.
มันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ เหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก หรือกินกล้วยทั้งเปลือก ไมเคิล พยายามตอกความคิดแบบนั้น เข้าไปในหัวของตัวเอง แบบไม่คิดชีวิต จะปลอกกล้วยเข้าปาก หรือกินกล้วยทั้งเปลือก จะว่าไปคงแตกต่างกันไม่มาก
ใช่...ไมเคิล เข้าใจดี เพราะอย่างน้อยเขาก็พอจำได้ว่า บิดามารดา ชอบผลไม้ชนิดที่เรียกว่า กล้วย เพียงใด มันไม่ได้หมายความแต่ผลไม้ แต่หมายถึงชีวิตจิตใจและความคงอยู่ของมนุษยชาติ ไม่สิ...อาจจะหมายถึงชะตากรรมของจักรวาลก็เป็นได้
“แม่ชอบกล้วยไข่ เพราะมันไม่มีกระดูก” ไมเคิลจำคำพูดของผู้เป็นแม่ได้ จำภาพฉากโต๊ะอาหาร พ่อ-แม่ น้องสาวของเขา เสียงเพลงดังมาจากข้างบ้านพอได้ยิน เพลงแสนซ้ำซากกับวันวันคริสต์มาส
แต่เขานึกถึง เนินโกลโกธา ที่โชกเลือดไปความทรมานของ บิดา พระบุตร และพระจิต ไมเคิลไม่รู้อะไรมากนัก แต่เขารู้ว่า เขาไม่ชอบศาสนาจักร ไมเคิลไม่ได้เชื่อเรื่องศาสนา ไม่ใช่เพราะเขาต่อต้านศาสนา แต่เป็นเพราะความไม่เข้าในศาสนจักรมากกว่า ว่ากำลังพยายามทำอะไรกันแน่ ขณะเดินกลับบ้าน เขานึกถึงนักวิทยาศาสตร์หลายท่านที่ประสบชะตากรรมเลวร้าย จากศาสนจักร ที่เพิ่งร่ำเรียนมาในวิชาวิทยาศาสตร์ นั่นเป็นการตอกย้ำความเชื่อของเขา
ยุคสมัยของกาลิเลโอ และก่อนหน้านั้น อันยาวนานนับเป็นพันปี วงการศาสนา ที่มีบทบาทมากที่สุดในโลกยุโรป คือ ศาสนาคริสต์ ยึดถือคำสอนของอริสโตเติล เป็นเหมือนกับคัมภีร์ไบเบิล ใครก็ตามที่เชื่อและเผยแพร่ความคิดทฤษฎีที่ขัดแย้งกับอริสโตเติล ก็เสมือนหนึ่งเผยแพร่สิ่งที่ขัดแย้งกับคำสอนของพระเจ้า มีความผิดต้องถูกจับขึ้นศาลพระ และมีโทษถึงตายทีเดียว
ตัวอย่างของ "คนกล้า" ที่กล้าเผยแพร่ทฤษฎีความคิดที่ขัดแย้งกับอริสโตเติล คือ จิออร์ดาโน บรูโน (Giordano Bruno) นักดาราศาสตร์และนักบวชชาวอิตาลี ผู้ถูกเผาทั้งเป็น เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1600 (ขณะที่กาลิเลโอมีอายุ 36 ปี) เพราะเผยแพร่ความคิดทฤษฎีของ โคเปอร์นิคัส อย่างเปิดเผยว่า ดวงอาทิตย์ มิใช่โลก ที่เป็นศูนย์กลางจักรวาล (จักรวาลในความเข้าใจของยุคสมัยนั้น ก็เป็นเสมือนกับระบบสุริยะในปัจจุบัน ซึ่งเข้าใจกันว่า เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของจักรวาลแล้ว) ขัดแย้งกับทฤษฎีคำสอนของอริสโตเติล ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
กาลิเลโอ อาศัยกล้องโทรทรรศน์ของเขา ส่องดูดวงจันทร์ ค้นพบดวงจันทร์สี่ดวงของดาวพฤหัสบดี ค้นพบวงแหวนอันงดงามของดาวเสาร์ และค้นพบว่า ทางช้างเผือกที่ปรากฏเป็นทางขาวพาดในท้องฟ้านั้น ประกอบด้วยดวงดาวจำนวนมากมาย
กาลิเลโอเผยแพร่ทฤษฎีของโคเบอร์นิคัส ว่า ดวงอาทิตย์ มิใช่โลก เป็นศูนย์กลางของจักรวาล การค้นพบดวงจันทร์สี่ดวงของดาวพฤหัสบดี เป็นหลักฐานสำคัญว่า มิใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลหรอก ที่โคจรรอบโลก เพราะดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี มิได้โคจรรอบโลก แต่ก็เป็นหลักฐานที่ทำให้กาลิเลโอ เกือบต้องประสบกับชะตากรรม คือ ถูกจับเผาทั้งเป็น ดังเช่น จิออร์ดาโน บรูโน
ในช่วงชีวิตบั้นปลายของกาลิเลโอ เขาถูกศาลพระศาสนาคริสต์ ตัดสินว่า เขามีความผิด ความคิด คำสอน ของเขานั้นผิด หนังสือของเขาเป็นหนังสือต้องห้าม เขาถูกลงโทษด้วยการถูกจำขังอยู่ในบ้านของเขา แบบ "House Arrest"ตลอดชั่วชีวิตของเขา ทว่า ต่อๆมา ทางฝ่ายศาสนาก็ยอมรับว่า กาลิเลโอเป็นฝ่ายถูก
ไมเคิลเดินไป คิดไป จนถึงบ้านของเขา
ศรัทธา คืออะไรไม่รู้ แต่รู้ว่า คุณพ่อ คุณแม่ กำลังรอทานเข้าเย็นด้วย ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ในบรรยากาศของบ้าน ที่เต็มไปด้วยความหม่นเศร้า
“แม่ทำอาหารที่ลูกชอบ รอไว้แล้ว” คุณพ่อบอกตั้งแต่เห็นไมเคิลเดินเข้าบ้านด้วยใบหน้าซีดเซียว ก็คงเหมือนทุก ๆ วัน แต่สมาชิกก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่เก็บกดในความคิดของไมเคล
“บุหรี่ไหมครับ” เขาล้วงมือจากกระเป๋า แต่ไม่ได้ยื่นอะไรให้ผู้เป็นพ่อ ที่กำลังยืนใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้อยู่สวนหน้าบ้าน ให้ตายสิ....เขาไม่ชอบเรื่องพวกนี้ เพราะทุกครั้งที่กรรไกรขยับ ตัดกิ่งไม้ใบหญ้า เขาแทบจะรู้สึกถึงเสียงร่ำร้องคร่ำครวญ ของกิ่งไม้ใบไม้ หวิดหวิว ราวมาจากสุดขอบนรก
“ไม่ พ่อไม่สูบ” คุณพ่อตอบพร้อมรอยยิ้ม ไม่เคิลไม่ได้แปลกใจ เพราะได้ยินคำพูดแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน เขารู้คำตอบดี แต่ก็อดถามไม่ได้ คำพูดซ้ำซากจนจะกลายเป็นซากซ้ำ ตอกย้ำชีวิตลงในวงวนของกาลอวกาศ
เขาหันไปมองขอบฟ้า เหนือหมู่ตึก ดวงอาทิตย์ลูกมหึมา กำลังพาตัวเองแตะขอบฟ้าอย่างเกียจคร้าน มีกลิ่นอาหารมาจากห้องครัว แม่คงกำลังทำอาหารที่แสนคุ้นเคย ไมเคิลพยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ หันไปมองภาพ แขวนผนัง ศิลปินยุคเรอเนสซองส์ ซึ่งมุ่งความสนใจที่ความสวยงามในสรีระของมนุษย์ มิติของภาพ สีและแสงในงานประติมากรรมและจิตรกรรมให้สมจริง ...
แต่...นี่ชีวิตและโลกของเขา ไม่ใช่ภาพวาดหรือบทเพลง เขาไม่ต้องการเข้าถึงงานศิลปะอะไรทั้งนั้น
กี่ปีมาแล้วนะ
คุณพ่อคุณแม่ นั่งรออยู่ในห้องอาหาร กลิ่นหอมอย่างที่คุ้นเคย และคำพูดที่แสนคุ้นเคย และรอยยิ้มอบอุ่น ไมเคิลพยายามไม่หลั่งน้ำตา ขณะที่จ้องหน้าผู้ให้กำเหนิดทั้งสองคน คำพูดที่เก็บในใจมาหลายปี ระบายออกมาเป็นครั้งแรก
....พ่อครับ แม่ครับ พ่อกับแม่ตายไปนานแล้ว อย่ามาหาผมอีกเลยครับ ผมรักพ่อกับแม่ แต่ไม่อยากให้พ่อกับแม่อยู่ที่นี่ ไปเถอะครับ ผมจะดูแลตัวเองให้ดี....
สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน กับรอยยิ้มเศร้าสุดสะท้านใจ
The End.
Twilight Psycho Zone...... (ไมเคิล)
มันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ เหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก หรือกินกล้วยทั้งเปลือก ไมเคิล พยายามตอกความคิดแบบนั้น เข้าไปในหัวของตัวเอง แบบไม่คิดชีวิต จะปลอกกล้วยเข้าปาก หรือกินกล้วยทั้งเปลือก จะว่าไปคงแตกต่างกันไม่มาก
ใช่...ไมเคิล เข้าใจดี เพราะอย่างน้อยเขาก็พอจำได้ว่า บิดามารดา ชอบผลไม้ชนิดที่เรียกว่า กล้วย เพียงใด มันไม่ได้หมายความแต่ผลไม้ แต่หมายถึงชีวิตจิตใจและความคงอยู่ของมนุษยชาติ ไม่สิ...อาจจะหมายถึงชะตากรรมของจักรวาลก็เป็นได้
“แม่ชอบกล้วยไข่ เพราะมันไม่มีกระดูก” ไมเคิลจำคำพูดของผู้เป็นแม่ได้ จำภาพฉากโต๊ะอาหาร พ่อ-แม่ น้องสาวของเขา เสียงเพลงดังมาจากข้างบ้านพอได้ยิน เพลงแสนซ้ำซากกับวันวันคริสต์มาส
แต่เขานึกถึง เนินโกลโกธา ที่โชกเลือดไปความทรมานของ บิดา พระบุตร และพระจิต ไมเคิลไม่รู้อะไรมากนัก แต่เขารู้ว่า เขาไม่ชอบศาสนาจักร ไมเคิลไม่ได้เชื่อเรื่องศาสนา ไม่ใช่เพราะเขาต่อต้านศาสนา แต่เป็นเพราะความไม่เข้าในศาสนจักรมากกว่า ว่ากำลังพยายามทำอะไรกันแน่ ขณะเดินกลับบ้าน เขานึกถึงนักวิทยาศาสตร์หลายท่านที่ประสบชะตากรรมเลวร้าย จากศาสนจักร ที่เพิ่งร่ำเรียนมาในวิชาวิทยาศาสตร์ นั่นเป็นการตอกย้ำความเชื่อของเขา
ยุคสมัยของกาลิเลโอ และก่อนหน้านั้น อันยาวนานนับเป็นพันปี วงการศาสนา ที่มีบทบาทมากที่สุดในโลกยุโรป คือ ศาสนาคริสต์ ยึดถือคำสอนของอริสโตเติล เป็นเหมือนกับคัมภีร์ไบเบิล ใครก็ตามที่เชื่อและเผยแพร่ความคิดทฤษฎีที่ขัดแย้งกับอริสโตเติล ก็เสมือนหนึ่งเผยแพร่สิ่งที่ขัดแย้งกับคำสอนของพระเจ้า มีความผิดต้องถูกจับขึ้นศาลพระ และมีโทษถึงตายทีเดียว
ตัวอย่างของ "คนกล้า" ที่กล้าเผยแพร่ทฤษฎีความคิดที่ขัดแย้งกับอริสโตเติล คือ จิออร์ดาโน บรูโน (Giordano Bruno) นักดาราศาสตร์และนักบวชชาวอิตาลี ผู้ถูกเผาทั้งเป็น เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1600 (ขณะที่กาลิเลโอมีอายุ 36 ปี) เพราะเผยแพร่ความคิดทฤษฎีของ โคเปอร์นิคัส อย่างเปิดเผยว่า ดวงอาทิตย์ มิใช่โลก ที่เป็นศูนย์กลางจักรวาล (จักรวาลในความเข้าใจของยุคสมัยนั้น ก็เป็นเสมือนกับระบบสุริยะในปัจจุบัน ซึ่งเข้าใจกันว่า เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของจักรวาลแล้ว) ขัดแย้งกับทฤษฎีคำสอนของอริสโตเติล ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
กาลิเลโอ อาศัยกล้องโทรทรรศน์ของเขา ส่องดูดวงจันทร์ ค้นพบดวงจันทร์สี่ดวงของดาวพฤหัสบดี ค้นพบวงแหวนอันงดงามของดาวเสาร์ และค้นพบว่า ทางช้างเผือกที่ปรากฏเป็นทางขาวพาดในท้องฟ้านั้น ประกอบด้วยดวงดาวจำนวนมากมาย
กาลิเลโอเผยแพร่ทฤษฎีของโคเบอร์นิคัส ว่า ดวงอาทิตย์ มิใช่โลก เป็นศูนย์กลางของจักรวาล การค้นพบดวงจันทร์สี่ดวงของดาวพฤหัสบดี เป็นหลักฐานสำคัญว่า มิใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลหรอก ที่โคจรรอบโลก เพราะดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี มิได้โคจรรอบโลก แต่ก็เป็นหลักฐานที่ทำให้กาลิเลโอ เกือบต้องประสบกับชะตากรรม คือ ถูกจับเผาทั้งเป็น ดังเช่น จิออร์ดาโน บรูโน
ในช่วงชีวิตบั้นปลายของกาลิเลโอ เขาถูกศาลพระศาสนาคริสต์ ตัดสินว่า เขามีความผิด ความคิด คำสอน ของเขานั้นผิด หนังสือของเขาเป็นหนังสือต้องห้าม เขาถูกลงโทษด้วยการถูกจำขังอยู่ในบ้านของเขา แบบ "House Arrest"ตลอดชั่วชีวิตของเขา ทว่า ต่อๆมา ทางฝ่ายศาสนาก็ยอมรับว่า กาลิเลโอเป็นฝ่ายถูก
ไมเคิลเดินไป คิดไป จนถึงบ้านของเขา
ศรัทธา คืออะไรไม่รู้ แต่รู้ว่า คุณพ่อ คุณแม่ กำลังรอทานเข้าเย็นด้วย ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ในบรรยากาศของบ้าน ที่เต็มไปด้วยความหม่นเศร้า
“แม่ทำอาหารที่ลูกชอบ รอไว้แล้ว” คุณพ่อบอกตั้งแต่เห็นไมเคิลเดินเข้าบ้านด้วยใบหน้าซีดเซียว ก็คงเหมือนทุก ๆ วัน แต่สมาชิกก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่เก็บกดในความคิดของไมเคล
“บุหรี่ไหมครับ” เขาล้วงมือจากกระเป๋า แต่ไม่ได้ยื่นอะไรให้ผู้เป็นพ่อ ที่กำลังยืนใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้อยู่สวนหน้าบ้าน ให้ตายสิ....เขาไม่ชอบเรื่องพวกนี้ เพราะทุกครั้งที่กรรไกรขยับ ตัดกิ่งไม้ใบหญ้า เขาแทบจะรู้สึกถึงเสียงร่ำร้องคร่ำครวญ ของกิ่งไม้ใบไม้ หวิดหวิว ราวมาจากสุดขอบนรก
“ไม่ พ่อไม่สูบ” คุณพ่อตอบพร้อมรอยยิ้ม ไม่เคิลไม่ได้แปลกใจ เพราะได้ยินคำพูดแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน เขารู้คำตอบดี แต่ก็อดถามไม่ได้ คำพูดซ้ำซากจนจะกลายเป็นซากซ้ำ ตอกย้ำชีวิตลงในวงวนของกาลอวกาศ
เขาหันไปมองขอบฟ้า เหนือหมู่ตึก ดวงอาทิตย์ลูกมหึมา กำลังพาตัวเองแตะขอบฟ้าอย่างเกียจคร้าน มีกลิ่นอาหารมาจากห้องครัว แม่คงกำลังทำอาหารที่แสนคุ้นเคย ไมเคิลพยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ หันไปมองภาพ แขวนผนัง ศิลปินยุคเรอเนสซองส์ ซึ่งมุ่งความสนใจที่ความสวยงามในสรีระของมนุษย์ มิติของภาพ สีและแสงในงานประติมากรรมและจิตรกรรมให้สมจริง ...
แต่...นี่ชีวิตและโลกของเขา ไม่ใช่ภาพวาดหรือบทเพลง เขาไม่ต้องการเข้าถึงงานศิลปะอะไรทั้งนั้น
กี่ปีมาแล้วนะ
คุณพ่อคุณแม่ นั่งรออยู่ในห้องอาหาร กลิ่นหอมอย่างที่คุ้นเคย และคำพูดที่แสนคุ้นเคย และรอยยิ้มอบอุ่น ไมเคิลพยายามไม่หลั่งน้ำตา ขณะที่จ้องหน้าผู้ให้กำเหนิดทั้งสองคน คำพูดที่เก็บในใจมาหลายปี ระบายออกมาเป็นครั้งแรก
....พ่อครับ แม่ครับ พ่อกับแม่ตายไปนานแล้ว อย่ามาหาผมอีกเลยครับ ผมรักพ่อกับแม่ แต่ไม่อยากให้พ่อกับแม่อยู่ที่นี่ ไปเถอะครับ ผมจะดูแลตัวเองให้ดี....
สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน กับรอยยิ้มเศร้าสุดสะท้านใจ
The End.