รู้ว่าเสี่ยง....แต่คงต้องขอลอง



ผมเชื่อว่าเนื้อเพลง "เล่นของสูง" ท่อนแรกท่อนนี้คงโดนใจวัยรุ่นยุค 90 หลายๆคนเป็นแน่เลย มันเป็นท่อนที่บ่งบอกถึงสัจธรรมของโลกได้อย่างแท้ทรูเลยครับ  ว่าคนเรานั้นถ้าอยากประสบความสำเร็จ อยากได้ของที่มีคุณค่า มันต้องเสี่ยงมันต้องแลกด้วยการลงมือทำ ไม่มีอะไรที่จะได้มาง่ายๆ และเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ก็เช่นกันครับ มันเป็นเรื่องของชายคนหนึ่ง ที่เสี่ยงจะทำภารกิจที่ต้องเดิมพันถึงชีวิต เพื่อที่จะให้ได้สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งมา แต่ภารกิจและสิ่งสำคัญนั้นคืออะไรเดี๋ยวเรามาฟังไปพร้อมๆกันเลยครับ เชิญรับชมภาพประกอบและคำบรรยายกันนะครับ
 


หลายคนอาจจะคิดว่าชายคนนี้คือลุงพลแห่งบ้านกกกอก ไม่ใช่นะครับ เขาแค่หน้าคล้ายเฉยๆ ซึ่งชายคนนี้เขามีนามว่าวิโธลด์ ปิเลทสกี้ เป็นชาวโปแลนด์ พี่วิธของเราคนนี้เกิดในตระกูลของชาวสวนผู้มั่งคั่งที่อพยพลี้ภัยจากรัสเซียในเหตุการณ์การจราจลในเดือนมกราตั้งแต่เมื่อปี 1864 ในช่วงวัยเยาว์เขาก็อยู่อย่างสงบสุขเพราะไม่มีสงครามอะไร จนกระทั่งมหาสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดขึ้น พ่อหนุ่มวิธเองก็ได้เข้าร่วมสงครามในฐานะหน่วยสอดแนมเพราะว่าอายุของเขายังน้อยอยู่ทำให้ยังเข้าร่วมกับกองทัพไม่ได้



ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุค 1920 ก็เกิดสงครามรัสเซีย-โปแลนด์เกิดขึ้น คราวนี้วิโธลด์ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ก็ได้เข้าร่วมในกรมทหารม้า และสู้รบในแนวหน้าอย่างกล้าหาญจนได้เหรียญกล้าหาญถึงสองครั้ง เมื่อจบสงครามเขาก็ได้ไปเรียนต่อสาขาเกษตร ที่มหาวิทยาลัยในเมืองพอสนัน แต่ก็ต้องออกเพราะเจ้าคุณพ่อป่วยหนัก เมื่อพ่อของเขาเสียชีวิตลงเขาก็ได้มรดกเป็นที่ดินหลายเอเคอร์ซึ่งเขาก็ต้องยกเครื่องปรับปรุงเสียใหม่เพราะที่ผืนนั้นถูกทำลายโดยกองทัพโซเวียต



หลังจากที่พี่วิธเราปรับปรุงบ้านและที่ดินจนเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับรอบข้างแล้ว เขาก็แต่งงานแล้วก็มีพยานรักด้วยกันสองคน แต่ความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อปี 1939 สงครามโลกครั้งที่สองก็เกิดประทุขึ้น พี่วิธในฐานะกองหนุนก็ถูกเรียกเข้าประจำการ แต่ประจำการได้ไม่ทันไรก็ถูกพันธมิตรฮิตเลอร์-สตาลินรุกเข้าตีขนาบกรีธาทัพเข้าโปแลนด์ และแยกแผ่นดินโปแลนด์ออกเป็นสองส่วน จากนั้นก็ยุบรัฐบาลและกองทัพ ทำให้พี่วิธของเราต้องไปเข้าร่วมกับกลุ่มใต้ดินซึ่งก็คือกลุ่มเสรีโปแลนด์ในที่สุด



ในบรรดากลุ่มใต้ดินต่อต้านนาซีในยุโรป แม้ว่ากลุ่มเสรีฝรั่งเศสจะกลายเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของกลุ่มต่อต้าน และยังกล่าวได้ว่าเป็นกลุ่มที่โด่งดังที่สุด แต่เอาเข้าจริง บรรดาข่าวกรองแลข่าวลับทั้งหลายทั่วภาคพื้นยุโรปที่ใช้ได้จริงและมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือข่าวกรองจากกลุ่มเสรีโปแลนด์ โดยพี่วิธเราเองก็ได้มีส่วนสำคัญในการรายงานข่าวกรองให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งข่าวกรองที่ว่านั้นก็คือรายงานเหตุการณ์และรายละเอียดของค่ายกักกันเอาชวิทซ์ที่เขาได้เข้าไปอยู่ข้างในจริงๆเป็นเวลาถึงสามปี



ตอนแรกนั้นกลุ่มเสรีโปแลนด์ก็รับคำสั่งจากรัฐบาลพลัดถิ่นของโปแลนด์ที่อยู่ในลอนดอนในการทำภารกิจต่างๆ จนวันหนึ่งก็มีการตั้งค่ายคุมขังที่เป็นไฮไลท์สำคัญของเรื่องอยู่ค่ายหนึ่งในโปแลนด์ ซึ่งค่ายนี้มีไว้ขังนักโทษกลุ่มต่อต้านชาวโปแลนด์ พวกยิปซี และเชลยศึก ก่อนที่ต่อมาจะมีชาวยิวมาอยู่ค่ายนี้และกลายมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่าค่ายกักกันเอาชวิทซ์ กลุ่มเสรีโปแลนด์จึงหาอาสาสมัครที่จะเข้าไปสืบข้อมูลของค่ายแห่งนี้ และพี่วิธของเราในวัยสี่สิบก็เป็นหนึ่งในผู้อาสา แม้เขาจะรู้ว่าเสี่ยงถึงชีวิตแถมยังได้ข่าวไม่สู้ดีว่าในค่ายนี้มีแต่ทางเข้าไม่มีทางออก เขาก็ยังอยากจะลองอยู่ดี



เมื่อพี่วิธของเราได้รับเลือก ก็เริ่มแผนการด้วยการสวมรอยเป็นนายทหารชาวโปแลนด์คนหนึ่งที่อยู่ในบัญชีหนังหมาของเกสตาโป จากนั้นก็เริ่มแผนการด้วยการเดินเข้าไปหาพวกเอสเอส แล้วตระโกนว่า "อยู่บ้านมันเหงา อยากโดนเหลากระบาล แถวนี้มีเหล้ากินฟรีมั้ยวะ!!!" เท่านั้นแหละ เรียบร้อยโรงเรียนนาซีเลย พี่วิธของเราก็โนจับและโดนกระทืบ จากนั้นก็ถูกส่งไปยังค่ายเอาชวิทซ์ในฐานะ นช.หมายเลข 4859 สมใจ เพียงวันแรกที่พี่วิธขึ้นรถไฟร่วมกับคนนับพันมาลงที่ค่าย ผู้คุมก็สุ่มคนมาสิบคน บอกให้วิ่งไปที่หน้าประตูค่าย พอพวกนั้นวิ่งไปผู้คุมก็หยิบปืนประทับบ่าแล้วก็ยิงทิ้งซะงั้น โดยบอกกับพวกที่เหลือว่า "ถ้าพวกเอ็งหนี เอ็งจะโดนแบบนั้นนะแจ๊ะ" พอเห็นอย่างนั้นทุกคนก็ได้แต่อึ้งทึ่ง และงงกันไปตามๆกัน



โดยภารกิจที่สำคัญของพี่วิธก็คือการสืบความเป็นไปในค่าย ก่อตั้งเครือข่ายกลุ่มลับ และในที่สุดอาจเป็นแกนนำในการก่อจลาจล เมื่อเวลาผ่านไปได้สองสามสัปดาห์รายงานฉบับแรกของพี่วิธก็ถูกส่งออกมาจนได้ โดยผ่านนักโทษที่แอบติดสินบนให้ผู้คุมปล่อยตัวซึ่งในข่วงแรกยังทำได้อยู่ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ารายงานฉบับนี้ที่สุดจะไปถึงมือของอังกฤษจนได้ โดยรายงานฉบับนี้ก็กล่าวถึงความโหดร้ายของค่าย ที่ทุบตีและยิงคนทิ้งง่ายๆ และใช้หลักความรับผิดชอบร่วม ซึ่งถ้าใครทำผิดคนหนึ่งก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เหมือนอย่างกับระบบโรงเรียนทหาร ซึ่งพี่วิธเองก็เรียกร้องให้ใช้เครื่องบินมาทิ้งบอมบ์ค่ายนี้ทิ้งซะ แต่อังกฤษก็ปฏิเสธ โดยอ้างถึงเรื่องมนุษยธรรมและอ้างว่าเครื่องบินไม่พอ



จนในปี 1942 พี่วิธเองก็ส่งข่าวสำคัญๆต่อมาอีก ถึงการที่ค่ายดังกล่าวเริ่มมีการสังหารหมู่เชลยศึกชาวรัสเซียนับพันนาย และเริ่มมีการทดลองด้านชีวภาพกับนักโทษที่ป่วย รวมไปถึงเริ่มมีการขนย้ายยิวมาในค่ายนี้ด้วยจำนวนที่มหาศาลมาทางรถไฟ พี่วิธก็ฝากชาวนาแถวนั้นเอาข่าวไปให้หน่วยต้นสังกัดของเขาพร้อมกับร้องขอว่า "พี่ครับ....ถ้าพี่ไม่ระเบิดค่าย อย่างน้อยพี่ก็ระเบิดทางรถไฟก็ยังดี ช่วยทำอะไสักอย่างได้ไหม" แต่การร้องขอก็ไม่เป็นผล และในปี1943 พี่วิธก็เริ่มแผนการหลบหนีโดยใช้เส้นสายไปขอทำงานในแผนกเบเกอรี่และอาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีไปได้อย่างลอยนวล ซึ่งในตอนนั้นนาซีก็ได้ทำสนธิสัญญากับกาชาดว่าจะยกเลิกกฎรับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งนั่นทำให้เพื่อนๆในค่ายของพี่วิธยังคงปลอดภัย ไม่ต้องรับซวยเพราะพี่วิธ



เมื่อพี่วิธกลับมายังวอร์ซอว์พี่วิธก็เริ่มทำรายงานสรุปเหตุการณ์ในค่ายเอาชวิทซ์ที่ต่อมารายงานฉบับนั้นจะถูกเรียกว่ารายงานลับของวิโธลด์ เมื่อรายงานเสร็จเขาก็นำเสนอฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ไม่สนใจรายงานฉบับนั้นแถมยังตอกกลับว่า "ไอ้วิธ...สิ่งที่เอ็งเขียนมันเว่อเกินไป เอ็งโม้รึป่าววะ???" จนสงครามใกล้จะจบในวอร์ซอว์ก็มีการลุกฮือต่อต้านนาซีเกิดขึ้น ก่อนที่ต่อมาโซเวียตจะเข้ามาขับไล่พวกนาซีออกไป โดยทีแรกคนส่วนใหญ่รวมถึงพี่วิธก็คิดว่า โซเวียตจะเป็นเหมือนนางฟ้ามาโปรด เขาเพื่อช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายและทำให้เราได้มีอิสระอีกครั้ง แต่ที่ไหนได้ เมื่อโลกความเป็นจริงมันโหดร้าย โซเวียตก็ยึดครองโปแลนด์แทนโดยตั้งรัฐบาลหุ่นที่ฝักใฝ่คอมมิวนิสม์ขึ้นและคอยชักใยอยู่หลังม่านเหล็ก



ด้วยความที่พี่วิธฝักใฝ่ในประชาธิปไตย แกจึงเข้าร่วมกับฝ่ายต่อต้านอีกครั้ง คราวนี้แกส่งข่าวกรองด้านความเคลื่อนไหวของฝ่ายโซเวียตให้กับฝั่งประชาธิปไตย จนสุดท้ายกลุ่มของแกก็โดนกวาดล้าง และแกก็ถูกจับในที่สุดและโดนตั้งข้อหาร้ายแรงว่า "ทรยศต่อชาติและวางแผนลอบสังหารผู้นำ" ทำให้ภาพจำของแกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเป็นเวลากว่าสี่สิบปีว่าแกเป็นคนทรยศ ซึ่งภาพนี้เองทำให้ชาวโปแลนด์ลืมวีรกรรมของแกในค่ายเอาชวิทซ์ที่ทำมาเสียหมดสิ้น



หลังจากไต่สวนพิจารณาคดีได้สิบห้าวันแกก็ถูกประหารในที่สุด และในยุค 1990 หลังจากที่โซเวียตล่มสลายลง เรื่องราวของวิโธลด์ ปิเลทสกี้ก็ถูกนำกลับมาฉายอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ภาพของเขาก็ถูกนำมาฉายในฐานะฮีโร่สงคราม จนทำให้กลายเป็นที่จดจำในฐานะวีรบุรุษของชาติ พี่วิธของเราคนนี้นี่แหละครับ คนที่จำกัดความเขาได้ว่าเป็นคนที่รู้ว่าเสี่ยง...แต่คงต้องขอลองตัวจริงเสียงจริง และได้ผลประเสริฐจริงด้วย ขอขอบพระคุณทุกท่านที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้ครับ

Cr : https://www.washingtonpost.com/history/2020/01/26/pilecki-auschwitz-polish-resistance/,https://culture.pl/en/article/the-man-who-volunteered-for-auschwitz,https://en.m.wikipedia.org/wiki/Witold_Pilecki

ถ้าชอบใจฝากไลค์เพจ Someone in History : ใครสักคนในประวัติศาสตร์ เพื่อเป็นกำลังใจด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/someoneinhistory/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่