[กระทู้ระบาย] พี่หรือเรากันแน่ที่เกินไปคะ

เราเป็นลูกคนกลางค่ะ มีพี่สาวที่อายุห่างกันไม่ถึง5ปี และน้องชายที่อายุห่างกันถึง10ปี พี่และน้องของเราชอบเล่นเกมทั้งคู่ ในขณะที่เราก็ชอบเล่นเหมือนกัน แต่จะเป็นเกมที่จบในด่านสั้นๆ หรือเกมเด็กๆ ไม่ใช่เกมที่ต้องนั่งเล่นทั้งวัน หรือต้องเติมเกม ซื้อไอเทมอะไรพวกนี้ ทำให้เราไม่ค่อยเข้าใจเกมเท่าไหร่ เราชอบอ่านหรือดูการ์ตูน หรือรายการวาไรตี้ตลกๆมากกว่า และจะเป็นคนเงียบๆ ชอบเก็บอะไรไว้ในใจเสมอเลยกลายเป็นความเก็บกด น่าแปลกที่เราเป็นกับคนในบ้านแต่ไม่เป็นแบบนี้กับคนอื่นเลย
          พี่สาวเรา บอกตรงๆว่าเราค่อนข้างอิจฉาค่ะ เพราะเขาได้ไปเรียนต่อตปท. ได้ประสบการณ์ ได้ภาษา ได้ออกไปใช้ชีวิต ได้กิน เที่ยว สังสรรค์กับเพื่อน แล้วปิดเทอมก็กลับมาเยี่ยมบ้านแป็บนึงแล้วก็ออกไปอยู่บ้านแฟน ไกล้เปิดเทอมก็กลับมาบ้านมาอยู่แป็บนึงและก็เก็บกระเป๋าออกไปสนามบิน ไปเรียน และก็วนลูปอย่างนั้นจนพี่เรียนจบกลับมาไทย มาหาบริษัท และบอกบริษัทแถวบ้านเราไม่ค่อยดี แล้วก็ดั้นด้นไปหาสมัครงานไกลๆบ้าน ไปอยู่หอ และทำได้สักพักก็ลาออก ไปหาที่ใหม่ และย้ายออกจากหอไปอยู่บ้านแฟนกลับมาเยี่ยมบ้านนานๆที พอทำได้1ปีก็ออกช่วงโควิด และมาลงทุนเปิดร้านกับแฟนแถวๆบ้านแฟน ทำไปสักพักนึงร้านอยู่ไม่ได้ขายไม่ออกก็ปิด(เราเดาผลได้ตั้งแต่ได้ยินว่าจะเปิดแล้ว)
          กับน้องชายเรา ไม่รู้กรรมเก่าหรือไง ตอนเด็กๆเรามักทะเลาะตีกันกับพี่สาว(เราเป็นฝ่ายโดนตี) พอโตมาก็ต้องมาวุ่นๆกับน้องอีก น้องชายเราเกิดและโตมาตอนที่พ่อและแม่กำลังจะก้าวเข้าวัยทองแล้วค่ะ เขาเลยไม่ค่อยอยากจะมาอะไรมาก และอาจจะไม่ค่อยได้คอยดูแลน้องสักเท่าไหร่นัก แถวบ้านก็ไม่ค่อยมีเด็ก ทำให้น้องเราไม่ค่อยมีเพื่อนวัยเดียวกัน และอยู่ติดกับบ้าน เพราะแม่เราก็ออกไปทำงาน (ตอนนี้เราอยู่ห้องคอนโดขนาด 40 ตร.ม. กับแม่และน้องชาย พ่อของเราออกไปทำงานที่ตปท.เมื่อตอนเราอยู่ม.ปลาย และพี่เราก็อย่างที่เราเล่าในย่อหน้าที่2) ขณะที่เราก็โตแล้วและก็ต้องออกไปทำงานเช่นกัน ที่ทำงานเราห่างจากบ้านและต้องนั่งรถเมล์ไป เพราะเราขับรถไม่เป็นและไม่มีใบขับขี่ และเลิกงานกว่าจะกลับถึงบ้านก็2-3ทุ่ม เพราะเราไม่นั่งรถเมล์ช่วง5-6โมง เราเมารถหนัก จึงสมัครใจที่จะนั่งทำงานต่อจนฟ้ามืด(เราทำงานบัญชีที่สำนักงานบัญชี งานเยอะ แต่ไม่มีเงินโอที) ทำให้น้องชายเราใช้เวลาอยู่กับคอม แท๊ปเล็ตมาตั้งแต่จำความได้ และยิ่งโตยิ่งติดเกมหนักขึ้นๆ ไปปรามก็ไม่ฟัง งานบ้านคือถ้าไม่พูดก็ไม่ทำ ยิ่งโตเข้าวัยรุ่นคือนอกจากล้างจานที่เราบอกให้ทำโดยเราแบ่งให้ทำเป็นกลางวันเราล้าง กลางคืนน้องล้าง และซักถุงเท้านักเรียนและถุงเท้าแม่(ตอนหลังแม่แยกของแม่ไปซักเองเพราะน้องซักไม่สะอาด) น้องก็แทบไม่ทำอะไรเลย และเวลาแม่จะให้ทำงานบ้านอะไรให้แม่มักให้เราทำมากกว่า บอกว่าเราเป็นผู้หญิง น้องเป็นผู้ชาย(ในใจเรามองว่าไม่เกี่ยวอ่ะ จะมาแบ่งเพศอย่างนี้) ซึ่งเราก็ไม่ได้บ่นอะไรมากมาย ให้ทำก็ทำ แต่เป็นเรื่องที่เราพูดอะไรไปน้องก็ไม่ฟัง ทำให้เราไม่ถูกกับน้อง และค่อนจะอคติ ทำให้ช่วงที่เราเรียนจบทำงานนี้เราไม่คุยกับน้องเลย(เรามองว่าน่าจะเพราะต่างวัยต่างความชอบด้วยล่ะค่ะ)
          ช่วงนี้เราคุยกับแม่ค่ะว่าเราจะออกไปอยู่ข้างนอก ซึ่งที่เราคิดคือเราอยากออกไปเช่าหออยู่แถวๆที่ทำงานค่ะ เราอยากมีพื้นที่เป็นของตัวเอง และอยากลองใช้ชีวิต ทำอะไรที่ตัวเองอยากทำแต่อยู่บ้านเลยทำไม่ได้ ลองรับผิดชอบตัวเองให้ได้ เราคิดมาตั้งแต่เด็กแล้ว บวกกับช่วงนี้ที่เราไม่ถูกกับน้องและไม่คุยกับน้องมันทำให้เราอึดอัดเวลาอยู่บ้าน แต่น่าแปลกที่เราไม่อึดอัดเลยเวลาอยู่ข้างนอกหรือพบเจอผู้คน เราคุยๆกับแม่ไปก็ได้ข้อสรุปว่าแม่จะให้ห้องที่แม่ปล่อยให้คนเช่า(คอนโดเดียวกันกับที่เราอยู่กับแม่และน้องตอนนี้ แต่คนละมุมตึก) รอให้เขาย้ายออกแล้วแม่จะให้เราไปอยู่ เราก็เลยโอเค เพราะตามจริงคือแม่เราเปิดห้องให้คนเช่า ไม่ค่อยได้กำไรจากการให้คนเช่าห้อง บางคนมาเช่าอยู่ซักพักไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า ติดไว้นานๆและสุดท้ายก็ขนข้าวของหนีไป(เป็นที่แม่เราก็ใจดีด้วยล่ะค่ะ คิดค่าเช่าถูกๆ คิดมัดจำเดือนเดียว บางคนเห็นท่าทางลำบากก็ให้อยู่ไม่คิดมัดจำซะอีก ถือว่าช่วยๆกัน ยิ่งเป็นญาติมาเช่าห้องแล้วทำผนังห้องปรุเป็นรอยกว้างๆ แม่ก็ไม่คิดค่าเสียหายอีก และมาบ่นให้เราฟังทีหลังตอนที่บอกจะให้ห้องกับเรา) เลยคิดว่าให้เราอยู่ดีกว่า อย่างน้อยแม่ไม่ได้ค่าเช่า แต่เราจะรับผิดชอบค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วนกลางเองแน่นอน และบวกกับแม่บอกเราว่าแม่ไม่สบายใจถ้าเราจะออกไป เราเลยกะว่าจะอยู่ๆห้องไปก่อน แล้วค่อยคิดย้ายไปอีกทีในอนาคต
เราคุยกับแม่ได้แล้ว ถึงจะดูแม่ไม่แฮปปี้เท่าไหร่ และเราก็มาเจอกับพี่สาวต่อ พี่สาวเราเหมือนจะเข้าใจนะคะ หรือเป็นเราคิดเองว่าเขาไม่เข้าใจ คิดว่าน่าจะเกิดจากการที่เราไปบ่นเรื่องน้องให้เขาฟังบ่อยๆค่ะ เรามองว่าน้องเข้ากับพี่ได้ดีกว่าเรา พี่น่าจะปรามน้องได้มากกว่าเรา เราบ่นว่าน้องไม่ช่วยงานบ้าน และช่วงนี้เราก็บอกเขาว่าจะออกไปอยู่ข้างนอก พี่สาวเราได้ยินแรกๆก็เล่าถึงความลำบากต่างๆนานาของการออกไปอยู่ข้างนอกให้เราฟัง ช่วงนั้นเราเครียดมากก็สวนไปว่าแล้วทำไมพี่ถึงไม่กลับมาอ่ะ แล้วก็คุยๆกันไป(เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น) หลังๆพี่เราก็สนับสนุนเรื่องการออกไปอยู่ข้างนอกของเรา เรื่องนี้ก็จบไปรอแค่คนเช่าย้ายออกเท่านั้น(เรายอมรับว่าถึงตัวเป็นผู้ใหญ่ แต่ใจเรายังเด็กนักค่ะ)
สี่ย่อหน้าข้างบนเราเล่าระบายเฉยๆค่ะ ไม่ต้องอ่านก็ได้นะคะ
          พี่สาวเราเธอไม่ค่อยอยู่บ้าน ตั้งแต่เรียนจบก็ไปอยู่บ้านแฟนค่ะ มีช่วงนี้ที่กลับมาอยู่บ้าน(พาแฟนมาด้วย แฟนผู้หญิง พี่สาวเราเป็นทอมค่ะ นิสัยห้าวๆ) มาถึงก็มาคุยกับน้อง และเราเรื่องงานบ้าน คร่าวๆคือจากที่เราไลน์ไประบายเรื่องน้องให้ฟังเรื่องน้องเล่นแต่เกม ไม่ทำงานบ้านที่บอกให้ทำ และพูดบอกอะไรก็ไม่ฟัง พี่ของเราก็เลยมาพูดกับน้อง(ทั้งบ้านมีแค่พี่เราแหล่ะที่น้องฟัง) และจะให้น้องรับผิดชอบตัวเองซักผ้า(ใช้เครื่องซักผ้า และตากผ้าเอง) และล้างจาน ที่แรกเริ่มเราแบ่งกับน้องเป็นช่วง ช่วงกลางวันเราล้างจาน-ช่วงกลางคืนน้องชายเราล้างจาน เปลี่ยนเป็นให้เรากับน้องล้างจานของใครของมันทุกช่วง แต่จานของแม่ก็แบ่งช่วงกลางวัน-กลางคืนเหมือนเดิม แต่เราฟังแล้วมองว่าอย่างไรปกติเราก็เป็นคนดูแลบ้านตลอดอยู่แล้ว อาจจะไม่สม่ำเสมอ หรือมีสกปรกบ้าง แต่คือน้องก็แทบไม่มีส่วนร่วมในการดูแลบ้านด้วยเลย เป็นเราที่มักจะใช้ช่วงเวลาว่าง อย่างวันหยุดสุดสัปดาห์ เสาร์-อาทิตย์ ที่ไม่มีใครนอกจากเราอยู่บ้าน(เราชอบทำงานช่วงที่ไม่มีใครอยู่บ้าน เพราะสงบดี) ในการกวาดถูบ้าน และเก็บข้าวของที่วางระเกะระกะภายในบ้าน แล้วเวลาแม่จะวานให้ใครทำอะไรให้คนนั้นก็มักจะเป็นเราเสมอ เราเลยคิดว่าควรให้งานล้างจานเป็นของน้องไปเลย ไม่ต้องแบ่งช่วงแล้ว แต่จานแก้วของเรา เราจะเป็นคนล้างเอง พี่สาวเราได้ยินเราไปบอกน้องชายให้ล้างจาน เดินมาว่าเรา และถามเราว่าวันๆเราทำอะไรบ้าง ทำไมบ้านรก ทำไม... บลาๆๆๆ แล้วก็จัดการพูดแบ่งหน้าที่ชัดเจนเสร็จสรรพ น้องชายมีหน้าที่ล้างจาน และนำเสื้อผ้าของตัวเองใส่เครื่องซักผ้าและตาก ส่วนเรามีหน้าที่ดูแลบ้านทุกอย่าง ต้องปัดกวาดเช็ดถูบ้านทุกวัน ซักผ้าของแม่และเรา กรอกน้ำ เอาขยะออกไปทิ้งฯลฯ (คือเราฟังๆพี่ตั้งแต่ต้นแล้วเราก็รู้ว่าพี่หมายความว่าจะให้เราทำความสะอาดบ้านทุกวันแต่ต้น แต่เขามาบ่นๆให้รู้สึกว่าเราแย่มาก แล้วให้เราตกลงเอง เขาไม่ฟังเลยว่าเราเป็นไง)ซึ่งเราฟังแล้วรู้เลยว่าเราคงทำอย่างนั้นไม่ได้ทุกวัน เราเลิกงานกลับบ้านก็ดึกแล้ว เราเลี้ยงนก เรากลับมาบ้านเหนื่อยๆ เราก็แค่เปิดกรงปล่อยนกที่ต้องอยู่ในกรงมาทั้งวัน ออกมาบิน และเราก็เล่นกับมันสักพัก ดูน้ำ ดูอาหาร กวาดพื้นเรียบร้อย ก็เก็บนกแล้วไปอาบน้ำนอน ทุกวันจะเป็นอย่างนั้น แต่เราไม่อยากต่อปากต่อคำก็เลยเออออไปไม่ได้พูดไร 
          แล้ววันทำงานเรา เราก็ไปทำงานกลับดึกปกติ เราสังเกตว่าพี่จะจ้องเราอยู่ตลอด แล้ววันหนึ่ง ปกติตอนเย็นเรายังกลับไม่ถึงบ้าน แม่เราจะเอาผ้าเข้าเครื่องซัก 2 วันครั้งโดยประมาณ เพราะแม่จะมีเสื้อผ้าใส่ไปทำสวนและทำงานเลยค่อนข้างเยอะ และเสื้อผ้าหมดเร็ว เรามักจะต้องรอจนกว่าผ้าจะซักเสร็จแล้วก็ไปตากในคืนนั้น หรือถ้าหลับไปก่อนก็จะตื่นมาตากผ้าในตอนเช้าตรู่ แต่มาวันนั้นแม่รอเรากลับมาถึงบ้านและให้เราเอาเสื้อผ้าที่เราใส่ไป ณ วันนั้นเข้าไปซักด้วย เราง่วงเลยกะจะตากตอนเช้า ปรากฏว่าเราดันตื่นสาย ไม่ได้ตากผ้า แม่เราเลยวานให้พี่สาวตากผ้าให้ พี่สาวขานรับแบบไม่พอใจสุดๆ เราไปทำงานและเมื่อเรากลับมา พี่เราตากผ้า แต่เหลือเสื้อผ้าของเราใส่ตะกร้าไว้ให้ เราก็ตากผ้าของเราไปไม่คิดอะไร เพราะเราคิดว่าเราก็คงทำอย่างนี้เหมือนกัน วันนั้นพี่เราเรียกเรามาคุยมาว่าเรา ถามเราว่าที่เราบอกจะทำความสะอาดบ้านปัดกวาดเช็ดถูทุกวัน(เราไม่ได้บอก)น่ะ ทำได้มั้ย เราบอกทำได้แต่ไม่ทุกวัน เรากวาดได้ แต่ถ้าเป็นเก็บบ้าน ปัดถูบ้านทุกวันน่ะ ทำไม่ได้(บ้านเรา แม่เรามักจะวางของทั้งของใช้ ของกิน ของทำสวนไว้เกะกะค่ะ แถมทิ้งไม่ได้ด้วยนะ ตู้เย็นคือรกมากค่ะ มีอยู่วันหนึ่งที่เราดันเกิดขยันขึ้นมา เราไปรื้อตู้เย็นออกมาล้างค่ะ ที่เราเห็นคือของบางอย่างภายในตู้เย็นนั้นหมดอายุมานานแล้ว บางอย่างเราเห็นมันมาตั้งแต่เราเด็กคือขวดน้ำหอมที่น้ำหอมเหลืออยู่ครึ่งขวด อันนี้เราไม่ทิ้งเพราะมันอยู่มานาน แม่คงมีเหตุผลที่ไม่ทิ้งมันนั่นแหละ และก็ยังมีขวดครีมที่พอดูวันหมดอายุก็พบว่ามันหมดอายุมาเป็นปีสองปีแล้ว พวกนี้เราทิ้งเลย พอเอาพวกของหมดอายุ ของบูดออกจากตู้เย็นหมด ตู้เย็นโล่งเลยค่ะ เราก็เช็ดล้างทำความสะอาดตู้เสร็จสรรพ พอแม่กลับมาถึงบ้าน แทนที่เราจะได้คำชม ดันได้คำด่ายิ่งกว่าตอนที่เราไม่ทำเสียอีก เพราะเราดันไปทิ้งพวกปุ๋ย เซรั่มของแม่ ปุ๋ยก็คือพวกของบูด ของหมดอายุอย่างนมบูด แม่เราคงกะทำปุ๋ยชีวภาพ ส่วนเซรั่มแม่เราก็เอามาใส่บรรจุในหลอดครีมที่หมดอายุ เราไม่รู้ก็เลยทิ้งไป หลังจากนั้นคือเราไม่คิดแตะพวกของอะไรต่อมิอะไรของแม่เลยค่ะ เพราะเราคงไม่มานั่งวีดีคอลหาแม่เวลาจะทำอะไรกับของของแม่ตลอดหรอกนะ แล้วไหนจะน้องที่กินตรงไหนทิ้งตรงนั้นอีก) พวกปัดกวาดเช็ดถู เก็บของนี่เราจะทำอาทิตย์ละครั้งค่ะ เราอธิบายถึงชีวิตทำงานของเรา เวลาไป-กลับบ้าน และช่วงนี้พี่สาวอยู่บ้านก็น่าจะเห็นแน่นอนว่าเรากลับดึกทุกวัน พี่สาวเหมือนฟังค่ะ แต่เปล่าเรารู้สึกว่าพี่สาวมานั่งพูดบ่นและถามเรานี่ มีคำตอบอยู่ในใจที่อยากให้เราตอบอยู่แล้วคือการที่เราจะรับปากว่าเรากลับมาบ้าน ไม่สนว่าจะเหนื่อยแค่ไหน แล้วปัดกวาดเช็ดถูบ้านทุกวัน บ้านต้องสะอาดทุกวัน เราโมโหค่ะ พี่สาวเราเป็นอย่างนี้ตลอดคือมักจะมาพูดเหมือนจะเสนอทางเลือกให้แต่ก็มีคำตอบในใจ เหมือนจะหวังดีแต่ก็เป็นการผลักภาระมาให้ ถ้าเกิดเราตอบคำถามตรงใจแก แกจะรีบตกลงแล้วไปทันที แต่ถ้าเราตอบไม่ตรงใจก็จะพูดกดดันเราอยู่อย่างนั้น ชักแม่น้ำทั้งห้ามาจนกว่าเราจะรำคาญแล้วเออออมาเองตอบคำถามตรงใจแก เราเลยเลือกนั่งฟังแกเงียบๆเท่านั้น ไม่ตอบอะไร ช่วงที่เรานั่งเงียบอยู่เรามองไปที่พื้น เหลือบตามองพวกของที่ระเกะระกะภายในบ้าน แล้วก็คิดเราไปทำงานทุกวันและกลับดึกเหนื่อย พี่สาวเราเขาก็อยู่ว่างๆนะ เขาคิดว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านเขาแล้วใช่ไหม โอเค เราว่าเราเข้าใจนะ เราพยายามจะเข้าใจ พี่สาวเราเขาออกจากบ้านมีชีวิตของตัวเอง เขามองว่าตัวเองเป็นแขก งานบ้านพวกนี้แม้เขาจะอยู่ว่างๆเขาจะไม่ทำ เขาไม่ทำเราไม่ว่านะ สิทธิของเขา แต่เขาก็ไม่ควรจะมาว่าเราไหม ถ้าเขาก็แค่ปล่อยเอาไว้ เขาจะดูหนัง เล่นเกมก็ทำไป เดี๋ยวเราก็ทำเอง
          เรางงว่าพี่หรือเรากันแน่ที่เกินไป กระทู้ระบายค่ะ ระบายยาวเฟื้อยเลย พิมพ์ลงMicrosoft Word ได้สองหน้าครึ่งแหน่ะค่ะ ถ้าใครอดทนอ่านได้จนถึงบรรทัดนี้ คุณเก่งมากค่ะ ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านเรื่องระบายในใจเรานะคะ ขอบคุณค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่