ถังที่หนึ่ง นำเงินก้อนนั้นไปลงทุนในบัญชีเงินฝากในธนาคารสิไม่เสี่ยง อยากใช้จ่ายเมื่อไหร่ก็สะดวก แถมยังสามารถได้ดอกเบี้ยด้วยนะ... ที่ว่าไม่เสี่ยงนี่จริงหรือครับ เกิดวันหนึ่งธนาคารที่คุณไปฝากเงินไว้ประกาศล้มละลายขึ้นมา เงินในบัญชีของคุณจะปลอดภัยหรือเปล่า และที่ว่าสะดวกในการใช้จ่ายนั้น มันมีข้อดีหรือข้อเสียมากกว่ากันนะ ยิ่งสมัยนี้การโอนเงินถอนเงินเป็นอะไรที่สามารถทำได้โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึง 1 นาที ไม่สิไม่ถึง30วินาทีด้วยซ้ำ ผมเลยมองว่ายิ่งใช้สะดวกเงินยิ่งออกจากกระเป๋าตังของเราไวขึ้นด้วย อีกข้อหนึ่งที่สำคัญคือ ใส่เงินในธนาคารเนี่ยได้ดอกเบี้ยฟรีๆด้วย ใช่ครับได้ดอกเบี้ยฟรีๆ แต่อย่าลืมว่าทุกๆปีนั้นมีการเพิ่มขึ้นของค่าเงินหรือที่เราเรียกกันว่าค่าเงินเฟ้อ ค่าเงินเฟ้อเป็นอย่างไรนะ? ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ ผมเคยฟังตายายเล่าว่าเมื่อก่อนนั้นก๋วยเตี๋ยวชามละไม่ถึง1บาทเอง ซึ่งพอผมอายุประมาณ10กว่าปี(พ.ศ.2552) ก๋วยเตี๋ยวก็ราคาประมาณ 20-30 บาทแล้ว ซึ่งในปัจจุบันปี 2563 ก๋วยเตี๋ยวราคาอยู่ที่ระหว่าง40-60 บาทแล้วนะครับ ซึ่งหมายความว่าเมื่อก่อนเงิน100บาท สามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวได้4-5ถ้วย แต่เดี๋ยวนี้กลับซื้อได้แค่1ถ้วยครึ่งซะแล้ว
ซึ่งอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3% /ปี แต่ดอกเบี้ยธนาคารให้ได้มากสุดประมาณ2% เท่านั้น
ลองคำนวณคร่าวๆนะครับ สมมุติเรามีเงิน 1 ล้านบาท ไปฝากในบัญชีธนาคารไว้เป็นเวลา1 ปี ซึ่งได้ดอกเบี้ยปีละ2%(หายากมากนะครับสำหรับดอกเบี้ยขนาดนี้555)จะได้ผลตอบแทนเท่ากับ 2หมื่นบาท ดูเหมือนจะดีใช่มั้ยครับที่วางเงินไว้เฉยๆและได้กลับมาตั้ง2หมื่นแหนะ แต่อย่าลืมจากที่ผมบอกไปนะครับว่าค่าเงินเฟ้อมันตั้ง3% หรือคิดเป็น 3หมื่นจาก 1 ล้านเลยนะครับ ซึ่งมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากอีก ขาดทุนครับแบบนี้55555 .....อย่าพึ่งรีบตัดสินใจไปครับลองมาดูถังอีกใบก่อนว่ามันดีกว่าหรือแย่กว่านี้กันนะ
ถังใบที่สอง เป็นการนำเงินก้อนนั้นไปลงทุนในหลักทรัพย์หรือที่เราเรียกกันว่าหุ้นนั่นเอง หรือการนำเงินไปลงในกองทุนรวมมาดูที่ตัวแรกเลยนะครับที่ หลักทรัพย์หรือหุ้น
-หลักทรัพย์หรือหุ้นนั้นคุณจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัททที่คุณไปลงทุนโดยตรง ซึ่งมีจุดเด่นที่ได้ผลตอบแทนสูงซึ่งคุณมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่า100% ต่อปีเลยถ้าหากบริษัทที่คุณไปลงทุนเติบโตอย่างมากในปีนั้น ซึ่งแน่นอนว่าความเสี่ยงก็สูงเช่นกัน ความเสี่ยงที่กล่าวมาเช่น ถ้าหากบริษัทที่คุณไปลงทุนไว้ประกาศล้มละลายเงินลงทุนของคุณจะกลายเป็น 0 ทันทีในชั่วพริบตาเดียว
-กองทุน กองทุนมีให้เลือกมากมายหลากหลายประเภท เช่น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนรวมตราสารทุนหรือกองทุนรวมต่างประเทศ เป้นต้น
กองทุนตราสารหนี้ เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นนำเงินในกองทุนไปลงทุนในพันธบัตรรับบาลหรือหุ้นกู้เอกชน จุดเด่นเลยคือมีเสี่ยงต่ำและสภาพคล่องสูง
กองทุนรวมตราสารทุน เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นนำเงินในกองทุนไปลงทุนในหุ้นของบริษัทต่างๆตามที่กองทุนกำหนด จุดเด่นของกองทุนประเภทนี้คือ มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงและบางกองทุนมีนโยบายปันผลเพื่อเพิ่มสภาพคล่องระหว่างทาง
กองทุนรวมต่างประเทศ กองทุนนี้จะมุ่งเน้นนำเงินในกองทุนไปลงทุนในหุ้นของบริษัทต่างประเทศในแต่ละบริษัทและแต่ ละประเทศที่กองทุนกำหนดไว้ จุดเด่นของกองทุนนี้คือโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง
แล้วผลตอบแทนที่จะได้ได้จากไหนหรือ...?
ผลตอบแทนของกองทุนหรือหุ้นนั้นมีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. ผลตอบแทนจากการปันผล
ข้อดี คือ มีสภาพคล่องระหว่างทางให้กับผู้ถือหุ้น
ข้อเสีย คือ ในทุกครั้งที่มีการปันผลมูลค่าของหน่วยลงทุนจะลดลงทำให้การเติบโตของกองทุนหรือหุ้นนั้นช้ามาก
2. กำไรส่วนเกินจากมูลค่าหน่วยลงทุน
ข้อดี คือ มูลค่าของหุ้นหรือกองทุนนั้นสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ข้อเสีย คือ สภาพคล่องต่ำ
ความเสี่ยง
แน่นอนว่าผลตอบแทนที่สูงขึ้น ความเสี่ยงก็จะยิ่งสูงขึ้นด้วย ในส่วนของหลักทรัพย์หรือหุ้นนั้นจะมีความเสี่ยงตามแต่บริษัทที่เราไปลงทุนและเราเองนั้นจะต้องเป็นผู้ประเมิณความเสี่ยงเองอีกด้วย
ส่วนกองทุนนั้นทาง บลจ.หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จะมีเกณฑ์ความเสี่ยงให้ผู้สนใจลงทุนประเมิณความเสี่ยงของตนเองก่อนเริ่มลงทุน (จะมีให้ทำตอนสมัครเปิดบัญชี)
สำหรับผู้ที่อ่านบทความนี้จบแล้วยังมีข้อสงสัยหรืออยากลองศึกษาเพิ่มเติมสามารถเข้าไปหาข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ของ SETหรือMorningstar ได้เลย.... และสำหรับใครที่คิดว่าพร้อมแล้วสำหรับการเริ่มลงทุนก็สามารถติดต่อเปิดกองทุนหรือหลักทรัพย์ได้ที่ธนาคารทุกธนาคารและตัวแทนต่างๆได้เลยครับ สุดท้ายนี้ผมอยากทิ้งประโยคไว้สักหนึ่งประโยคคือ
“ ใครที่สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ไว ผู้นั้นย่อมมีอิสรภาพในชีวิตที่เร็วขึ้น”
ปล.บทความนี้เป็นบทความที่ผมเขียนตามประสบการณ์ของตัวเอง เพียงหวังว่าจะสามารถทำให้พี่ๆหรือเพื่อนๆเห็นความแตกต่างระหว่างการนำเงินไปฝากธนาคารกับนำเงินไปลงทุน แบบไหนเหมาะกับตัวเองและคุ้มค่ามากกว่ากัน
เงินที่มีในกำมือ.....ใส่ถังใบไหนคุ้มค่ากว่ากัน ?
ซึ่งอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3% /ปี แต่ดอกเบี้ยธนาคารให้ได้มากสุดประมาณ2% เท่านั้น
ลองคำนวณคร่าวๆนะครับ สมมุติเรามีเงิน 1 ล้านบาท ไปฝากในบัญชีธนาคารไว้เป็นเวลา1 ปี ซึ่งได้ดอกเบี้ยปีละ2%(หายากมากนะครับสำหรับดอกเบี้ยขนาดนี้555)จะได้ผลตอบแทนเท่ากับ 2หมื่นบาท ดูเหมือนจะดีใช่มั้ยครับที่วางเงินไว้เฉยๆและได้กลับมาตั้ง2หมื่นแหนะ แต่อย่าลืมจากที่ผมบอกไปนะครับว่าค่าเงินเฟ้อมันตั้ง3% หรือคิดเป็น 3หมื่นจาก 1 ล้านเลยนะครับ ซึ่งมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากอีก ขาดทุนครับแบบนี้55555 .....อย่าพึ่งรีบตัดสินใจไปครับลองมาดูถังอีกใบก่อนว่ามันดีกว่าหรือแย่กว่านี้กันนะ
ถังใบที่สอง เป็นการนำเงินก้อนนั้นไปลงทุนในหลักทรัพย์หรือที่เราเรียกกันว่าหุ้นนั่นเอง หรือการนำเงินไปลงในกองทุนรวมมาดูที่ตัวแรกเลยนะครับที่ หลักทรัพย์หรือหุ้น
-หลักทรัพย์หรือหุ้นนั้นคุณจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัททที่คุณไปลงทุนโดยตรง ซึ่งมีจุดเด่นที่ได้ผลตอบแทนสูงซึ่งคุณมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่า100% ต่อปีเลยถ้าหากบริษัทที่คุณไปลงทุนเติบโตอย่างมากในปีนั้น ซึ่งแน่นอนว่าความเสี่ยงก็สูงเช่นกัน ความเสี่ยงที่กล่าวมาเช่น ถ้าหากบริษัทที่คุณไปลงทุนไว้ประกาศล้มละลายเงินลงทุนของคุณจะกลายเป็น 0 ทันทีในชั่วพริบตาเดียว
-กองทุน กองทุนมีให้เลือกมากมายหลากหลายประเภท เช่น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนรวมตราสารทุนหรือกองทุนรวมต่างประเทศ เป้นต้น
กองทุนตราสารหนี้ เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นนำเงินในกองทุนไปลงทุนในพันธบัตรรับบาลหรือหุ้นกู้เอกชน จุดเด่นเลยคือมีเสี่ยงต่ำและสภาพคล่องสูง
กองทุนรวมตราสารทุน เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นนำเงินในกองทุนไปลงทุนในหุ้นของบริษัทต่างๆตามที่กองทุนกำหนด จุดเด่นของกองทุนประเภทนี้คือ มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงและบางกองทุนมีนโยบายปันผลเพื่อเพิ่มสภาพคล่องระหว่างทาง
กองทุนรวมต่างประเทศ กองทุนนี้จะมุ่งเน้นนำเงินในกองทุนไปลงทุนในหุ้นของบริษัทต่างประเทศในแต่ละบริษัทและแต่ ละประเทศที่กองทุนกำหนดไว้ จุดเด่นของกองทุนนี้คือโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง
แล้วผลตอบแทนที่จะได้ได้จากไหนหรือ...?
ผลตอบแทนของกองทุนหรือหุ้นนั้นมีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. ผลตอบแทนจากการปันผล
ข้อดี คือ มีสภาพคล่องระหว่างทางให้กับผู้ถือหุ้น
ข้อเสีย คือ ในทุกครั้งที่มีการปันผลมูลค่าของหน่วยลงทุนจะลดลงทำให้การเติบโตของกองทุนหรือหุ้นนั้นช้ามาก
2. กำไรส่วนเกินจากมูลค่าหน่วยลงทุน
ข้อดี คือ มูลค่าของหุ้นหรือกองทุนนั้นสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ข้อเสีย คือ สภาพคล่องต่ำ
ความเสี่ยง
แน่นอนว่าผลตอบแทนที่สูงขึ้น ความเสี่ยงก็จะยิ่งสูงขึ้นด้วย ในส่วนของหลักทรัพย์หรือหุ้นนั้นจะมีความเสี่ยงตามแต่บริษัทที่เราไปลงทุนและเราเองนั้นจะต้องเป็นผู้ประเมิณความเสี่ยงเองอีกด้วย
ส่วนกองทุนนั้นทาง บลจ.หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จะมีเกณฑ์ความเสี่ยงให้ผู้สนใจลงทุนประเมิณความเสี่ยงของตนเองก่อนเริ่มลงทุน (จะมีให้ทำตอนสมัครเปิดบัญชี)
สำหรับผู้ที่อ่านบทความนี้จบแล้วยังมีข้อสงสัยหรืออยากลองศึกษาเพิ่มเติมสามารถเข้าไปหาข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ของ SETหรือMorningstar ได้เลย.... และสำหรับใครที่คิดว่าพร้อมแล้วสำหรับการเริ่มลงทุนก็สามารถติดต่อเปิดกองทุนหรือหลักทรัพย์ได้ที่ธนาคารทุกธนาคารและตัวแทนต่างๆได้เลยครับ สุดท้ายนี้ผมอยากทิ้งประโยคไว้สักหนึ่งประโยคคือ
“ ใครที่สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ไว ผู้นั้นย่อมมีอิสรภาพในชีวิตที่เร็วขึ้น”
ปล.บทความนี้เป็นบทความที่ผมเขียนตามประสบการณ์ของตัวเอง เพียงหวังว่าจะสามารถทำให้พี่ๆหรือเพื่อนๆเห็นความแตกต่างระหว่างการนำเงินไปฝากธนาคารกับนำเงินไปลงทุน แบบไหนเหมาะกับตัวเองและคุ้มค่ามากกว่ากัน