ย้อนไปเมื่อ 30 ปี ก่อน
เราเป็นตุ๊ดหัวเกรียนเทียนไข ซึ่งเป็นพ่อเป็นช่างไม้ แม่เป็นช่างปูน ทำงานรับเหมาก่อสร้างและย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ
จนย้ายมารับงานก่อสร้างที่ นาเกลือ จ.ชลบุรี ซึ่งจะเป็นซอยโรงเจ
แน่นอนแหละ ตุ๊ดหัวโปกกระโหลกกะลา ใครจะอยากมาเป็นเพื่อนด้วย
ตอนนั้น เราเรียนอยุ่ ป.6 ซึ่งเรียนที่โรงเรียนสัตหีบวิทยาคม ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
จนวันหนึ่ง ก็มีเด็กชาย ร่างอ้วนคนหนึ่ง ซึ่งบ้านของเราจะอยู่ตรงตรอก ข้างๆ อพาร์ทเม้นต์ที่พ่อกับแม่เรากำลังก่อสร้างอยู่
เขามาทักทาย และคุยกับเรา ด้วยอัธยาศัยดี และเด็กชายร่างอ้วนคนนั้น แนะนำตัวเองว่า "อ้น"
จนวันแล้ว วันเล่า เด็กชายร่างอ้วนคนนั้น ก็ขึ้นมาเล่นกับเราทุกวัน ทุกหนึ่งทุ่ม จะขึ้นมาเล่นกับเราบนไซต์งานก่อสร้างแห่งนี้
และนั่นก็เป็นครั้งแรก ที่เด็กชายร่างอ้วนคนนี้ พาเราเข้า 7-11 ซึ่งจะอยู่ตรงลานโพธิ์นาเกลือ ตอนนั้นเรารู้สึกตื่นเต้นมาก
และทุกครั้งที่เด็กระแวกนั้นมาเรียกมาล้อเราว่าตุ๊ต เด็กชายร่างอ้วนคนนี้ ก็จะเข้ามาด่าทอ เด็กพวกนั้นทุกครั้งไป
จนเราสองคนเริ่มสนิทกันมากขึ้น แล้ววันหนึ่ง เรารู้สึกว่าเรามีความสุขมาก เราขึ้นไปเล่นกันบนดาดฟ้า และนอนดูดาวข้างๆ กัน
เด็กชายร่างอ้วนคนนั้น ก้มลงไปมองความสูงของอาคาร และยื่นมือให้เราจับ เพื่อไม่ให้ตก นั่นเป็นครั้งแรก ที่เราได้จับมือกัน
คืนหนึ่ง....เด็กชายร่างอ้วนคนนั้น ขึ้นมาช้ากว่าทุกวัน ซึงเราก็รอ ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เด็กชายร่างอ้วนคนนั้นก็ขึ้นมา แน่นอน
เราก็พากันไปเล่นบนดาดฟ้าตึกเหมือนอย่างเคย
แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีคำถาม คำหนึ่ง ถามมาจากเด็กชายร่างอ้วนคนนั้น "ป้อม...ป้อมรักเราเหมือนเพื่อนหรือเหมือนแฟน"
แน่นอนแหละ เราสตั้นไปพักใหญ่ สำหรับเราแล้วนั้น เราอยากตอบมากว่า รักเหมือนแฟนสิ แต่ใจมันต้องห้ามปาก
และไม่อาจตอบคำว่ารักเหมือนแฟนออกไปได้ เราตอบไปด้วยน้ำเสียงปกติ "ก็รักเหมือนเพื่อนนะสิ"
เท่านั้นแหละ....เด็กชายร่างอ้วนคนนั้น ก็วิ่งลงจากตึก และหลังจากที่ได้คำตอบจากเราไป เขาก็ไม่เคยขึ้นมาเล่นกับเราอีกเลย
และทุกวัน เขาต้องเดินผ่านตรอกข้างอพาร์ทเม้นต์ที่เราพักเป็นแค้มป์อยู่ เราโผล่ไปที่หน้าต่างเพื่อดักรอ และพยายามเรียกเขา
แต่เขาก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน
จนถึงวันที่เราต้องย้ายแค้มป์ เพื่อตามพ่อแม่ไปทำงานที่อื่น เราไม่มีโอกาสแม้จะได้บอกคำลา หรือแม้แต่จะพูดว่าเราจะย้ายที่อยู่แล้วก็ไม่มี
สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือ เราเอากระดาษไปแปะตรงตรอกตรงนั้น ซึ่งมีใจความว่า "อ้น...เราย้ายแล้วนะ ขอโทษนะ และไม่รู้ว่าอ้นโกรธเราเรื่องอะไร"
ซึ่งเราก็หวังว่า ข้อความที่เราแปะกระดาษไว้ตรงตรอก อ้นจะได้อ่าน และได้รับรู้มัน
ผ่านมาก็นอน....แต่ความรู้สึกของวันนั้น จนถึงวันนี้ มันยังฝังลึกอยู่ในใจเราเรื่อยมา
จนตอนนี้ เราย้ายมาอยู่ศรีราชา และพยายามตามหาเด็กชายอ้วนคนนั้น
และในที่สุด เราก็รู้ว่า เขาอยู่แถวศรีราชาเหมือนกัน แต่แต่งงานมีลูก มีเมียไปเรียบร้อยแล้ว
หากข้อความนี้มันได้แชร์ออกไป เราอยากจะขอบคุณ เด็กชายร่างอ้วนคนนั้น ที่ทำให้เราได้เข้า 7-11 เป็นครั้งแรกในชีวิต
อยากจะขอบคุณเด็กชายร่างอ้วนคนนั้น ที่ไม่รังเกลียดเด็กก่อสร้างอย่างเรา
และอยากจะขอบคุณเด็กชายร่างอ้วนคนนั้น ที่เป็นเพื่อนกับเราเพียงคนเดียว ตลอดระยะเวลา 6 เดือน ที่เราอยู่แค้มป์คนงานกับพ่อและแม่
ถ้ววันนี้...เราแค่อยากบอกว่า "คิดถึงนะเด็กชายร่างอ้วนคนเดิม" คนที่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในวัยเด็กแม้เป็นเพียงเพื่อนที่เข้ามาในชีวิตในระยะเวลาอันสั้น
ป้อม...ลูกเด็กก่อสร้าง
คำถาม....ป้อมรักเราเหมือนเพื่อนหรือเหมือนแฟน
เราเป็นตุ๊ดหัวเกรียนเทียนไข ซึ่งเป็นพ่อเป็นช่างไม้ แม่เป็นช่างปูน ทำงานรับเหมาก่อสร้างและย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ
จนย้ายมารับงานก่อสร้างที่ นาเกลือ จ.ชลบุรี ซึ่งจะเป็นซอยโรงเจ
แน่นอนแหละ ตุ๊ดหัวโปกกระโหลกกะลา ใครจะอยากมาเป็นเพื่อนด้วย
ตอนนั้น เราเรียนอยุ่ ป.6 ซึ่งเรียนที่โรงเรียนสัตหีบวิทยาคม ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
จนวันหนึ่ง ก็มีเด็กชาย ร่างอ้วนคนหนึ่ง ซึ่งบ้านของเราจะอยู่ตรงตรอก ข้างๆ อพาร์ทเม้นต์ที่พ่อกับแม่เรากำลังก่อสร้างอยู่
เขามาทักทาย และคุยกับเรา ด้วยอัธยาศัยดี และเด็กชายร่างอ้วนคนนั้น แนะนำตัวเองว่า "อ้น"
จนวันแล้ว วันเล่า เด็กชายร่างอ้วนคนนั้น ก็ขึ้นมาเล่นกับเราทุกวัน ทุกหนึ่งทุ่ม จะขึ้นมาเล่นกับเราบนไซต์งานก่อสร้างแห่งนี้
และนั่นก็เป็นครั้งแรก ที่เด็กชายร่างอ้วนคนนี้ พาเราเข้า 7-11 ซึ่งจะอยู่ตรงลานโพธิ์นาเกลือ ตอนนั้นเรารู้สึกตื่นเต้นมาก
และทุกครั้งที่เด็กระแวกนั้นมาเรียกมาล้อเราว่าตุ๊ต เด็กชายร่างอ้วนคนนี้ ก็จะเข้ามาด่าทอ เด็กพวกนั้นทุกครั้งไป
จนเราสองคนเริ่มสนิทกันมากขึ้น แล้ววันหนึ่ง เรารู้สึกว่าเรามีความสุขมาก เราขึ้นไปเล่นกันบนดาดฟ้า และนอนดูดาวข้างๆ กัน
เด็กชายร่างอ้วนคนนั้น ก้มลงไปมองความสูงของอาคาร และยื่นมือให้เราจับ เพื่อไม่ให้ตก นั่นเป็นครั้งแรก ที่เราได้จับมือกัน
คืนหนึ่ง....เด็กชายร่างอ้วนคนนั้น ขึ้นมาช้ากว่าทุกวัน ซึงเราก็รอ ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เด็กชายร่างอ้วนคนนั้นก็ขึ้นมา แน่นอน
เราก็พากันไปเล่นบนดาดฟ้าตึกเหมือนอย่างเคย
แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีคำถาม คำหนึ่ง ถามมาจากเด็กชายร่างอ้วนคนนั้น "ป้อม...ป้อมรักเราเหมือนเพื่อนหรือเหมือนแฟน"
แน่นอนแหละ เราสตั้นไปพักใหญ่ สำหรับเราแล้วนั้น เราอยากตอบมากว่า รักเหมือนแฟนสิ แต่ใจมันต้องห้ามปาก
และไม่อาจตอบคำว่ารักเหมือนแฟนออกไปได้ เราตอบไปด้วยน้ำเสียงปกติ "ก็รักเหมือนเพื่อนนะสิ"
เท่านั้นแหละ....เด็กชายร่างอ้วนคนนั้น ก็วิ่งลงจากตึก และหลังจากที่ได้คำตอบจากเราไป เขาก็ไม่เคยขึ้นมาเล่นกับเราอีกเลย
และทุกวัน เขาต้องเดินผ่านตรอกข้างอพาร์ทเม้นต์ที่เราพักเป็นแค้มป์อยู่ เราโผล่ไปที่หน้าต่างเพื่อดักรอ และพยายามเรียกเขา
แต่เขาก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน
จนถึงวันที่เราต้องย้ายแค้มป์ เพื่อตามพ่อแม่ไปทำงานที่อื่น เราไม่มีโอกาสแม้จะได้บอกคำลา หรือแม้แต่จะพูดว่าเราจะย้ายที่อยู่แล้วก็ไม่มี
สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือ เราเอากระดาษไปแปะตรงตรอกตรงนั้น ซึ่งมีใจความว่า "อ้น...เราย้ายแล้วนะ ขอโทษนะ และไม่รู้ว่าอ้นโกรธเราเรื่องอะไร"
ซึ่งเราก็หวังว่า ข้อความที่เราแปะกระดาษไว้ตรงตรอก อ้นจะได้อ่าน และได้รับรู้มัน
ผ่านมาก็นอน....แต่ความรู้สึกของวันนั้น จนถึงวันนี้ มันยังฝังลึกอยู่ในใจเราเรื่อยมา
จนตอนนี้ เราย้ายมาอยู่ศรีราชา และพยายามตามหาเด็กชายอ้วนคนนั้น
และในที่สุด เราก็รู้ว่า เขาอยู่แถวศรีราชาเหมือนกัน แต่แต่งงานมีลูก มีเมียไปเรียบร้อยแล้ว
หากข้อความนี้มันได้แชร์ออกไป เราอยากจะขอบคุณ เด็กชายร่างอ้วนคนนั้น ที่ทำให้เราได้เข้า 7-11 เป็นครั้งแรกในชีวิต
อยากจะขอบคุณเด็กชายร่างอ้วนคนนั้น ที่ไม่รังเกลียดเด็กก่อสร้างอย่างเรา
และอยากจะขอบคุณเด็กชายร่างอ้วนคนนั้น ที่เป็นเพื่อนกับเราเพียงคนเดียว ตลอดระยะเวลา 6 เดือน ที่เราอยู่แค้มป์คนงานกับพ่อและแม่
ถ้ววันนี้...เราแค่อยากบอกว่า "คิดถึงนะเด็กชายร่างอ้วนคนเดิม" คนที่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในวัยเด็กแม้เป็นเพียงเพื่อนที่เข้ามาในชีวิตในระยะเวลาอันสั้น
ป้อม...ลูกเด็กก่อสร้าง