อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ ๒
[๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ
ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ
ด้วยเหตุ ๒ ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ
ย่อมบัญญัติอัตตาและโลก ว่าเกิดขึ้นลอยๆ ด้วยเหตุ ๒ ประการ?
===แบบที่-1=====
๑๗. (๑) ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อว่าอสัญญีสัตว์มีอยู่ ก็และเทวดาเหล่านั้น ย่อมจุติจากชั้นนั้น
เพราะความเกิดขึ้นแห่งสัญญา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้น แล้วมาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว
ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น
อาศัยความประกอบ เนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่น
แห่งจิต ย่อมตามระลึกถึงความเกิดขึ้นแห่งสัญญาได้ เบื้องหน้าแต่นั้นไประลึกมิได้ เขากล่าว อย่างนี้ว่า
อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ. ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะข้าพเจ้าเมื่อก่อนไม่ได้มีแล้ว เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้านั้นมี.
เพราะมิได้น้อมไปเพื่อความเป็นผู้สงบแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะ ที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิว่า
อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ.
====แบบที่-2=====
[๔๔] ๑๘. (๒) อนึ่ง ในฐานะที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า
อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด เขากล่าวแสดง
ปฏิภาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้อย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ.
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว
มีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ.
-----------------------
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์มีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ
ย่อมบัญญัติ อัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ ด้วยเหตุ ๒ ประการนี้แล.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือ พราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า
อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ ย่อมบัญญัติอัตตาและโลก ว่าเกิดขึ้นลอยๆ
สมณพราหมณ์พวกนั้นทั้งหมดย่อมบัญญัติด้วยเหตุ ๒ ประการนี้เท่านั้น
หรือแต่ อย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากนี้ไม่มี.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้น แล้ว
ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด
ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น ก็ทราบความเกิดขึ้น ความดับไป
คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนา เหล่านั้นตามความ เป็นจริง
จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้
ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง
ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.
https://etipitaka.com/read/thai/9/26/
สรุป..<----ผมอาจจะสรุปไม่ถูกต้องนัก ...ถ้าจะแสดงความเห็น..ก็โปรดแสดงความเห็นในลักษณะที่วิญญูชนพึงกระทำ
1. ทิฏฐิที่ว่า " อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ " <---มันก็คือ... อัตตาตัวตน..และ..โลกนี้...มันไม่ได้มีเหตุเกิด
อยู่ดีๆมันก็มีขึ้นมา ซึ่งอันนี้ขัดกับหลัก " ปฏิจจสมุปปาทสมุทยวาร ---ที่แสดงการเกิดขึ้นของอัตตา---และโลก
คือ อัตตา..และโลก..มันมีเหตุเกิด มันเกิดมีเพราะเหตุและปัจจัย... ไม่ใช่มันเกิดขึ้นมาเองลอยๆ
2. ผู้ที่มีความคิดเห็นว่า " อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ " ---พระศาสดาท่านกล่าวว่ามันเป็นไปได้ที่จะมีผู้จุติจาก
...อสัญญีสัตว์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่ไม่มีสัญญา---หรือไม่มีความจำนั่นเอง... คือจำไม่ได้ระลึกไม่ได้ว่า...
ตนเคยมีมาก่อนการเป็น..อสัญญีสัตว์ แต่เมื่อมาเกิดเป็นคนแล้ว..กระทำสมาธิได้เจโตสมาธิ...แต่ก็ละลึกได้แค่
ตอนที่..สัญญาเกิด--คือ..เมื่อสัญญาเกิดมันก็จุติจากอสัญญีสัตว์..แล้วมาเกิดเป็นคน... ไม่สามารถระลึกชาติก่อนหน้า
..จนเป็นอสัญญีสัตว์ได้ <----พวกนี้ก็เลยคิดว่า...เราพึ่งมามีเอาตอนนี้..เอง
ทั้งๆที่ก่อนหน้าก็เป็น " สัตว์ที่เวียนว่ายในวัฏฏะมาช้านาน "
3. ส่วน..อีกกลุ่มคนที่ไปคิดว่า " อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ " <---ก็เป็นเพียงนักคิด...ไม่มีอะไร
4. อันนี้เป็นคำของพระศาสดา....
"......สัตว์พวกหนึ่งไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เหมือนเทวดาผู้เป็นอสัญญีสัตว์ นี้เป็น สัตตาวาสชั้นที่ ๕ ฯ..."
5. อันยี้เป็นคำของพระส่รีบุตรที่สรรเสริญพระศาสาด..
" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัตว์ทั้งหลายที่มีชาติอันไม่อาจนับได้ด้วยวิธีคำนวณ หรือวิธีนับ ก็ยังมีอยู่
แม้ภพซึ่งเป็นที่ๆ เขาเคยอาศัยอยู่ คือรูปภพ อรูปภพ สัญญีภพ อสัญญีภพ เนวสัญญีนาสัญญีภพ
[ที่ไม่อาจนับได้] ก็ยังมี ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน ได้หลายประการ
พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นธรรมที่เยี่ยม ในฝ่ายบุพเพนิวาสานุสติญาณ ฯ "
6. " อสญฺญีสตฺตา " --- ผู้ยึดติตที่ไร้สัญญา <--- ผมจำได้คร่าวๆว่า เกิดจากผู้ที่มีความเห็นว่า...
ความทุกข์ทั้งหลายนั้น มันก็เนื่องจากเรามีความจำ(สัญญา)...หากเราไม่มีความจำแล้ว
ความจำที่เป็นทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้น <---เพราะฉนั้น..พวกเขา
พวกเขาจึงปฏิบัติไปสู่ความไร้สัญญา... เมื่อกายแตกทำลายก็เข้าสู่...อสัญญีสัตว์..เป็นผู้ไร้สัญญา(ความจำ)...
แต่เมื่อถึงอายุไขมันก็คลายความไม่มีสัญญาลง...สัญญาเกิดขึ้นก็จุติ..จากสัตวนิกายนั้น
(...อันนี้จำมา..ผมยังหาพระสูตรไม่เจอ....ใครมีข้อมูลเสริม..ก็ยินดี ครับ...)
ทิฏฐิ62..ตอน-6 : อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ ๒ .....มีความเห็นว่า " อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ "
อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ ๒
[๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ
ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ
ด้วยเหตุ ๒ ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ
ย่อมบัญญัติอัตตาและโลก ว่าเกิดขึ้นลอยๆ ด้วยเหตุ ๒ ประการ?
===แบบที่-1=====
๑๗. (๑) ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อว่าอสัญญีสัตว์มีอยู่ ก็และเทวดาเหล่านั้น ย่อมจุติจากชั้นนั้น
เพราะความเกิดขึ้นแห่งสัญญา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้น แล้วมาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว
ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น
อาศัยความประกอบ เนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่น
แห่งจิต ย่อมตามระลึกถึงความเกิดขึ้นแห่งสัญญาได้ เบื้องหน้าแต่นั้นไประลึกมิได้ เขากล่าว อย่างนี้ว่า
อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ. ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะข้าพเจ้าเมื่อก่อนไม่ได้มีแล้ว เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้านั้นมี.
เพราะมิได้น้อมไปเพื่อความเป็นผู้สงบแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะ ที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิว่า
อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ.
====แบบที่-2=====
[๔๔] ๑๘. (๒) อนึ่ง ในฐานะที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า
อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด เขากล่าวแสดง
ปฏิภาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้อย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ.
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว
มีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ.
-----------------------
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์มีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ
ย่อมบัญญัติ อัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ ด้วยเหตุ ๒ ประการนี้แล.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือ พราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า
อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ ย่อมบัญญัติอัตตาและโลก ว่าเกิดขึ้นลอยๆ
สมณพราหมณ์พวกนั้นทั้งหมดย่อมบัญญัติด้วยเหตุ ๒ ประการนี้เท่านั้น
หรือแต่ อย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากนี้ไม่มี.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้น แล้ว
ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด
ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น ก็ทราบความเกิดขึ้น ความดับไป
คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนา เหล่านั้นตามความ เป็นจริง
จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้
ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง
ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.
https://etipitaka.com/read/thai/9/26/
สรุป..<----ผมอาจจะสรุปไม่ถูกต้องนัก ...ถ้าจะแสดงความเห็น..ก็โปรดแสดงความเห็นในลักษณะที่วิญญูชนพึงกระทำ
1. ทิฏฐิที่ว่า " อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ " <---มันก็คือ... อัตตาตัวตน..และ..โลกนี้...มันไม่ได้มีเหตุเกิด
อยู่ดีๆมันก็มีขึ้นมา ซึ่งอันนี้ขัดกับหลัก " ปฏิจจสมุปปาทสมุทยวาร ---ที่แสดงการเกิดขึ้นของอัตตา---และโลก
คือ อัตตา..และโลก..มันมีเหตุเกิด มันเกิดมีเพราะเหตุและปัจจัย... ไม่ใช่มันเกิดขึ้นมาเองลอยๆ
2. ผู้ที่มีความคิดเห็นว่า " อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ " ---พระศาสดาท่านกล่าวว่ามันเป็นไปได้ที่จะมีผู้จุติจาก
...อสัญญีสัตว์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่ไม่มีสัญญา---หรือไม่มีความจำนั่นเอง... คือจำไม่ได้ระลึกไม่ได้ว่า...
ตนเคยมีมาก่อนการเป็น..อสัญญีสัตว์ แต่เมื่อมาเกิดเป็นคนแล้ว..กระทำสมาธิได้เจโตสมาธิ...แต่ก็ละลึกได้แค่
ตอนที่..สัญญาเกิด--คือ..เมื่อสัญญาเกิดมันก็จุติจากอสัญญีสัตว์..แล้วมาเกิดเป็นคน... ไม่สามารถระลึกชาติก่อนหน้า
..จนเป็นอสัญญีสัตว์ได้ <----พวกนี้ก็เลยคิดว่า...เราพึ่งมามีเอาตอนนี้..เอง
ทั้งๆที่ก่อนหน้าก็เป็น " สัตว์ที่เวียนว่ายในวัฏฏะมาช้านาน "
3. ส่วน..อีกกลุ่มคนที่ไปคิดว่า " อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ " <---ก็เป็นเพียงนักคิด...ไม่มีอะไร
4. อันนี้เป็นคำของพระศาสดา....
"......สัตว์พวกหนึ่งไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เหมือนเทวดาผู้เป็นอสัญญีสัตว์ นี้เป็น สัตตาวาสชั้นที่ ๕ ฯ..."
5. อันยี้เป็นคำของพระส่รีบุตรที่สรรเสริญพระศาสาด..
" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัตว์ทั้งหลายที่มีชาติอันไม่อาจนับได้ด้วยวิธีคำนวณ หรือวิธีนับ ก็ยังมีอยู่
แม้ภพซึ่งเป็นที่ๆ เขาเคยอาศัยอยู่ คือรูปภพ อรูปภพ สัญญีภพ อสัญญีภพ เนวสัญญีนาสัญญีภพ
[ที่ไม่อาจนับได้] ก็ยังมี ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน ได้หลายประการ
พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้เป็นธรรมที่เยี่ยม ในฝ่ายบุพเพนิวาสานุสติญาณ ฯ "
6. " อสญฺญีสตฺตา " --- ผู้ยึดติตที่ไร้สัญญา <--- ผมจำได้คร่าวๆว่า เกิดจากผู้ที่มีความเห็นว่า...
ความทุกข์ทั้งหลายนั้น มันก็เนื่องจากเรามีความจำ(สัญญา)...หากเราไม่มีความจำแล้ว
ความจำที่เป็นทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้น <---เพราะฉนั้น..พวกเขา
พวกเขาจึงปฏิบัติไปสู่ความไร้สัญญา... เมื่อกายแตกทำลายก็เข้าสู่...อสัญญีสัตว์..เป็นผู้ไร้สัญญา(ความจำ)...
แต่เมื่อถึงอายุไขมันก็คลายความไม่มีสัญญาลง...สัญญาเกิดขึ้นก็จุติ..จากสัตวนิกายนั้น
(...อันนี้จำมา..ผมยังหาพระสูตรไม่เจอ....ใครมีข้อมูลเสริม..ก็ยินดี ครับ...)