Apple ได้ทำการเปิดตัว iPhone 12 Series ทั้งหลากหลายรุ่นเช่น iPhone 12 / 12 Mini / 12 Pro / 12 Pro Max เรียกได้ว่าจัดเต็ม และครั้งนี้เราจัดรุ่นเทพ 12 Pro Max มาให้ชมกัน มาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR ที่ผลิตด้วยกระจก Ceramic Shield ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ของ Corning ที่ทนทานต่อการตกมากกว่าเดิมถึง 4x นอกจากนี้ตัวเครื่องยังกันน้ำและกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 ที่สามารถกันน้ำได้ 6 เมตรเป็นเวลา 30 นาที กล้องหลังมีจำนวน 3 ตัว กล้องมุมกว้าง 12MP และกล้อง Ultra-wide 12MP สำหรับ iPhone 12 Pro Max กล้องตัวที่สามจะใช้เป็นกล้องเทเลโฟโต้ 12MP เช่นเดียวกันแต่สามารถซูมแบบ optical ได้ 5x และทั้งคู่ยังมาพร้อมเซนเซอร์ LiDAR สำหรับตรวจจับความลึกเพื่อใช้งาน AR และถ่ายภาพ Night mode portrait ด้วย ยังรองรับการใช้เคสหรือแท่นชาร์จไร้สายผ่านแม่เหล็กที่ด้านหลังตัวเครื่อง โดยใช้ฮาร์ดแวร์ที่ชื่อว่า MagSafe ซึ่งสามารถชาร์จแบตได้โดยไม่ต้องถอดเคสได้ด้วย ถือว่าเป็นรุ่นที่มีการปรับเปลี่ยนอะไรหลากหลายอย่างมากขึ้นรวมถึงดีไซน์เหลี่ยม แต่ที่น่าเสียดายคือ ในกล่องนั้นไม่ได้แถม หูฟัง ไม่แถม Adaptor ชาร์จไฟมาให้แล้วแอบเสียดายอย่างมาก ในรุ่นนี้
Apple iPhone 12 Pro Max นั้นเป็นรุ่นที่จอใหญ่และสเปกแน่นที่สุดในบรรดาตระกูลนี้ มาพร้อมกับการใช้งาน CPU Apple A14 Bionic 5nm ตัวล่าสุดพร้อมกับคะแนนที่เร็วแรงเอาเรื่อง และใช้งานหน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว (2,778×1,284พิกเซล) รองรับ HDR, Dolby Vision, ใช้กระจก Ceramic Shield แต่น่าเสียดายว่ายังเป็น 60Hz ครับ ส่วนงานออกแบบก็เป็นแบบเดิมเป๊ะๆ พร้อมกับกล้องหลัง กล้องหลังมุมกว้าง 12MP (f/1.6) ที่รองรับ Sensor-shift OIS + กล้อง Ultra-wide 120 องศา 12MP (f/2.4) + กล้องเทเลโฟโต้ 12MP (f/2.2) สำหรับถ่าย portrait และซูมเข้าแบบ optical ได้ 5x,แบบ digital ได้ 12x และสามารถถ่ายภาพ Night mode portrait และจับระยะต่างๆได้ด้วยเซนเซอร์ LiDAR scanner อีกทั้ง กล้องหน้าก็ให้มาที่ 12MP เช่นกันพร้อมกับ FACE ID และเซนเซอร์ตรวจจับระยะต่างๆ แน่นอนว่ายังคง กันน้ำและกันฝุ่น IP68 แต่กันน้ำได้ลึกกว้ามาตรฐานทั่วไป พร้อมกับ ใช้งานลำโพงคู่ และ พอร์ตยังคงเป็น Lighting และจุดเด่นๆเลยคือการรองรับ 5G พร้อมใช้งาน ส่วนทางด้าน แบตเตอรี่ความจุ 3,687mAh รองรับการชาร์จไว 20W สูงสุดครับตัวนี้ ส่วนทางด้านงานออกแบบนั้นกลับไปใช้งานออกแบบเหลี่ยมๆตามสไตล์ยุคก่อนหน้าแต่เปลี่ยนวัสดุแบบใหม่ กล้องให้ใหญ่ขึ้น และ ขอบเครื่องแบบสแตนเลสขัดเงาสวยงามครับ และเท่าที่ทดสอบนั้นไม่เจออาการบาดมืออะไรนะครับตัวนี้
iPhone 12 Pro MAX เปิดราคามาที่ RAM 6GB 128GB 39,900 บาท // RAM 6GB 256GB 43,900 บาท // RAM 6GB 512GB 51,900 บาท
UNBOX
กล่องที่บางขึ้น สวยขึ้น ของน้อยลง ! ในรุ่นนี้เรียกได้ว่าเป็นที่ ฮือฮามากๆตัวนึงในการตัดหูฟังออกไป ไม่ให้มาในกล่องแล้ว รวมถึง ไม่มีที่ชาร์จ หรือ Adaptor ใส่เข้ามาให้แล้ว มีแค่สายแถมเข้ามาเท่านั้น และ สติกเกอร์เหลือ 1 ชิ้น โดยเป็นเหตุผลการรักษ์โลก จริงๆแอบฟังไม่ขึ้นถ้ามุมมองของแอดอยากให้ใช้งานได้หลากหลาย กล้าที่จะเปลี่ยนมาใช้งาน USB-C ให้เหมือนทุกคนน่าจะช่วยได้อีกเยอะกว่าหลายเท่าตัวครับ แอบขอบ่นนิดหน่อย และ สาย USB-C ไป Lighting ก็ใช้กับหัวแถมเก่าๆไม่ได้ด้วยนะ ต้องใช้หัวที่รองรับ USB-C แบบใหม่
- ตัวเครื่อง iPhone 12 Pro MAX
- สติกเกอร์ Apple
- สายชาร์จ USB-C ไป ยัง Lighting
- คู่มือ และ ที่จิ้มซิม
DESIGN
งานออกแบบมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ยุค iPhone 6 ไม่ใช่แค่หน้าจอหรือฝาหลังแต่ครั้งนี้เป็นการปรับมาใช้งานออกแบบเหลี่ยมๆแบบในยุค iPhone 4 – 5s อีกครั้งนึงเป็นการย้อนกลับไปในยุคคลาสสิกอีกครั้ง แน่นอนว่าแม้จะกลับไปดีไซน์เดิมแต่ก็เปลี่ยนแปลงวัสดุมาใช้สแตนเลสคล้ายกับรุ่น 11 Promax และเพิ่มสีน้ำเงินเข้ามาใหม่แน่นอนว่าการออกแบบเหลี่ยมๆทำให้แอบจับยากและถือยากเมื่อเทียบกับขนาดและน้ำหนักของมันอยู่บ้าง แต่ความสวยงามของตัวเครื่องหน้าหลังเรียบๆแบบนี้เป็นสิ่งที่ห่างหายไปนานมากๆสำหรับค่ายนี้ ส่วนงานประกอบสวยงามแน่นเช่นเดิม แต่น้ำหนักบอกเลยว่า แอบหนักในการถือใช้งานนานๆและเมื่อมีเคสยิ่งทำให้หนักกว่าค่ายอื่นๆแบบชัดเจน
ทางด้าน หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว (2,778×1,284พิกเซล) รองรับ HDR, Dolby Vision, ใช้กระจก Ceramic Shield เป็นกระจกที่แข็งแรงที่สุดของค่าย และขอบอะไรบางขึ้นเยอะมากไม่มีขอบโค้งอะไรทั้งนั้นเป็นหน้าจอแบบเรียบๆทั้งหมดก็ถือว่าสวยงามไปอีกแบบ แต่ดีไซน์ติ่งหน้าจอยังใหญ่และเกะกะมากๆ
ขอบด้านล่างค่ายนี้ยังคงทำได้บางเท่ากับส่วนอื่นๆและยังคงสวยงามอีกทั้งยิ่งได้หน้าจอแบบนี้ทำให้มันเรียบเนียนไปทั้งหมดสวยงาม และ ปุ่มการควบคุมเป็น Gesture ตามสไตล์ของค่ายนี้เช่นเดิมครับถือว่าเต็มหน้าจอใช้งานได้ดี
ขอบด้านบนนั้นจริงๆตำแหน่งติ่งหน้าจอยังคงใหญ่ เกะกะเช่นเดิมพร้อมกับกล้องหน้า 12MP และ ลำโพง รวมถึงเซนเซอร์ทั้งหมดในการใช้งาน สแกนใบหน้า 3 มิติ FACE ID รวมถึงเซนเซอร์ในการใช้งานด้านอื่นๆทั้งหมดครับ
ขอบเครื่องอย่างที่บอกไปนั้นจะเป็นขอบเงาสะท้อนแสงสวยงามทั้งหมด แต่เราจะถ่ายให้เห็นพอร์ตต่างๆมาให้เน้นชัดๆครับซึ่งของจริงจะเงาแบบกระจกเลยแต่จะเป็นสีน้ำเงิน ในด้านล่างนั้นจะเป็น รูไมค์ และ ลำโพงในด้านขวาครับ พร้อมกับยังคงใช้งาน Lighting และไม่ได้ปรับไปใช้งาน USB-C แบบ iPad ซะทีแอบน่าเสียดายมากๆครับ
ขอบเครื่องด้านซ้ายนั้นเราจะเห็นตัว Slider ที่เปิดกับปิดเสียงทื่เป็นเอกลักษณ์มานานมากๆของค่ายนี้ พร้อมกับ ปุ่มที่เป็นเพิ่ม ลด เสียง และ ถาดซิม 1 ซิมใส่เข้ามา และรองรับ eSIM ในตัวเครื่องมาให้เรียบร้อยสำหรับโมเดลไทย
ด้านขวานั้นจะเห็นว่าตัวเครื่องหน้าจอนั้นมีความเรียบแบนทั้งหมด ไม่มีส่วนโค้งนูนอะไรทั้งนั้นและมีปุ่ม Power เปิดปิดมาให้ในด้านขวาตัวเครื่อง พร้อมใช้งานและจะเห็นขีดเสาสัญญาณปกติครับ วัสดุขอบเป็นสแตนเลสปัดเงาทั้งหมด
ฝาหลังนั้นมาพร้อมกับสีน้ำเงินเข้มๆสวยงามเป็นการเล่นลวดลายวัสดุฝาหลังแบบด้านพร้อมกับพื้นผิวสัมผัสสวยงามเล่นกับแสงคล้ายกับกระจกฝ้าครับ ทำให้ค่อนข้างสวยเลยนะ คล้ายๆกับ 11 Pro แต่กล้องหลังใหญ่ขึ้น มีเซนเซอร์แทรกเข้ามามากขึ้นครับ และการวางกล้องหลักยังคงเป็นเม็ดไข่มุก 3 ก้อนอยู่ และ โลโก้ APPLE ตรงกลางเครื่องฝาหลังจริงๆถือว่าสวยและเรียบแต่น้ำหนัก ความเหลี่ยมของตัวเครื่องเป็นจุดที่อาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก มีน้ำหนัก 226 กรัมเลยทีเดียวตัวเครื่องเปล่าๆ แอบหนักไปจริงๆ งานออกแบบฝาหลังยังต่อยอดจากเดิมครับไม่หนีกัน
กล้องหลังนั้นเป็นจุดที่น่าบ่นจริงๆคึอการออกแบบ 3 เลนส์นูนแบบนี้แยกกันทำให้มันมีส่วนช่องว่างระหว่างเลนส์เยอะมากทำให้ฝุ่นเข้าไปเกาะได้ง่ายและเช็ดออกได้ยาก จริงๆน่าจะทำให้มีฝากระจกครอบแบบ 4 เหลี่ยมจะดีกว่าครับ ส่วนตรงกล้องนั้นจะเป็นวัสดุแบบเงาตัดกับฝาหลังได้ดี พร้อมกับแทรกเซนเซอร์ LiDAR เข้ามามุมขวาล่างและมีรูไมค์ ส่วนกล้องหลังนั้นมาพร้อมกับ 3 ตัว ความละเอียดเท่ากันทั้งหมด มุมกว้าง 12MP (f/1.6) ที่รองรับ Sensor-shift OIS + กล้อง Ultra-wide 120 องศา 12MP (f/2.4) + กล้องเทเลโฟโต้ 12MP (f/2.2) สำหรับถ่าย portrait และซูมเข้าแบบ optical ได้ 5x,แบบ digital ได้ 12x และสามารถถ่ายภาพ Night mode portrait ได้ด้วยเซนเซอร์ LiDAR scanner ในการจับระยะที่ดีมากขึ้นกว่าเดิม และ ปรับปรุงเซนเซอร์ให้ดีขึ้นด้วยครับ
SPEC
- หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว (2,778×1,284พิกเซล) รองรับ HDR, Dolby Vision, ใช้กระจก Ceramic Shield
- ชิปประมวลผล A14 Bionic 5nm
- RAM 6GB + ความจำ 128GB/256GB/512GB
- iOS 14
- กล้องหลังมุมกว้าง 12MP (f/1.6) ที่รองรับ Sensor-shift OIS + กล้อง Ultra-wide 120 องศา 12MP (f/2.4) + กล้องเทเลโฟโต้ 12MP (f/2.2) สำหรับถ่าย portrait และซูมเข้าแบบ optical ได้ 5x,แบบ digital ได้ 12x และสามารถถ่ายภาพ Night mode portrait ได้ด้วยเซนเซอร์ LiDAR scanner
- กล้องหน้าตรวจจับความลึก 12MP (f/2.2)
- รองรับ Face ID
- ขนาดตัวเครื่อง : 160.8 ×78.1×7.4มม.; น้ำหนัก 226 น้ำหนัก
- กันน้ำและกันฝุ่น IP68
- ใช้พอร์ต Lightning และลำโพง stereo
- รองรับเครือข่าย 5G (sub‑6 GHz), Gigabit-class LTE, Wi‑Fi 6 802.11ax, Bluetooth 5.0, NFC, GPS และ GLONASS
- แบตเตอรี่ความจุ 3,687mAh ที่สามารถใช้ได้ติดต่อกัน 20 ชั่วโมง
PERFORMANCE
ประสิทธิภาพแน่นอนว่ามาพร้อมกับ Apple A14 Bionic 5nm รองรับการทำงานระดับแรงๆได้สบายสามารถทำคะแนนไปได้ 566747 คะแนน Antutu พร้อมกับหน่วยความจำแบบ USF 3.0 การอ่านเขียนไปได้ 1600 และ 1400 เลยทีเดียว ส่วนคะแนน 3 มิติ การ์ดจอนั้นทำได้ดีเมื่อทดสอบกับ 3D MARK และ แน่นอนว่า NETFLIX รองรับความละเอียดสูงสุดพร้อมใช้งาน Dolby Vision HD เลยทีเดียวครับ สบายๆในเรื่องของสเปกและใช้งาน
SYSTEM UI
หน้าตากันบ้างสำหรับหน้าตาของ iOS 14 เป็นตัวล่าสุดที่ปล่อยออกมามีความคลีนสวยงามมากกว่าเดิม และใส่หน้าตาแบบ Widget เสริมเข้ามาในการตกแต่งหน้าจอให้มีความหลากหลายมากขึ้น เปลี่ยนได้เยอะมากๆครับ ไอคอนอะไรต่างๆได้ถูกพัฒนาให้ดูดีและใช้งานง่ายขึ้น การจัดวางดูดีสวยงามกว่าเดิมครับ แน่นอนว่าเป็น UI ที่อิงการใช้งานจากรุ่นเดิมๆมาโดยตลอดทำให้ผู้ใช้งานหลายๆคนนั้นไม่อยากขยับไปแบรนด์อื่น ส่วนอื่นๆนั้นไม่ต่างกันเลยครับ และการแจ้งเตือนยังคงไว้ใจได้และดีกว่ารุ่นอื่นๆแบบชัดเจนเมื่อเทียบกับ Android ด้วยกันนะถือว่าใช้งานสบายๆครับ
ในส่วนของการแจ้งเตือนก็เลื่อนลงมาจากข้างบนมุมซ้ายของเครื่องหรือติ่งหน้าจอปกติ และ ในส่วนของ Control Center นั้นจะเป็นการเลื่อนจากมุมขวาบนนะครับ สามารถปรับแต่งอะไรได้ปกติเลย ส่วนในการแบ่งหน้าจอนั้นยังไม่รองรับสำหรับ iPhone ส่วนหน้าการเคลียร์แอปนั้นยังไม่มีเคลียร์ทั้งหมดครับต้องปัดไปทีละแอปเหมือนเดิมเลยครับ
[SR] รีวิว iPhone 12 Pro Max ดีไซน์คลาสสิค A14 Bionic รองรับ 5G กล้องเทพขึ้นพร้อม LiDAR !
Apple ได้ทำการเปิดตัว iPhone 12 Series ทั้งหลากหลายรุ่นเช่น iPhone 12 / 12 Mini / 12 Pro / 12 Pro Max เรียกได้ว่าจัดเต็ม และครั้งนี้เราจัดรุ่นเทพ 12 Pro Max มาให้ชมกัน มาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR ที่ผลิตด้วยกระจก Ceramic Shield ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ของ Corning ที่ทนทานต่อการตกมากกว่าเดิมถึง 4x นอกจากนี้ตัวเครื่องยังกันน้ำและกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 ที่สามารถกันน้ำได้ 6 เมตรเป็นเวลา 30 นาที กล้องหลังมีจำนวน 3 ตัว กล้องมุมกว้าง 12MP และกล้อง Ultra-wide 12MP สำหรับ iPhone 12 Pro Max กล้องตัวที่สามจะใช้เป็นกล้องเทเลโฟโต้ 12MP เช่นเดียวกันแต่สามารถซูมแบบ optical ได้ 5x และทั้งคู่ยังมาพร้อมเซนเซอร์ LiDAR สำหรับตรวจจับความลึกเพื่อใช้งาน AR และถ่ายภาพ Night mode portrait ด้วย ยังรองรับการใช้เคสหรือแท่นชาร์จไร้สายผ่านแม่เหล็กที่ด้านหลังตัวเครื่อง โดยใช้ฮาร์ดแวร์ที่ชื่อว่า MagSafe ซึ่งสามารถชาร์จแบตได้โดยไม่ต้องถอดเคสได้ด้วย ถือว่าเป็นรุ่นที่มีการปรับเปลี่ยนอะไรหลากหลายอย่างมากขึ้นรวมถึงดีไซน์เหลี่ยม แต่ที่น่าเสียดายคือ ในกล่องนั้นไม่ได้แถม หูฟัง ไม่แถม Adaptor ชาร์จไฟมาให้แล้วแอบเสียดายอย่างมาก ในรุ่นนี้
Apple iPhone 12 Pro Max นั้นเป็นรุ่นที่จอใหญ่และสเปกแน่นที่สุดในบรรดาตระกูลนี้ มาพร้อมกับการใช้งาน CPU Apple A14 Bionic 5nm ตัวล่าสุดพร้อมกับคะแนนที่เร็วแรงเอาเรื่อง และใช้งานหน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว (2,778×1,284พิกเซล) รองรับ HDR, Dolby Vision, ใช้กระจก Ceramic Shield แต่น่าเสียดายว่ายังเป็น 60Hz ครับ ส่วนงานออกแบบก็เป็นแบบเดิมเป๊ะๆ พร้อมกับกล้องหลัง กล้องหลังมุมกว้าง 12MP (f/1.6) ที่รองรับ Sensor-shift OIS + กล้อง Ultra-wide 120 องศา 12MP (f/2.4) + กล้องเทเลโฟโต้ 12MP (f/2.2) สำหรับถ่าย portrait และซูมเข้าแบบ optical ได้ 5x,แบบ digital ได้ 12x และสามารถถ่ายภาพ Night mode portrait และจับระยะต่างๆได้ด้วยเซนเซอร์ LiDAR scanner อีกทั้ง กล้องหน้าก็ให้มาที่ 12MP เช่นกันพร้อมกับ FACE ID และเซนเซอร์ตรวจจับระยะต่างๆ แน่นอนว่ายังคง กันน้ำและกันฝุ่น IP68 แต่กันน้ำได้ลึกกว้ามาตรฐานทั่วไป พร้อมกับ ใช้งานลำโพงคู่ และ พอร์ตยังคงเป็น Lighting และจุดเด่นๆเลยคือการรองรับ 5G พร้อมใช้งาน ส่วนทางด้าน แบตเตอรี่ความจุ 3,687mAh รองรับการชาร์จไว 20W สูงสุดครับตัวนี้ ส่วนทางด้านงานออกแบบนั้นกลับไปใช้งานออกแบบเหลี่ยมๆตามสไตล์ยุคก่อนหน้าแต่เปลี่ยนวัสดุแบบใหม่ กล้องให้ใหญ่ขึ้น และ ขอบเครื่องแบบสแตนเลสขัดเงาสวยงามครับ และเท่าที่ทดสอบนั้นไม่เจออาการบาดมืออะไรนะครับตัวนี้
iPhone 12 Pro MAX เปิดราคามาที่ RAM 6GB 128GB 39,900 บาท // RAM 6GB 256GB 43,900 บาท // RAM 6GB 512GB 51,900 บาท
UNBOX
กล่องที่บางขึ้น สวยขึ้น ของน้อยลง ! ในรุ่นนี้เรียกได้ว่าเป็นที่ ฮือฮามากๆตัวนึงในการตัดหูฟังออกไป ไม่ให้มาในกล่องแล้ว รวมถึง ไม่มีที่ชาร์จ หรือ Adaptor ใส่เข้ามาให้แล้ว มีแค่สายแถมเข้ามาเท่านั้น และ สติกเกอร์เหลือ 1 ชิ้น โดยเป็นเหตุผลการรักษ์โลก จริงๆแอบฟังไม่ขึ้นถ้ามุมมองของแอดอยากให้ใช้งานได้หลากหลาย กล้าที่จะเปลี่ยนมาใช้งาน USB-C ให้เหมือนทุกคนน่าจะช่วยได้อีกเยอะกว่าหลายเท่าตัวครับ แอบขอบ่นนิดหน่อย และ สาย USB-C ไป Lighting ก็ใช้กับหัวแถมเก่าๆไม่ได้ด้วยนะ ต้องใช้หัวที่รองรับ USB-C แบบใหม่
- ตัวเครื่อง iPhone 12 Pro MAX
- สติกเกอร์ Apple
- สายชาร์จ USB-C ไป ยัง Lighting
- คู่มือ และ ที่จิ้มซิม
DESIGN
งานออกแบบมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ยุค iPhone 6 ไม่ใช่แค่หน้าจอหรือฝาหลังแต่ครั้งนี้เป็นการปรับมาใช้งานออกแบบเหลี่ยมๆแบบในยุค iPhone 4 – 5s อีกครั้งนึงเป็นการย้อนกลับไปในยุคคลาสสิกอีกครั้ง แน่นอนว่าแม้จะกลับไปดีไซน์เดิมแต่ก็เปลี่ยนแปลงวัสดุมาใช้สแตนเลสคล้ายกับรุ่น 11 Promax และเพิ่มสีน้ำเงินเข้ามาใหม่แน่นอนว่าการออกแบบเหลี่ยมๆทำให้แอบจับยากและถือยากเมื่อเทียบกับขนาดและน้ำหนักของมันอยู่บ้าง แต่ความสวยงามของตัวเครื่องหน้าหลังเรียบๆแบบนี้เป็นสิ่งที่ห่างหายไปนานมากๆสำหรับค่ายนี้ ส่วนงานประกอบสวยงามแน่นเช่นเดิม แต่น้ำหนักบอกเลยว่า แอบหนักในการถือใช้งานนานๆและเมื่อมีเคสยิ่งทำให้หนักกว่าค่ายอื่นๆแบบชัดเจน
ทางด้าน หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว (2,778×1,284พิกเซล) รองรับ HDR, Dolby Vision, ใช้กระจก Ceramic Shield เป็นกระจกที่แข็งแรงที่สุดของค่าย และขอบอะไรบางขึ้นเยอะมากไม่มีขอบโค้งอะไรทั้งนั้นเป็นหน้าจอแบบเรียบๆทั้งหมดก็ถือว่าสวยงามไปอีกแบบ แต่ดีไซน์ติ่งหน้าจอยังใหญ่และเกะกะมากๆ
ขอบด้านล่างค่ายนี้ยังคงทำได้บางเท่ากับส่วนอื่นๆและยังคงสวยงามอีกทั้งยิ่งได้หน้าจอแบบนี้ทำให้มันเรียบเนียนไปทั้งหมดสวยงาม และ ปุ่มการควบคุมเป็น Gesture ตามสไตล์ของค่ายนี้เช่นเดิมครับถือว่าเต็มหน้าจอใช้งานได้ดี
ขอบด้านบนนั้นจริงๆตำแหน่งติ่งหน้าจอยังคงใหญ่ เกะกะเช่นเดิมพร้อมกับกล้องหน้า 12MP และ ลำโพง รวมถึงเซนเซอร์ทั้งหมดในการใช้งาน สแกนใบหน้า 3 มิติ FACE ID รวมถึงเซนเซอร์ในการใช้งานด้านอื่นๆทั้งหมดครับ
ขอบเครื่องอย่างที่บอกไปนั้นจะเป็นขอบเงาสะท้อนแสงสวยงามทั้งหมด แต่เราจะถ่ายให้เห็นพอร์ตต่างๆมาให้เน้นชัดๆครับซึ่งของจริงจะเงาแบบกระจกเลยแต่จะเป็นสีน้ำเงิน ในด้านล่างนั้นจะเป็น รูไมค์ และ ลำโพงในด้านขวาครับ พร้อมกับยังคงใช้งาน Lighting และไม่ได้ปรับไปใช้งาน USB-C แบบ iPad ซะทีแอบน่าเสียดายมากๆครับ
ขอบเครื่องด้านซ้ายนั้นเราจะเห็นตัว Slider ที่เปิดกับปิดเสียงทื่เป็นเอกลักษณ์มานานมากๆของค่ายนี้ พร้อมกับ ปุ่มที่เป็นเพิ่ม ลด เสียง และ ถาดซิม 1 ซิมใส่เข้ามา และรองรับ eSIM ในตัวเครื่องมาให้เรียบร้อยสำหรับโมเดลไทย
ด้านขวานั้นจะเห็นว่าตัวเครื่องหน้าจอนั้นมีความเรียบแบนทั้งหมด ไม่มีส่วนโค้งนูนอะไรทั้งนั้นและมีปุ่ม Power เปิดปิดมาให้ในด้านขวาตัวเครื่อง พร้อมใช้งานและจะเห็นขีดเสาสัญญาณปกติครับ วัสดุขอบเป็นสแตนเลสปัดเงาทั้งหมด
ฝาหลังนั้นมาพร้อมกับสีน้ำเงินเข้มๆสวยงามเป็นการเล่นลวดลายวัสดุฝาหลังแบบด้านพร้อมกับพื้นผิวสัมผัสสวยงามเล่นกับแสงคล้ายกับกระจกฝ้าครับ ทำให้ค่อนข้างสวยเลยนะ คล้ายๆกับ 11 Pro แต่กล้องหลังใหญ่ขึ้น มีเซนเซอร์แทรกเข้ามามากขึ้นครับ และการวางกล้องหลักยังคงเป็นเม็ดไข่มุก 3 ก้อนอยู่ และ โลโก้ APPLE ตรงกลางเครื่องฝาหลังจริงๆถือว่าสวยและเรียบแต่น้ำหนัก ความเหลี่ยมของตัวเครื่องเป็นจุดที่อาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก มีน้ำหนัก 226 กรัมเลยทีเดียวตัวเครื่องเปล่าๆ แอบหนักไปจริงๆ งานออกแบบฝาหลังยังต่อยอดจากเดิมครับไม่หนีกัน
กล้องหลังนั้นเป็นจุดที่น่าบ่นจริงๆคึอการออกแบบ 3 เลนส์นูนแบบนี้แยกกันทำให้มันมีส่วนช่องว่างระหว่างเลนส์เยอะมากทำให้ฝุ่นเข้าไปเกาะได้ง่ายและเช็ดออกได้ยาก จริงๆน่าจะทำให้มีฝากระจกครอบแบบ 4 เหลี่ยมจะดีกว่าครับ ส่วนตรงกล้องนั้นจะเป็นวัสดุแบบเงาตัดกับฝาหลังได้ดี พร้อมกับแทรกเซนเซอร์ LiDAR เข้ามามุมขวาล่างและมีรูไมค์ ส่วนกล้องหลังนั้นมาพร้อมกับ 3 ตัว ความละเอียดเท่ากันทั้งหมด มุมกว้าง 12MP (f/1.6) ที่รองรับ Sensor-shift OIS + กล้อง Ultra-wide 120 องศา 12MP (f/2.4) + กล้องเทเลโฟโต้ 12MP (f/2.2) สำหรับถ่าย portrait และซูมเข้าแบบ optical ได้ 5x,แบบ digital ได้ 12x และสามารถถ่ายภาพ Night mode portrait ได้ด้วยเซนเซอร์ LiDAR scanner ในการจับระยะที่ดีมากขึ้นกว่าเดิม และ ปรับปรุงเซนเซอร์ให้ดีขึ้นด้วยครับ
SPEC
- หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว (2,778×1,284พิกเซล) รองรับ HDR, Dolby Vision, ใช้กระจก Ceramic Shield
- ชิปประมวลผล A14 Bionic 5nm
- RAM 6GB + ความจำ 128GB/256GB/512GB
- iOS 14
- กล้องหลังมุมกว้าง 12MP (f/1.6) ที่รองรับ Sensor-shift OIS + กล้อง Ultra-wide 120 องศา 12MP (f/2.4) + กล้องเทเลโฟโต้ 12MP (f/2.2) สำหรับถ่าย portrait และซูมเข้าแบบ optical ได้ 5x,แบบ digital ได้ 12x และสามารถถ่ายภาพ Night mode portrait ได้ด้วยเซนเซอร์ LiDAR scanner
- กล้องหน้าตรวจจับความลึก 12MP (f/2.2)
- รองรับ Face ID
- ขนาดตัวเครื่อง : 160.8 ×78.1×7.4มม.; น้ำหนัก 226 น้ำหนัก
- กันน้ำและกันฝุ่น IP68
- ใช้พอร์ต Lightning และลำโพง stereo
- รองรับเครือข่าย 5G (sub‑6 GHz), Gigabit-class LTE, Wi‑Fi 6 802.11ax, Bluetooth 5.0, NFC, GPS และ GLONASS
- แบตเตอรี่ความจุ 3,687mAh ที่สามารถใช้ได้ติดต่อกัน 20 ชั่วโมง
PERFORMANCE
ประสิทธิภาพแน่นอนว่ามาพร้อมกับ Apple A14 Bionic 5nm รองรับการทำงานระดับแรงๆได้สบายสามารถทำคะแนนไปได้ 566747 คะแนน Antutu พร้อมกับหน่วยความจำแบบ USF 3.0 การอ่านเขียนไปได้ 1600 และ 1400 เลยทีเดียว ส่วนคะแนน 3 มิติ การ์ดจอนั้นทำได้ดีเมื่อทดสอบกับ 3D MARK และ แน่นอนว่า NETFLIX รองรับความละเอียดสูงสุดพร้อมใช้งาน Dolby Vision HD เลยทีเดียวครับ สบายๆในเรื่องของสเปกและใช้งาน
SYSTEM UI
หน้าตากันบ้างสำหรับหน้าตาของ iOS 14 เป็นตัวล่าสุดที่ปล่อยออกมามีความคลีนสวยงามมากกว่าเดิม และใส่หน้าตาแบบ Widget เสริมเข้ามาในการตกแต่งหน้าจอให้มีความหลากหลายมากขึ้น เปลี่ยนได้เยอะมากๆครับ ไอคอนอะไรต่างๆได้ถูกพัฒนาให้ดูดีและใช้งานง่ายขึ้น การจัดวางดูดีสวยงามกว่าเดิมครับ แน่นอนว่าเป็น UI ที่อิงการใช้งานจากรุ่นเดิมๆมาโดยตลอดทำให้ผู้ใช้งานหลายๆคนนั้นไม่อยากขยับไปแบรนด์อื่น ส่วนอื่นๆนั้นไม่ต่างกันเลยครับ และการแจ้งเตือนยังคงไว้ใจได้และดีกว่ารุ่นอื่นๆแบบชัดเจนเมื่อเทียบกับ Android ด้วยกันนะถือว่าใช้งานสบายๆครับ
ในส่วนของการแจ้งเตือนก็เลื่อนลงมาจากข้างบนมุมซ้ายของเครื่องหรือติ่งหน้าจอปกติ และ ในส่วนของ Control Center นั้นจะเป็นการเลื่อนจากมุมขวาบนนะครับ สามารถปรับแต่งอะไรได้ปกติเลย ส่วนในการแบ่งหน้าจอนั้นยังไม่รองรับสำหรับ iPhone ส่วนหน้าการเคลียร์แอปนั้นยังไม่มีเคลียร์ทั้งหมดครับต้องปัดไปทีละแอปเหมือนเดิมเลยครับ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้