[Review] Klaus 2019 หนังที่จะละลายหิมะเย็นยะเยือกในหัวใจของคุณ ให้กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง

เป็นภาพยนตร์ช่วงเทศกาลคริสมาสต์ตั้งแต่ปี 2019 แต่เพิ่งมีโอกาสได้ดูเมื่อวานนี้
เพื่อนเปิดให้ดูตอนฉลองกันช่วงปีใหม่ บอกว่าต้องดูนะ อบอุ่นหัวใจมาก
ไม่ได้คาดหวังอะไรขนาดนั้น แต่ประทับใจมาก และยังรู้สึกอบอุ่นที่ได้ดูเรื่องนี้อยู่เลย
(เรื่องนี้ยังเป็นประเด็นดราม่าในงานออสการ์ หลายเสียงมีความเห็นตรงกันว่า Toy Story 4 ไม่ควรได้ เพราะเรื่องนี้ดีกว่ามาก)

สามารถรับชมเรื่องนี้ได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ใน Netflix นะคะ

มาดูรีวิวในความคิดเห็นของเรากันค่ะ

 

Klaus เริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องของ เจสเปอร์ บุรุษไปรษณีย์ฝึกหัดคนหนึ่ง เขามีนิสัยเกียจคร้าน เห็นแก่ตัว ติดหรูติดสบาย สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาชะล่าใจไม่ยอมพัฒนาตัวเอง เพราะพ่อของเขาเป็นถึงเจ้าของธุรกิจส่งไปรษณีย์ เขาจึงคิดว่าเขาไม่ต้องทำอะไรมาก เขาก็มีเงินใช้แบบสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก จนพ่อของเจสเปอร์ทนความเกียจคร้านของลูกตัวเองไม่ไหว จึงตัดสินใจส่งเจสเปอร์ไปฝึกงานในเมือง Smeerensburg เมืองที่ห่างไกล และไม่มีบุรุษไปรษณีย์คนใดทำงานที่นั่น (ยังมีเรื่องเล่าขานประมาณว่า บุรุษไปรษณีย์แต่ละคนก็อยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ทั้งเรื่องสภาพอากาศและสภาพแวดล้อม)


เมื่อเดินทางมาถึง Smeerensburg เจสเปอร์พบว่าเมืองนี้ไม่ต่างจากนรกบนดิน ทุกคนในเมืองทะเลาะวิวาทกันตลอดเวลา ถึงขั้นลงไม้ลงมือกันอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งสันติสุข นั่นเกิดจากในเมืองนี้แบ่งออกเป็น 2 ตระกูลซึ่งเป็นปรปักษ์กันมานานตั้งแต่จำความได้ ไม่มีใครพูดคุยกัน พวกเขาทำร้ายร่างกายกันตลอดเวลา และยังมีสภาพอากาศที่เหน็บหนาว สถาปัตยกรรมที่ล้าหลังผุพัง เด็กๆ ในเมืองไม่ได้เรียนหนังสือเนื่องจากพวกเขาคิดว่ามันไม่จำเป็น พวกเขาคิดว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องก้าวหน้า ไม่จำเป็นที่จะต้องเห็นอกเห็นใจกัน เพราะพวกเขาเกลียดกันเข้ากระดูกดำ อย่างที่เราพูดเอาไว้ข้างต้น


เจสเปอร์ถูกส่งตัวมาเพื่อทำหน้าที่ส่งจดหมายในเมืองแห่งนี้ และพ่อของเขายังตั้งเป้าหมายว่า ถ้าเขาไม่สามารถส่งจดหมายจำนวน 6,000 ฉบับได้ภายในระยะเวลา 1 ปี เขาจึงจะได้กลับบ้าน หากเขาเดินทางกลับมาก่อน หรือภารกิจล้มเหลว เขาจะถูกตัดหางออกจากครอบครัว ต้องใช้ชีวิตในสลัม ไม่มีความหรูหราในชีวิตอีกต่อไป ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ยากสำหรับเจสเปอร์มาก เพราะในเมืองที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ใครล่ะจะส่งจดหมายถึงกัน?

เจสเปอร์พยายามทำทุกวิถีทางเพื่ออ้อนวอนให้ชาวเมืองส่งจดหมาย ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยโดยตรง, การอ้อนวอน ซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าทุกซอกทุกมุมของเมือง Smeerensburg ถูกอัดแน่นไปด้วยความเกลียดชังจนแทบหายใจไม่ออก เขาล่อลวงเด็กคนหนึ่งที่ทำรูปวาดตัวเองหล่นลงมาให้ทำการส่งจดหมายแล้วเขาจะคืนภาพ แต่เขากลับโดนพ่อของเด็กคนนั้นขู่จนต้องวิ่งหนีกลับมาก่อน แม้แต่โรงเรียนในเมืองก็ถูกเปลี่ยนเป็นร้านขายปลาที่มีปลาเน่าแขวนอยู่เต็มไปหมด และคุณครูสาวประจำโรงเรียน เธอเคยมีใบหน้าที่งดงามและความมุ่งมั่น อัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณของครูไฟแรง แต่เมื่อเธอย้ายมาที่เมืองนี้ เธอประสบกับปัญหาภาวะเครียด พร่ำบอกกับตัวเองตลอดเวลาว่าอยากออกไปจากเกาะนี้ ไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีก เพราะไม่มีใครส่งลูกหลานตัวเองมาเพื่อเรียนหนังสือ ซ้ำยังถูกสังคมบีบให้ต้องเห็นแก่ตัว ไม่มีความเห็นอกเห็นใจใครอีกต่อไป


ในขณะที่เจสเปอร์กำลังสิ้นหวัง เขาไม่ได้รับจดหมายสักฉบับเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาพบว่ายังมีบ้านอีกหลังในเมืองที่เขายังไม่ได้ไปเยี่ยม นั่นก็คือบ้านของช่างไม้ที่อยู่ห่างไกลจากเขตชุมชนออกไป บ้านของเขาอยู่ลึกในป่าทึบ ต้องเดินทางไกลพอสมควรกว่าจะไปถึง เมื่อเจสเปอร์ไปถึง เขาพบว่าในบ้านหลังนั้นเต็มไปด้วยของเล่นนับพันชิ้น เขายังไม่ได้พบกับเจ้าของบ้านโดยตรง แต่เมื่อเห็นว่ามีชายร่างท้วมเดินถือขวานขนาดยักษ์ เจสเปอร์ก็สติแตก กลัวว่าตัวเองจะโดนฆ่า และรีบเดินทางกลับออฟฟิศที่ผุพังทันที เขาพร่ำบอกกับตัวเองว่าเขายังไม่อยากตายที่นี้ อยู่อย่างยากจนยังดีกว่าต้องเสี่ยงตายอยู่ที่นี่ทุกวัน แต่ในขณะที่เขากำลังควบรถม้าเพื่อกลับบ้าน ชายร่างท้วมที่เขาพบในบ้านของช่างไม้ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา พร้อมให้เขาไปส่งของขวัญ ปรากฏว่าเจสเปอร์เผลอทำรูปเด็กที่วาดรูปของตัวเองหล่นบริเวณบ้านของช่างไม้ ช่างไม้จึงตัดสินใจตามมา เพื่อทำการส่งของให้กับเด็กที่มีแววตาเศร้าสร้อยคนนั้น


หลังจากนี้ เราก็จะได้พบกับความอบอุ่นที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ในเมือง Smeerensburg ที่เต็มไปด้วยหิมะ
เนื้อเรื่องจะค่อยๆ ละลายความเยือกเย็นในหัวใจของชาวเมืองและคนดู ให้อบอุ่นขึ้น จนกลายเป็นหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก 
ส่วนตัวเราเป็นคนอินง่าย ร้องไห้ง่ายค่ะ ตั้งแต่ช่วงกลางของเรื่องเราก็น้ำตาไหลไม่หยุดเลย
ไม่ใช่น้ำตาที่ไหลออกมาเพราะความเศร้า แต่เป็นเพราะความอบอุ่นที่ได้จาก Klaus 
จากโทนหนังที่เต็มไปด้วยความทะมึน หนาวเย็นยะเยือกจนรู้สึกว่าไม่อยากดูต่อเพราะความเห็นแก่ตัวของชาวเมือง กลายมาเป็นหนังที่อบอุ่นจนทำให้คนดูร้องไห้ได้

แบ่งความชื่นชอบตามหัวข้อ
ลายเส้น - เป็นอนิเมชัน 2D อาจจะแปลกตาไปสักหน่อยในยุคที่อนิเมชันนิยมใช้ 3D กันอย่างแพร่หลาย แต่รู้สึกว่าเข้ากันกับเนื้อเรื่องเป็นอย่างดี
โทนสี - ชอบการใช้โทนสีของเรื่องมาก สามารถอธิบายบรรยากาศที่เกิดขึ้นในเมืองได้เป็นอย่างดี
เนื้อเรื่อง - พูดกันตามตรงว่าเดาง่ายนั่นแหละ แต่ความอบอุ่นของการดำเนินเนื้อเรื่อง และองค์ประกอบอื่น ทำให้รู้สึกประทับใจ
เพลงประกอบ - ชอบมาก ร้องไห้ตอนเพลงขึ้นทุกทีเลย อบอุ่นหัวใจมาก
สรุปแล้ว ให้ 10/10 เลยค่ะ สำหรับเรา

ขออนุญาตแปะลิงค์เพลงประกอบหนังนะคะ จริงๆ ในหนังน่าจะเป็นเวอร์ชันออเครสต้า
แต่อยากให้รับชมและรับฟังจากแชนแนลของนักร้องโดยตรงกันก่อนค่ะ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

เป็นหนังดีที่อยากให้ทุกคนดูจริงๆ สามารถดูได้ทุกวัยเลยค่ะ อาจจะมีฉากโหดร้ายเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แสดงออกชัดเจนขนาดนั้น
ช่วงนี้ยังอากาศหนาวอยู่ มาละลายความหนาวไปด้วยกันด้วย Klaus นะคะ

เขียนรีวิวได้ไม่กี่ครั้ง รอบนี้พยายามให้อ่านง่ายขึ้นและสรุปให้รวบรัดเพื่อความอ่านง่าย
สามารถติชมการเขียนได้เลยนะคะ จะนำไปปรับปรุงเพื่อให้รีวิวครั้งหน้าเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจมากขึ้นค่ะ ♥
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่