ว่าด้วยเรื่อง การยุยงปลุกปั่น

กระทู้สนทนา
ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองมานานว่า เราจะรู้ตัวเราเองได้อย่างไรว่ากำลังถูกยุยงปลุกปั่นหรือถ้ารุนแรงมากก็คือถูกล้างสมอง ผมตอบคำถามนี้ไม่ได้เลย เพราะผมเชื่อว่าไม่ว่าจะฟังอะไร ผมย่อมรับฟังด้วยเหตุด้วยผล ผมใช้การวิเคราะห์และวิจารณญาณในสิ่งที่ผมรับฟังเสมอ เพราะผมเป็นคนมีความรู้ มีการศึกษา มีประสบการณ์ชีวิต ไม่ใช่เชื่ออะไรง่ายๆ (ซึ่งทุกคนก็คิดเหมือนผม จึงไม่มีใครคิดหรือรู้ตัวว่าตัวเองกำลังถูกยุยงปลุกปั่น) จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุการณ์บุกรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ที่ผ่านมา ทำให้คำอธิบายบางอย่างผุดขึ้นมาในสมองผม และพอจะสรุปเบื้องต้นได้ว่า

“เมื่อไรก็ตาม ที่เรารับข้อมูลข่าวสารจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งหรือหลายแหล่งที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่องและยาวนานในระดับหนึ่ง แล้วทำให้เรารู้สึก ”เกลียด” บุคคลที่สามที่ถูกกล่าวถึงจากแหล่งข้อมูลข่าวสารนั้น ในระดับที่เรียกว่าไม่อยากได้ยินชื่อ เมื่อนั้น เรากำลังถูกยุยงปลุกปั่น และหากความเกลียดนี้ มีมากจนถึงระดับที่เราอยากให้บุคคลที่สามที่ถูกกล่าวถึงนั้น หายไปจากโลก หรือพร้อมตายเพื่อให้สิ่งเลวร้าย (คนหรือกลุ่มที่ถูกกล่าวถึง) หายไปจากโลกจริง ๆ เราอาจอยู่ในสภาวะถูกล้างสมอง”

และการยุยงปลุกปั่นนี้ ไม่ใช่มีเพียงเพื่อให้เกิดความเกลียดเท่านั้น แต่ยังกระทำเพื่อให้เกิด “ความรัก” อย่างหัวปักหัวปำได้อีกด้วย ซึ่งหากเราถูกยุยงปลุกปั่นจนกระทั่งเกิดความรักต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างชนิดตายแทนได้ เราอาจอยู่ในสภาวะถูกล้างสมอง

และกระบวนการนี้ อาจกระทำกันในระดับระหว่างประเทศ เพื่อทำให้เกิดการเกลียดชังประเทศใดประเทศนึงเป็นการเฉพาะก็ได้

ความที่ว่า เป็นความคิดที่อยู่ดี ๆ ก็ผุดขึ้นมา ผมก็เลยลองทดสอบกับคนรอบตัวบางคนว่าเห็นด้วยหรือไม่กับคำอธิบายนี้ หลังจากที่ถกเถียงกันอยู่พักหนึ่ง ก็ได้คำตอบว่าเห็นด้วย และผมยังเกิดข้อคิดเพิ่มเติมในระหว่างการถกเถียงและตอบคำถามว่า เราสามารถทดสอบได้ว่าถูกยุยงปลุกปั่นให้ “เกลียด” หรือ “รัก” ด้วยการโต้แย้งกันด้วยหลักวิทยาศาสตร์ หรือหลักวิชาการอื่น ๆ ที่เป็นที่ยอมรับกันโดยสากล และข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ได้จากแหล่งที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับ  เราจะพบว่า ในที่สุด คนที่กำลังถูกยุยงปลุกปั่นจะไปต่อไม่ได้ และต้องยอมจำนนด้วยเหตุด้วยผล (เพราะเค้ามักจะใช้ข้อมูลที่ได้รับการยอมรับโดยฝ่ายเดียว และไม่ยอมรับข้อมูลจากอีกฝ่ายนึง มาใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูลที่ถูกยอมรับโดยฝ่ายเดียว จึงกลายเป็นเครื่องมือของการยุยงปลุกปั่นไป)

และเมื่อเราสามารถวัดได้ว่า เรากำลังถูกยุยงปลุกปั่นอยู่หรือไม่ ผมก็คิดต่อว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ไม่ถูกยุยงปลุกปั่น ผมก็ได้คำตอบที่คิดเอาเองว่า ถ้าหากเรารับข้อมูลข่าวสารจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งหรือหลายแหล่งที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่องและยาวนานในระดับหนึ่ง แล้วทำให้เรารู้สึก “เข้าใจ” บุคคลที่สามที่ถูกกล่าวถึงจากแหล่งข้อมูลข่าวสารนั้น ว่าทำไมเขาจึงทำแบบนั้น และรู้สึก “ไม่เกลียดมาก” “ไม่รักมาก” (เพราะคงบอกว่าไม่มี “ไม่ชอบ” และ ไม่มี “ชอบ” เลยไม่ได้) แต่ “กลาง ๆ” เมื่อนั้น เราไม่ถูกยุยงปลุกปั่น

หลังจากได้บรรลุความจริงในเบื้องต้นนี้แล้ว ผมรู้สึกสบายใจขึ้น เพราะเริ่มมั่นใจว่า ต่อไป ผมจะรู้ตัวเองได้อย่างไรว่ากำลังถูกยุยงปลุกปั่น และ เราจะแก้ไขยังไง ถ้าเราตกอยู่ในสภาวะนั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่