เป็นหนี้ไฟแนนซ์76000 แต่กำลังจะโดนยึดบ้านในราคา850000

เราเคยออกรถยนต์มาเมื่อเดือนก.ค.54 ออกด้วยความจำเป็นเพราะที่ทำงานที่เคยใกล้แค่เดินไปได้ ย้ายไปไกลมากแต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดจะหางานใหม่ที่ใกล้ที่พัก แต่เลือกที่จะตามไปอยู่กับบริษัทที่เราทำงานมานานที่คุ้นเคย เพราะคำนวนค่าแท๊กซี่แล้วไม่คุ้มเลยไป-กลับวันละ500 เราทำงานเข้าออกไม่เป็นเวลาจะนั่งรถเมล์ก็ไม่ได้ เลยตัดสินใจออกรถมา ผ่อนได้ไม่กี่เดือนน้ำท่วมกรุงเทพครั้งใหญ่ มีเหตุให้ต้องออกจากงานในเวลาต่อมา ต้องกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด บ้านที่ต่างจังหวัดเป็นชื่อเราแต่เป็นบ้านของครอบครัวซื้อตั้งแต่ปี49หรือ50นี่แหละ เป็นเงินที่ขายที่ดินของพ่อ(เสียชีวิต)มาได้แล้วเอาไปดาวน์บ้านประมาณ4แสน ตอนนั้นที่บ้านไม่มีใครที่ทำงานบริษัทที่สามารถออกหนังสือรับของเงินเดือนได้ เลยต้องใช้ชื่อเราในการทำเรื่องซื้อบ้าน ผ่อนไปได้ประมาณ5-6เดือนแล้วพี่สาวที่พอมีเงินก้อนก็เลยไม่อยากให้แม่ลำบากผ่อน เลยโปะบ้านให้หมดเลยอีก4แสนกว่า บ้านจึงกลายเป็นบ้านปลอดภาระ เราอยู่บ้านก็ขายของก๊อกๆแก๊กๆไปพอมีเงินกิน แต่ไม่มีความสามารถในการผ่อนรถต่อได้ สรุปการผ่อนที่8เดือน จึงนำรถไปคืนที่ธนาคารเจ้าของไฟแนนซ์ หลังจากนั้นใช้ชีวิตลุ่มๆดอนๆมาเรื่อยๆ จนเมื่อปีพ.ค.57มีหมายศาลมาที่บ้านให้ไปไกล่เกลี่ยที่ศาลด้วยยอดเงินต้น76000กับดอกอีก5หมื่นกว่าบาท รวมประมาณ120000 ด้วยความที่ไม่เคยขึ้นโรงขึ้นศาลจึงเกิดความกลัวไม่อยากไป เลยปรึกษาแฟนของเพื่อนที่เป็นทนายว่าทำยังไงดี เค้าทำหนังสือมาให้ไปยื่นที่ศาล เนื้อความมีประมาณว่าเราได้คืนรถไปแล้ว หนี้ตรงนี้มันเยอะเกินไป ขอความเห็นใจจากศาล เราก็เลยนำไปยื่นให้ที่ศาลก่อนวันนัด

     หลังจากนั้นก.ย.57ก็มีจดหมายมาแจ้งเตือนว่า ให้ไปชำระหนี้ส่วนที่เหลือในจำนวนเงินต้น76000 และดอกอีกประมาณหมื่นกว่าบาท รวมเกือบ9หมื่น เราก็เลยโทรไปที่ฝ่ายกฎหมายของธนาคารว่าเรามีคววามประสงค์จะชำระหนี้แต่เราขอผ่อน ตอนนั้นธนาคารจะให้ผ่อนเดือนละ29000*3เดือน ตอนนั้นกลับมาอยู่กทม.ทำงานเงินเดือน15000 เราก็บอกว่าเราผ่อนไม่ไหว เค้าก็บอกว่ามีตัวเลือกให้เท่านี้จ่ายเงินก้อนกับผ่อน3เดือนตามที่บอก เราเลยลองปรึกษาเพื่อนอีกคนที่เป็นทนาย เพื่อนบอกว่างั้นยังไม่ต้องจ่ายตอนนี้ทำงานเก็บเงินให้เยอะที่สุด เพราะเค้าจะต้องฟ้องมาอีกรอบเพื่อให้ชำระหนี้ พอถึงตอนนั้นค่อยนำเงินก้อนที่เราเก็บมาไปโปะจ่ายเค้า เราก็เลยสบายใจว่ายังมีทางเลือกให้เราอยู่ ด้วยเงินเดือนที่น้อยนิดกับค่าเช่าห้อง ค่าเดินทาง ค่ากินอยู่ในแต่ละเดือนทำให้แทบไม่เหลือเก็บ เลยเปลี่ยนงานมาอีกที่นึงเงินเดือน18000ก็พอดีขึ้นหน่อยเริ่มพอเก็บเงินได้เดือนนิดหน่อย

     แต่เมื่อวาน17เม.ย.58 พี่ชายส่งรูปมาให้ดูมีหมายยึดบ้านจากกรมบังคับคดีไปติดที่หน้าบ้าน คือยึดแล้วให้เอาโฉนดไปให้ภายใน15วันหลังจากได้รับหมาย ในหมายยึดบ้านตีราคามา850,000 แต่บ้านตรงนั้นที่ขายกันจริงอยู่ที่ 1,200,000-1,400,000 เฮ้ยยย...นี่เราจะโดนยึดบ้านขายทอดตลาดด้วยยอดหนี้เงินต้น76000จริงๆเหรอ ปัญหาตอนนี้คือเราจะทำยังไงได้บ้างที่ไม่ให้บ้านโดนยึด เราไม่เงินก้อนที่จะไปจ่ายหนี้ทั้งหมดหรอกค่ะ ยอดรวมตอนนี้อยู่ที่ประมาณ1แสน คนที่จะให้หยิบยืมได้ก็ไม่มีใครเลย พี่สาวเราก็มีครอบครัวที่ต้องดูแลและตอนนี้ก็ไม่มีเงินก้อนเหมือนกัน ตอนนี้เครียดมากทั้งบ้านกินไม่ได้นอนไม่หลับจริงๆ เรากลายเป็นคนที่ทำให้คนทั้งบ้านเดือดร้อนจากการกระทำของเรา รบกวนผู้มีความรู้หรือประสบการณ์ช่วยตอบคำถามเราด้วยนะคะ
ร้องไห้ร้องไห้ร้องไห้

     ตอนนี้เรามอง2ประเด็นที่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้รู้ในพันธ์ทิพย์คือ......
1.เรายังมีวิธีเจรจาเรื่องไม่ให้ยึดบ้านหรือถอนบังคับคดีได้มั๊ยคะ(เรามีไม่เงินก้อนธนาคารจะยังให้เราผ่อนเดือนละ3-4พันได้มั๊ย)
2.ถ้าต้องโดนยึดจริงๆบ้านเรามีมูลค่ากว่ายอดหนี้เยอะมาก เงินส่วนต่างเราจะได้คืนมั๊ยคะ แล้วจะต้องมีค่าธรรมเนียมอะไรอีกบ้างนอกเหนือจากยอดเงินต้นและดอกเบี้ยที่จะต้องชำระกับธนาคารค่ะ

  ขอบคุณทุกท่านล่วงหน้านะคะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 26
เพื่อนๆตอบกันมาดีแล้ว


ก่อนผมจะแนะนำ คุณจขกท.ต้องยอมรับกับตัวเองก่อนว่า..จากนี้ไปจะเปลี่ยนนิสัยตัวเองใหม่หมด
1. ไม่เป็นคนทอดธุระในเรื่องคดีความ  จนศาลมีคำพิพากษาตามโจทก์เรียกมา จนถึงขั้นบังคับคดีขนาดนี้
2. ไม่เที่ยวได้ถามคนนู้นคนนี้แทนที่จะหาทนายเป็นเรื่องเป็นราว
3. ไม่ทิ้งหนี้ จนตั้งแต่ปี 54 มายัน 58 แล้ว 4 ปีแล้ว ดอกเบี้ยปรับมันจะวิ่งไปถึงไหนกันนี่?
4. ต้องหาความรู้เรื่องการบริหารจัดการหนี้ ได้แล้ว อย่าจมอยู่กับความไม่รู้แบบนี้
5. อย่าเลือกได้ยินเฉพาะข้อมูลที่ปลอบใจตัวเอง  มันไม่ได้ให้ความจริงกับคุณเลย
(ผมสงสัยว่าทนายไม่น่าจะให้คำแนะนำแบบบัติ-ซบอะไรขนาดนั้น คุณอาจให้ข้อมูลไม่หมดหรือให้ผิดก็ได้)

ตอบ

1. เจ้าหนี้ไทยสามารถยึดทรัพย์ได้ทุกอย่าง ทั้งที่เป็นทรัพย์คนละสถาบัน คนละประเภท มูลค่าสูงกว่าหนี้มาก และยังติดจำนองที่อื่นอยู่
ประเทศอื่นไม่มีนะครับ  เขาแยกออกจากกันเลย


2. ราคาที่ตั้งโดยกรมบังคับคดี จะต่ำกว่าราคาตลาดจริงๆอยู่แล้ว 50%  ดีสุดคือต่ำกว่า 30%
ทำให้การขายทรัพย์เองตั้งแต่แรกจะได้เงินเยอะกว่าถูกยึดขายทอดตลาด


3. ปกติเจ้าหนี้ยึดบ้านที่ติดจำนอง โอกาสต่อรองจะสูงกว่าบ้านที่ปลอดหนี้แบบจขกท.ครับ
เพราะขายทอดตลาดได้เจ้าหนี้ก็ยังไม่ได้เงิน เพราะต้องเอาเงินไปให้"เจ้าหนี้ปุริมสิทธิ์" คือเจ้าหนี้บ้านก่อน
แต่ของคุณไม่ต้องแล้วครับ  ดังนั้น"อำนาจต่อรอง"ฝั่งคุณไม่เหลือเลย


ดังนั้นจะทำยังไง.....ต้องขอประนอมหนี้ครับ  ไม่มีทางเลือกอื่น
1. ขอลดหนี้  
2. แล้ววางแผนชำระเงินไปเป็นงวดๆจนกว่าหนี้จะหมด

เงินที่จะเอามาใช้หนี้
1. ขอเจ้าหนี้ครับ ขอเอาบ้านไปจำนองแบงก์แค่ 100000 ดอกเบี้ยบ้านตอนนี้ถูกมากครับ
ดีกว่าขอสินเชื่อบุคคลดอก 13-45%
ถามว่าเจ้าหนี้จะยึดบ้านแล้วเราเอาบ้านไปจำนองได้หรือ
ได้ครับ มีคนทำมาแล้วครับ สำเร็จด้วย
ขอเพียงจขกท.ทำแผนการชำระหนี้ที่แน่นอนไปให้เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีและเจ้าหนี้ดูครับ

*หนี้สินคุณ แก้ไม่ยากครับ เพราะ 1. หนี้น้อย  2. คุณมีความสามารถที่จะชำระหนี้ คือมีหลักทรัพย์*
มันแก้ยากเพราะคุณไม่รู้อะไรเลยต่างหาก


2. คุณมีรายได้เท่าไหร่  แบ่งมาเลย 50% ชำระหนี้ครับ
อย่าลีลาครับ  คุณสร้างปัญหานี้ก็ต้องแก้ให้มันหลุดให้ได้ครับ

วิธีการไปพบเจ้าหนี้เพื่อทำตามแผนข้างบน
1. หมายยึดจะมีเบอร์โทรศัพท์ของกรมบังคับคดี  ติดต่อเจ้าหน้าที่เลยครับ
เขาจะเป็นฝ่ายนัดไกล่เกลี่ยเอง
2. จากนี้ตามคดีตัวเองทุกเม็ด อย่าไปพึ่งพาคนอื่น
อย่าอยากได้ยินแต่ข้อมูลที่คุณฟังแล้วสบายใจ แต่มันไม่ใช่เรื่องจริง
ที่ผ่านมาคุณเลือกฟังแต่สิ่งที่ตัวเองอยากได้ยิน จนปัญหามันบานปลายขนาดนี้


ย้ำอีกรอบ
*หนี้สินคุณ แก้ไม่ยากครับ เพราะ 1. หนี้น้อย  2. คุณมีความสามารถที่จะชำระหนี้ คือมีหลักทรัพย์*
มันแก้ยากเพราะคุณไม่รู้อะไรเลยต่างหาก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่