สวัสดีค่ะ
ปัญหานี้เป็นของเพื่อนมาฝากให้ตั้งกระทู้สอบถาม เพราะไม่รู้ว่าจะควรทำอย่างไร ขออนุญาตเล่าคร่าว ๆ นะคะ
เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน เพื่อนประสบปัญหาการเงิน ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้บัตร KTC ได้ จึงไปตกลงประนีประนอมที่ศาล มูลหนี้คือประมาณ115,000 บาทศาลตัดสินใจให้ชำระรายเดือนเป็นเงินจำนวนไม่ต่ำกว่า 2 พันทุกเดือน
เพื่อนจึงชำระเรื่อยมา ขั้นต่ำคือ 2 พัน เดือนไหนมีมากก็ชำระเพิ่มมากขึ้น โดยชำระผ่านตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย ซึ่งจะแสดงยอดที่ยังคงเป็นหนี้อยู่ เพื่อนทำอย่างงี้มาอย่างสม่ำเสมอโดยตลอด 4 ปีผ่านไป
จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วเดือนมี.ค. เพื่อนได้รับจดหมายแจ้งจากธนาคารและกรมบังคับคดีเสนอให้ตัดหนี้ให้หมดโดยจะมีส่วนลดให้ แต่ในจดหมายลงว่าหมดเขตสิ้นเดือนก.พ. ซึ่งวันที่ได้รับจดหมายมันก็เลยกำหนดหมดเขตไปแล้ว แต่เพื่อนก็ลองโทรไปตามเบอร์ที่เค้าแจ้ง เผื่อว่าจะสามารถลดหนี้ได้ ตอนนั้นเพื่อนจำตัวเลขหนี้ที่ระบุในจดหมายได้ไม่ชัดเจน แต่เลา ๆ ว่า 4 หมื่น หรือ 7 หมื่นนี่ล่ะ (เพื่อนบอกจำไม่ได้จริง ๆ เพราะทิ้งจดหมายไปแล้ว) แต่พนักงานที่มีชื่อและเบอร์โทรระบุในจดหมายแจ้งว่าหมดเขตโปรโมชั่นนี้ไปแล้ว เพื่อนเสียใจจึงสอบถามว่าจะมีอีกเมื่อไร เผื่อจะได้เข้าร่วมโครงการลดหนี้ได้บ้าง ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าในรอรอบต่อไปจะมีจดหมายไปแจ้ง ระหว่างนี้ก็ชำระต่อเนื่องต่อไป เพื่อนก็เลยชำระหนี้ต่อเนื่องเรื่อยมา
จนกระทั่งงวดสุดท้ายคือ สิ้นเดือนธ.ค.นี้ยอดหนี้ที่โชว์ในตู้เอทีเอ็มเหลือแค่ 4 พันกว่าบาท แต่ปรากฎว่าที่บ้านแม่โทรบอกว่ามีหมายศาลมาจะยึดทรัพย์ (แม่ของเพื่อนซึ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ตกใจมากอาการกำเริบ) เพื่อนซึ่งตอนนี้ทำงานอยู่ตจว. ร้อนใจมาก รีบโทรไปหาเจ้าหน้าที่ตามเบอร์ที่มีระบุในหมายศาลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่เคยไปศาลตอนประนอมหนี้ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าลาออกไปแล้ว ไม่ได้ดูเคสนี้แล้ว ให้เพื่อนติดต่อกับธนาคารเอง
เพื่อนนั่งหาข้อมูลในอินเตอร์เนตจนได้เบอร์โทรไป แผนกประนอมหนี้ แจ้งเลขที่บัตรเครดิตที่เป็นหนี้ให้เจ้าหน้าที่ทราบ ตัวเลขก็ขึ้นในระบบว่าเหลือยอดอยู่สี่พันกว่าบาทจริง ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็เหมือนอึ้ง ๆ ไป แล้วบอกว่าจะโทรกลับนะ แต่ผ่านไปวันนึง เจ้าหน้าที่ก็ไม่โทรกลับ เพื่อนเลยพยายามไล่โทรอยู่อีกวันนึงเต็ม ๆ จนมีเจ้าหน้าที่รับเรื่อง เจ้าหน้าที่แจ้งว่ายอดนี้ไม่ได้รวมดอกเบี้ย เพื่อนต้องจ่ายดอกเบี้ยอีก 9 หมื่น และต้องจ่ายเป็นก้อนเดียวด้วย มิฉะนั้นจะโดนยึดทรัพย์ เพื่อนซึ่งตอนนี้ใจเสียมาก และไม่เข้าใจว่าทำไมที่จ่ายมาตลอด 5 ปีกับอีก 4 เดือน มันถึงมีดอกเบี้ยงอกออกมาเกือบเท่ากับเงินต้น โดยที่ไม่มีการแจ้งให้ทราบ ไม่มีจดหมายแจ้งยอดหนี้มาที่บ้านเลย เพื่อนอาศัยดูยอดจากตู้เอทีเอ็มตอนไปจ่ายเงินทุกเดือนเท่านั้นเอง เพื่อนได้ขอร้องทางโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่ให้ช่วยดูให้หน่อย เพราะถ้าจะเอาเงินก้อนเท่าจำนวนที่อุตส่าห์ผ่อนมาเพื่อนคงไม่มีให้ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเดี๋ยวจะดูให้แล้วกัน แต่ยังไงเพื่อนก็ต้องจ่ายดอกให้ธนาคาร
คำถามที่ฝากมาถามผู้รู้ในที่นี้คือ
1. อาทิตย์หน้าเพื่อนควรไปจ่ายยอดสุดท้ายที่เหลือ 4 พันกว่าบาทเหมือนเดิมหรือไม่? และควรไปจ่ายเคาน์เตอร์ดีมั๊ย? เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง เพื่อนเกรงว่าถ้าไม่ไปจ่าย เดี๋ยวจะโดนหาว่าผิดนัดชำระหนี้อีก
2. เพื่อนควรทำอย่างไรต่อ? สภาพตอนนี้คือไม่มีเงินก้อนเป็นแสนมาชำระแน่นอน สถานการณ์ตอนนี้แค่บริษัทยังจ้างทำงานก็บุญแล้ว โบนัสอะไรบริษัทก็แจ้งว่าจะไม่มีให้เพราะเรื่องโควิด ประกอบกับคุณแม่เพื่อนตกใจจากหมายศาล อาการหัวใจไม่ดี เดี๋ยวพรุ่งนี้เพื่อนจะเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อพาแม่ไปหาหมอวันจันทร์ที่จะถึงนี้ (เพื่อนบอกว่าต้องกันเงินไว้รักษาแม่ ไม่สามารถให้เงินก้อนนี้ไปได้)
3. ธนาคารจะลดยอดเงินลงให้ได้เหลือเท่าไร? เป็นไปได้มั๊ยว่าจะแค่หมื่นสองหมื่น ซึ่งเพื่อนพอก็จะพอเจียด ประหยัดค่าข้าว คชจ.ในบ้านสักเดือนสองเดือนมาจ่ายให้ได้
4. เพื่อนมีข้อสงสัยว่า ทำไมจดหมายที่เรียกมาให้ไปตัดลดหนี้เมื่อปีก่อนยังแค่ 7 หมื่น แต่ทำไมมาเรียกปีนี้กลายเป็น 9 หมื่นทั้ง ๆ ที่เพื่อนชำระเงินให้ทุกเดือน
5. ในหมายที่มาที่บ้าน มีเบอร์ให้ติดต่อศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เพื่อนควรติดต่อไปทางนั้นเพื่อนขอความช่วยเหลือดีกว่าไปติดต่อธนาคารหรือไม่?
ทั้งนี้จขกท.และเพื่อนขอขอบพระคุณทุกท่านที่พอจะให้คำแนะนำมา ณ ที่นี้ และหวังว่าเพื่อนจะสามารถหลุดพ้นจากหนี้สินนี้ไปได้สักที เห็นมันพยายามหาเงินมาจ่ายทุกเดือน ๆ ทั้ง ๆ ที่แม่ก็ไม่สบาย แถมยังมีช่วงนึงก็ตกงานอยู่แต่ก็พยายามหาเงินมาจ่ายไม่ขาด ก็เอาใจช่วยให้มันผ่านไปได้ด้วยดี
ขอบคุณทุกคำแนะนำนะคะ ถ้า tag ผิดห้องหรืออย่างไรรบกวนแนะนำด้วยนะคะ
สอบถามผู้รู้ เป็นหนี้บัตร ศาลตัดสินให้ผ่อนชำระ พอผ่อนมาถึงงวดก่อนสุดท้าย มีหมายมายึดบ้าน อย่างงี้ก็ได้เหรอ?
ปัญหานี้เป็นของเพื่อนมาฝากให้ตั้งกระทู้สอบถาม เพราะไม่รู้ว่าจะควรทำอย่างไร ขออนุญาตเล่าคร่าว ๆ นะคะ
เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน เพื่อนประสบปัญหาการเงิน ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้บัตร KTC ได้ จึงไปตกลงประนีประนอมที่ศาล มูลหนี้คือประมาณ115,000 บาทศาลตัดสินใจให้ชำระรายเดือนเป็นเงินจำนวนไม่ต่ำกว่า 2 พันทุกเดือน
เพื่อนจึงชำระเรื่อยมา ขั้นต่ำคือ 2 พัน เดือนไหนมีมากก็ชำระเพิ่มมากขึ้น โดยชำระผ่านตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย ซึ่งจะแสดงยอดที่ยังคงเป็นหนี้อยู่ เพื่อนทำอย่างงี้มาอย่างสม่ำเสมอโดยตลอด 4 ปีผ่านไป
จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วเดือนมี.ค. เพื่อนได้รับจดหมายแจ้งจากธนาคารและกรมบังคับคดีเสนอให้ตัดหนี้ให้หมดโดยจะมีส่วนลดให้ แต่ในจดหมายลงว่าหมดเขตสิ้นเดือนก.พ. ซึ่งวันที่ได้รับจดหมายมันก็เลยกำหนดหมดเขตไปแล้ว แต่เพื่อนก็ลองโทรไปตามเบอร์ที่เค้าแจ้ง เผื่อว่าจะสามารถลดหนี้ได้ ตอนนั้นเพื่อนจำตัวเลขหนี้ที่ระบุในจดหมายได้ไม่ชัดเจน แต่เลา ๆ ว่า 4 หมื่น หรือ 7 หมื่นนี่ล่ะ (เพื่อนบอกจำไม่ได้จริง ๆ เพราะทิ้งจดหมายไปแล้ว) แต่พนักงานที่มีชื่อและเบอร์โทรระบุในจดหมายแจ้งว่าหมดเขตโปรโมชั่นนี้ไปแล้ว เพื่อนเสียใจจึงสอบถามว่าจะมีอีกเมื่อไร เผื่อจะได้เข้าร่วมโครงการลดหนี้ได้บ้าง ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าในรอรอบต่อไปจะมีจดหมายไปแจ้ง ระหว่างนี้ก็ชำระต่อเนื่องต่อไป เพื่อนก็เลยชำระหนี้ต่อเนื่องเรื่อยมา
จนกระทั่งงวดสุดท้ายคือ สิ้นเดือนธ.ค.นี้ยอดหนี้ที่โชว์ในตู้เอทีเอ็มเหลือแค่ 4 พันกว่าบาท แต่ปรากฎว่าที่บ้านแม่โทรบอกว่ามีหมายศาลมาจะยึดทรัพย์ (แม่ของเพื่อนซึ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ตกใจมากอาการกำเริบ) เพื่อนซึ่งตอนนี้ทำงานอยู่ตจว. ร้อนใจมาก รีบโทรไปหาเจ้าหน้าที่ตามเบอร์ที่มีระบุในหมายศาลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่เคยไปศาลตอนประนอมหนี้ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าลาออกไปแล้ว ไม่ได้ดูเคสนี้แล้ว ให้เพื่อนติดต่อกับธนาคารเอง
เพื่อนนั่งหาข้อมูลในอินเตอร์เนตจนได้เบอร์โทรไป แผนกประนอมหนี้ แจ้งเลขที่บัตรเครดิตที่เป็นหนี้ให้เจ้าหน้าที่ทราบ ตัวเลขก็ขึ้นในระบบว่าเหลือยอดอยู่สี่พันกว่าบาทจริง ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็เหมือนอึ้ง ๆ ไป แล้วบอกว่าจะโทรกลับนะ แต่ผ่านไปวันนึง เจ้าหน้าที่ก็ไม่โทรกลับ เพื่อนเลยพยายามไล่โทรอยู่อีกวันนึงเต็ม ๆ จนมีเจ้าหน้าที่รับเรื่อง เจ้าหน้าที่แจ้งว่ายอดนี้ไม่ได้รวมดอกเบี้ย เพื่อนต้องจ่ายดอกเบี้ยอีก 9 หมื่น และต้องจ่ายเป็นก้อนเดียวด้วย มิฉะนั้นจะโดนยึดทรัพย์ เพื่อนซึ่งตอนนี้ใจเสียมาก และไม่เข้าใจว่าทำไมที่จ่ายมาตลอด 5 ปีกับอีก 4 เดือน มันถึงมีดอกเบี้ยงอกออกมาเกือบเท่ากับเงินต้น โดยที่ไม่มีการแจ้งให้ทราบ ไม่มีจดหมายแจ้งยอดหนี้มาที่บ้านเลย เพื่อนอาศัยดูยอดจากตู้เอทีเอ็มตอนไปจ่ายเงินทุกเดือนเท่านั้นเอง เพื่อนได้ขอร้องทางโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่ให้ช่วยดูให้หน่อย เพราะถ้าจะเอาเงินก้อนเท่าจำนวนที่อุตส่าห์ผ่อนมาเพื่อนคงไม่มีให้ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเดี๋ยวจะดูให้แล้วกัน แต่ยังไงเพื่อนก็ต้องจ่ายดอกให้ธนาคาร
คำถามที่ฝากมาถามผู้รู้ในที่นี้คือ
1. อาทิตย์หน้าเพื่อนควรไปจ่ายยอดสุดท้ายที่เหลือ 4 พันกว่าบาทเหมือนเดิมหรือไม่? และควรไปจ่ายเคาน์เตอร์ดีมั๊ย? เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง เพื่อนเกรงว่าถ้าไม่ไปจ่าย เดี๋ยวจะโดนหาว่าผิดนัดชำระหนี้อีก
2. เพื่อนควรทำอย่างไรต่อ? สภาพตอนนี้คือไม่มีเงินก้อนเป็นแสนมาชำระแน่นอน สถานการณ์ตอนนี้แค่บริษัทยังจ้างทำงานก็บุญแล้ว โบนัสอะไรบริษัทก็แจ้งว่าจะไม่มีให้เพราะเรื่องโควิด ประกอบกับคุณแม่เพื่อนตกใจจากหมายศาล อาการหัวใจไม่ดี เดี๋ยวพรุ่งนี้เพื่อนจะเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อพาแม่ไปหาหมอวันจันทร์ที่จะถึงนี้ (เพื่อนบอกว่าต้องกันเงินไว้รักษาแม่ ไม่สามารถให้เงินก้อนนี้ไปได้)
3. ธนาคารจะลดยอดเงินลงให้ได้เหลือเท่าไร? เป็นไปได้มั๊ยว่าจะแค่หมื่นสองหมื่น ซึ่งเพื่อนพอก็จะพอเจียด ประหยัดค่าข้าว คชจ.ในบ้านสักเดือนสองเดือนมาจ่ายให้ได้
4. เพื่อนมีข้อสงสัยว่า ทำไมจดหมายที่เรียกมาให้ไปตัดลดหนี้เมื่อปีก่อนยังแค่ 7 หมื่น แต่ทำไมมาเรียกปีนี้กลายเป็น 9 หมื่นทั้ง ๆ ที่เพื่อนชำระเงินให้ทุกเดือน
5. ในหมายที่มาที่บ้าน มีเบอร์ให้ติดต่อศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เพื่อนควรติดต่อไปทางนั้นเพื่อนขอความช่วยเหลือดีกว่าไปติดต่อธนาคารหรือไม่?
ทั้งนี้จขกท.และเพื่อนขอขอบพระคุณทุกท่านที่พอจะให้คำแนะนำมา ณ ที่นี้ และหวังว่าเพื่อนจะสามารถหลุดพ้นจากหนี้สินนี้ไปได้สักที เห็นมันพยายามหาเงินมาจ่ายทุกเดือน ๆ ทั้ง ๆ ที่แม่ก็ไม่สบาย แถมยังมีช่วงนึงก็ตกงานอยู่แต่ก็พยายามหาเงินมาจ่ายไม่ขาด ก็เอาใจช่วยให้มันผ่านไปได้ด้วยดี
ขอบคุณทุกคำแนะนำนะคะ ถ้า tag ผิดห้องหรืออย่างไรรบกวนแนะนำด้วยนะคะ