากศพของสุนัขที่ถูกไฟไหม้ด้วย (ภาพหลัง)
 
 

ที่มา livescience, newsbeezer
Cr.https://aventurasnahistoria.uol.com.br/noticias/historia-hoje/no-alasca-arqueologos-encontram-vestigios-de-massacre-do-seculo-17.phtml /THIAGO LINCOLINS
Cr.https://www.catdumb.com/alaskan-massacre-350-years-ago-378/ เหมียวศรัทธา
Cr.https://www.livescience.com/65282-legendary-massacre-dart-game.html / Owen Jarus 
Cr.https://www.livescience.com/65287-photos-legendary-massacre.html /Owen Jarus 

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่