Oneplus Nord N10 5G นั้นเป็นรุ่นที่ต้องบอกก่อนว่า มันอาจจะไม่เชิงว่าเป็นตัว NORD เต็มๆซักเท่าไร เรียกว่า N10 แทนกันสับสนครับ เจ้าตัว N10 รุ่นนี้จะรองรับ 5G ที่ทำเรทราคาออกมาได้น่าสนใจ จับต้องได้ง่าย รวมถึงดีไซน์งานออกแบบนั้นมีความหรูหรามากขึ้น สเปคกล้อง 64MP ถ่ายชัด ถ่ายคม รายละเอียดดีพอสมควร และ หน้าจอ รวมถึงการชาร์จไวอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ดี ลำโพงคู่มาให้ และหน้าจอมีความลื่นไหล 90Hz แต่จะเป็นหน้าจอ IPS LCD แทนนั้นเองครับ มาพร้อมกับ Snapdragon 690 5G พร้อมใช้งานในไทย อีกทั้งขนาดหน้าจออยู่ในเรทที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป และที่สำคัญนั้น มาพร้อมกับ Oxygen OS ที่มีความนิ่ง ลื่นไหล และ เรียบง่ายอันดับต้นๆของทาง Android และอัปเดตได้ไว จึงเหมาะกับหลายๆคนที่อยากเล่น Oneplus แต่งบไม่มากและเน้น 5G นั้นเอง
Nord N10 5G แน่นอนว่าเป็นรุ่นที่ทำราคาออกมาไม่แรงมากนัก มาพร้อมหน้าจอขนาด 6.49 นิ้วที่มีรีเฟรชเรท 90Hz เป็นหน้าจอ LCD (1080 x 2400 พิกเซล) Full HD+, ใช้กระจก Gorilla Glass 3 แบบ 2.5D และภายในตัวเครื่องใช้เป็นชิป Snapdragon 690 ที่มาพร้อม RAM 6GB STORAGE 128GB นอกจากนี้ยังมาพร้อมกล้องหลัง 4 ตัวที่จัดเต็ม กล้องหลัง 64MP (f/1.79) + กล้อง ultra-wide 8MP (f/2.25) + กล้องmono chrome 2MP + กล้องมาโคร 2MP (f/2.4), LED flash และทางด้าน กล้องหน้า 16MP (f/2.05) ถือว่าสเปกกล้องก็จัดว่าดีในเลนส์หลักต่างๆครับ อีกทั้งกล้องหน้าออกแบบ แบบหน้าจอเจาะรูด้วยเช่นกัน และแบตเตอรี่ 4,300 mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว Warp Charge 30T แบบเดียวกับใน OnePlus 8 และ Nord ปกติ พร้อมกับ ครอบทับด้วยระบบปฏิบัติการ OxygenOS ที่ลื่นไหล ไม่มีสะดุด การันตีการอัปเดตซอฟต์แวร์และระบบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องในดีไซน์สีน้ำเงินเข้ม Midnight Ice มาขายในไทยแค่สีเดียว ส่วนราคานั้นบอกเลยว่าทำได้ดี
ONEPLUS NORD N10 5G : RAM 6GB STORAGE 128GB
เปิดราคาในไทย มาพร้อมกับสี Midnight Ice : 9,990 บาท
UNBOX
กล่องทางด้าน Oneplus Nord N10 5G นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะแน่นอนว่าหลักๆทางด้านสีนั้นจากทางสีแดงที่เคยเป็นสีที่คุ้นเคยประจำค่ายนี้ แต่ครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นการใช้สีฟ้าเป็นสีที่จะเห็นในหลากหลายรุ่นของ NORD ครับแม้จะไม่ได้ตระกูลตรงๆ แต่ก็เป็นจุดที่ทำให้แตกต่างกับตัวหลัก รวมถึงโทนงานออกแบบทั้งหมดเปลี่ยนใหม่ให้แตกต่างกับรุ่นปกติของค่ายทันที แต่น่าเสียดายว่าสายชาร์จนั้นยังคงเป็นสีแดงอยู่ ไม่ได้ย้อมสีฟ้าแบบรุ่นอื่น และ ที่ชาร์จ 30W แต่จะไม่มีเคส ไม่มีฟิล์ม แถมมาให้แล้วในตัวกล่อง รวมถึงไม่มีสติกเกอร์ใส่เข้ามาแล้วด้วยเช่นกัน
DESIGN
สำหรับงานออกแบบของทาง Oneplus Nord N10 5G รุ่นนี้แน่นอนว่าดีไซน์ไม่ได้หนีจากรุ่นทั่วไปในตลาดเท่าไรนักถ้ามองกันตรงๆก็จะไปคล้ายๆ ญาติห่างๆของตัวเองในค่าย O , R นั้นเองทั้งการวางดีไซน์กล้องหลัง รูปทรงต่างๆ และในรุ่นนี้ก็ไม่มี Alert Slider เอกลักษณ์ของทางค่ายหลงเหลือแล้ว ส่วนเรื่องของงานออกแบบฝาหลังก็เล่นแสงสีสวยงามโดดเด่นทำให้เป็นจุดแตกต่างกันอยู่บ้าง พร้อมกับโลโก้ Oneplus เขียนตัวอักษรในด้านล่าง ส่วนวัสดุนั้นเป็นพลาสติกในส่วนของฝาหลังนะครับ และจะเห็นว่าแอบมีสแกนนิ้วในด้านหลังอยู่ค่อนข้างดูย้อนยุคไปนิด พร้อมกับขนาดตัวเครื่อง 163 x 74.7 x 8.95 mm จับถนัดมือ ทำให้มีน้ำหนักแค่ 190 g เท่านั้น
ทางด้านหน้าจอในรุ่นนี้มาพร้อมกับงานออกแบบหน้าจอแบบเจาะรูเช่นกัน สเปกหน้าจอใส่มาให้ที่ หน้าจอ LCD ขนาด 6.49 นิ้ว (1080 x 2400 พิกเซล) Full HD+, รีเฟรชเรท 90Hz, ใช้กระจก Gorilla Glass 3 แบบ 2.5D โดนปรับเป็น LCD พร้อมกับ การใช้งานที่ลื่นไหลเทียบเท่ากับรุ่นพี่เหมือนกัน แต่ไม่มีสแกนนิ้วบนหน้าจอ
ขอบหน้าจอในด้านบนนั้นเราจะเห็นว่ามีความหนาระดับนึงตามระดับเรทราคาประมาณนี้ พร้อมกับช่องลำโพงตัวที่ 2 และเซนเซอร์ต่างๆนั้นแฝงตามขอบเครื่องเป็นปกติ แน่นอนว่ากล้องหน้าแบบเจาะรู 16MP F2.0 ใส่มาให้ครับ
ส่วนขอบด้านล่างนั้นต้องบอกตรงๆว่ามีความหนาเทียบกับกับตัวอื่นๆในเรทราคาประมาณนี้เลยก็ว่าได้พร้อมกับ ปุ่มควบคุมบนหน้าจอทั้งหมด หรือจะปรับใช้งานแบบ Gesture แบบในภาพได้ทำให้ขอบเครื่องนั้นดูเรียบร้อยมากขึ้น
ขอบเครื่องในด้านขวานั้นจะเห็นเป็น Power เปิดปิด พร้อมกับขอบเครื่องแบบเงาแน่นอนว่าไม่ได้ใช้งานอลูมิเนียมอะไรครับ ขอบเครื่องรุ่นนี้จะเป็นพลาสติกทั้งหมด รวมถึงฝาหลังก็เป็นวัสดุแบบพลาสติกด้วยเช่นกัน ขอบกล้องขึ้นมาพอสมควร และไม่มี ALERT SLIDER ใส่เข้ามาให้แล้วนะ ทั้งด้านขวา และ ด้านซ้ายของเครื่อง
ในส่วนของขอบเครื่องด้านบนนั้นเราจะเห็นว่ามี ไมค์ตัดเสียงใส่เข้ามาให้ใช้งานพร้อมกับ ความโค้งมนของฝาหลังอีกทั้งในเรื่องของกล้องนั้นจะนูนขึ้นมาแบบชัดเจน ตัดขอบเหลี่ยมสวยงามและเล่นปัดเงาเช่นกันถือว่าดูดีระดับนึงเลย
ขอบเครื่องในส่วนล่างนั้นเราจะเห็นว่าตัวเครื่องนั้นจะใช้งาน USB-C มาพร้อมกับ ไมค์ และ ช่องเสียบหูฟัง รวมถึงลำโพงหลักของตัวเครื่อง แน่นอนว่ารุ่นนี้ใช้งานลำโพงคู่แล้วนะครับ แม้จะเป็นเรทราคาที่ไม่สูงมากก็ตามถือว่าทำได้ดี
ขอบเครื่องในด้านซ้ายนั้นเราจะเห็นว่ามีปุ่ม เพิ่ม – ลดเสียง พร้อมกับถาดซิมแบบ Hybrid Slot นั้นเองไม่ใช่ Triple Slot นะครับ ส่วนปุ่ม Alert Slider อย่างที่แจ้งไปนั้นไม่มีใส่เข้ามาให้แล้วนั้นเอง
ฝาหลังในรุ่นนี้ในไทยมาแค่รุ่นเดียว สีเดียวเท่านั้นนะครับเป็นสี สีน้ำเงินเข้ม Midnight Ice จะเล่นแสงสีสวยงาม สะท้อนเล่นกับหลอดไฟหรือแสงไฟได้สวยงามและดูดีมากๆ อีกทั้งฝาหลังยังถือว่าเป็นวัสดุพลาสติกแต่มีคุณภาพสูงมากๆตัวนึงในตลาดเพราะเป็นรอยได้ยาก มีความพรีเมี่ยมไม่ต่างกับวัสดุกระจกเลยในส่วนนี้ครับ อันนี้ถือว่าสวย แต่น่าเสียดายว่าการใส่สแกนนิ้วในด้านหลังแบบนี้ทำให้ตัวเครื่องในภาพรวมนั้นดูย้อนยุคไป ไม่ใช่การใส่ตรงปุ่มเปิด
กล้องหลังในรุ่นนี้มาพร้อมกับ 4 ตัว และที่น่าสนใจคือเลนส์หลักนั้นให้มาคุณภาพดีพอสมควรในระดับ 64MP ถ่ายชัด ถ่ายคม รายละเอียดดีแน่นอนครับใช้งานเซนเซอร์ ของ Omnivision OV64B กล้องหลัง 64MP (f/1.79) + กล้อง ultra-wide 8MP (f/2.25) + กล้อง monochrome 2MP + กล้องมาโคร 2MP (f/2.4), LED flash ก็ถือว่าเน้นในเรื่องของเลนส์หลักออกมาได้ดี พร้อมยังใส่ใช้งาน มุมกว้าง และ มาโครมาให้ใช้งานกันครบหลายระยะ
SPEC
- หน้าจอ LCD ขนาด 6.49 นิ้ว (1080 x 2400 พิกเซล) Full HD+, รีเฟรชเรท 90Hz, ใช้กระจก Gorilla Glass 3 แบบ 2.5D
- ชิปประมวลผล Snapdragon 690 8nm มาพร้อมการ์ดจอ Adreno 619L
- RAM LPDDR4x 6GB + storage (UFS 2.1) 128GB ที่ใส่ microSD card เพิ่มได้ถึง 512GB
- ซิมคู่
- Android 10 ที่ครอบด้วย Oxygen OS 10.5
- กล้องหลัง 64MP (f/1.79) + กล้อง ultra-wide 8MP (f/2.25) + กล้อง monochrome 2MP + กล้องมาโคร 2MP (f/2.4), LED flash
- กล้องหน้า 16MP (f/2.05)
- เซนเซอร์สแกนนิ้วด้านหลัง
- ขนาดตัวเครื่อง: 163 x 74.7 x 8.95มม. ; น้ำหนัก: 190 กรัม
- รูแจ็ค 3.5mm, ลำโพง
- รองรับ 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 802.11 ac (2.4GHz + 5GHz), Bluetooth 5.1, GPS/ GLONASS/ Beidou, NFC
- ใช้พอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 4,300mAh ที่รองรับ Warp Charge 30T
- ลำโพงคู่ Dual Stereo Speakers
PERFORMANCE
ประสิทธิภาพของตัวเครื่องตัวนี้พกพาSnapdragon 690 5G ที่แรงกว่าเดิม พร้อมกับ RAM 6GB และใช้งานหน่วยความจำแบบ UFS 128GB และทำคะแนนในส่วนของ Antutu ไปได้ 282598 คะแนน และ Geekbench ได้ไป 600/1837 รวมถึงหน่วยความจำอ่านเขียนไปได้สูงมากๆ ทำความเร็วไปได้ 783 MB/s และ DRM L3 สำหรับการดู NETFLIX รองรับสูงสุด SD ครับแอบน่าเสียดายของ NETFLIX นิดหน่อย
SYSTEM UI
Android 10 ที่ครอบด้วย Oxygen OS 10 และหลายๆคนคงทราบกันดีกว่าแบรนด์ OnePlus มักจะได้รับการอัพเกรดซอฟต์แวร์เร็วเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ Google เท่านั้น เป็นรุ่นที่ทำระบบมาค่อนข้างดีมากๆและใช้งานได้ดีอันดับต้นๆของ Android การแจ้งเตือนอะไรทำได้ไวกว่าหลายๆตัวในบรรดา Android ด้วยและทำราคาถูกลงมาก
แน่นอนว่าลากลงมา 1 ครั้งเจอตั้งค่า ลากลงมาอีกรอบก็ เหมือนรุ่นอื่นๆที่ใช้ Android และยังคงหน้าตาแบบเดียวกับทาง 8Pro ก่อนหน้าที่เรารีวิวไปครับ สำหรับการแบ่งหน้าจอนั้น ยังคงทำได้เช่นเดิม สามารถกดเข้าหน้าเคลียร์แอปและกดค้างหน้าแอปได้เลย แต่หน้าตาพวกนี้มันเปลี่ยนโทนสีได้เลยเลือก ดำแดง ก็สวยเข้มดี เปลี่ยนรูปทรงไอคอนได้ด้วยนะสวยงามเลยหน้า Quick Setting
ตัวระบบใช้งานได้ 110 GB และ RAM 6 GB ใช้ไป 3.2 GB โดยเป็นการนับเฉลี่ย 1 วันที่แอดมินใช้งานปกติครับผม สำหรับทางแป้นพิมพ์ ตัวนี้ใช้ของ G board อันนี้แอดมินชอบสุดละตัวนี้ เรียบสวยและสเถียรมากๆ
หน้าจอในรุ่นนี้สามารถปรับได้ 60Hz และ 90 Hz ครับ แต่ในด้านความละเอียดนั้นเป็น FHD ปกติเลย ส่วนทางด้านหน้าจอเพิ่มเติมสามารถปรับโทนสีอะไรได้ รวมถึงการเจาะรูกล้องหน้าว่าจะเป็นแบบไหน หรือซ่อนไป และปรับหน้าแอปเต็มหน้าจอ และทางด้านปุ่มควบคุมนำทางนั้นปรับได้ว่าใช้งานปุ่มหรือท่าทางและ แตะ หรือ กดค้างจะสั่งงานอะไร
[SR] รีวิว ONEPLUS NORD N10 5G กล้องหลัง 4 ตัว 64MP + WarpCharge 30W พร้อมใช้งาน 5G !
Oneplus Nord N10 5G นั้นเป็นรุ่นที่ต้องบอกก่อนว่า มันอาจจะไม่เชิงว่าเป็นตัว NORD เต็มๆซักเท่าไร เรียกว่า N10 แทนกันสับสนครับ เจ้าตัว N10 รุ่นนี้จะรองรับ 5G ที่ทำเรทราคาออกมาได้น่าสนใจ จับต้องได้ง่าย รวมถึงดีไซน์งานออกแบบนั้นมีความหรูหรามากขึ้น สเปคกล้อง 64MP ถ่ายชัด ถ่ายคม รายละเอียดดีพอสมควร และ หน้าจอ รวมถึงการชาร์จไวอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ดี ลำโพงคู่มาให้ และหน้าจอมีความลื่นไหล 90Hz แต่จะเป็นหน้าจอ IPS LCD แทนนั้นเองครับ มาพร้อมกับ Snapdragon 690 5G พร้อมใช้งานในไทย อีกทั้งขนาดหน้าจออยู่ในเรทที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป และที่สำคัญนั้น มาพร้อมกับ Oxygen OS ที่มีความนิ่ง ลื่นไหล และ เรียบง่ายอันดับต้นๆของทาง Android และอัปเดตได้ไว จึงเหมาะกับหลายๆคนที่อยากเล่น Oneplus แต่งบไม่มากและเน้น 5G นั้นเอง
Nord N10 5G แน่นอนว่าเป็นรุ่นที่ทำราคาออกมาไม่แรงมากนัก มาพร้อมหน้าจอขนาด 6.49 นิ้วที่มีรีเฟรชเรท 90Hz เป็นหน้าจอ LCD (1080 x 2400 พิกเซล) Full HD+, ใช้กระจก Gorilla Glass 3 แบบ 2.5D และภายในตัวเครื่องใช้เป็นชิป Snapdragon 690 ที่มาพร้อม RAM 6GB STORAGE 128GB นอกจากนี้ยังมาพร้อมกล้องหลัง 4 ตัวที่จัดเต็ม กล้องหลัง 64MP (f/1.79) + กล้อง ultra-wide 8MP (f/2.25) + กล้องmono chrome 2MP + กล้องมาโคร 2MP (f/2.4), LED flash และทางด้าน กล้องหน้า 16MP (f/2.05) ถือว่าสเปกกล้องก็จัดว่าดีในเลนส์หลักต่างๆครับ อีกทั้งกล้องหน้าออกแบบ แบบหน้าจอเจาะรูด้วยเช่นกัน และแบตเตอรี่ 4,300 mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว Warp Charge 30T แบบเดียวกับใน OnePlus 8 และ Nord ปกติ พร้อมกับ ครอบทับด้วยระบบปฏิบัติการ OxygenOS ที่ลื่นไหล ไม่มีสะดุด การันตีการอัปเดตซอฟต์แวร์และระบบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องในดีไซน์สีน้ำเงินเข้ม Midnight Ice มาขายในไทยแค่สีเดียว ส่วนราคานั้นบอกเลยว่าทำได้ดี
ONEPLUS NORD N10 5G : RAM 6GB STORAGE 128GB
เปิดราคาในไทย มาพร้อมกับสี Midnight Ice : 9,990 บาท
UNBOX
กล่องทางด้าน Oneplus Nord N10 5G นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะแน่นอนว่าหลักๆทางด้านสีนั้นจากทางสีแดงที่เคยเป็นสีที่คุ้นเคยประจำค่ายนี้ แต่ครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นการใช้สีฟ้าเป็นสีที่จะเห็นในหลากหลายรุ่นของ NORD ครับแม้จะไม่ได้ตระกูลตรงๆ แต่ก็เป็นจุดที่ทำให้แตกต่างกับตัวหลัก รวมถึงโทนงานออกแบบทั้งหมดเปลี่ยนใหม่ให้แตกต่างกับรุ่นปกติของค่ายทันที แต่น่าเสียดายว่าสายชาร์จนั้นยังคงเป็นสีแดงอยู่ ไม่ได้ย้อมสีฟ้าแบบรุ่นอื่น และ ที่ชาร์จ 30W แต่จะไม่มีเคส ไม่มีฟิล์ม แถมมาให้แล้วในตัวกล่อง รวมถึงไม่มีสติกเกอร์ใส่เข้ามาแล้วด้วยเช่นกัน
DESIGN
สำหรับงานออกแบบของทาง Oneplus Nord N10 5G รุ่นนี้แน่นอนว่าดีไซน์ไม่ได้หนีจากรุ่นทั่วไปในตลาดเท่าไรนักถ้ามองกันตรงๆก็จะไปคล้ายๆ ญาติห่างๆของตัวเองในค่าย O , R นั้นเองทั้งการวางดีไซน์กล้องหลัง รูปทรงต่างๆ และในรุ่นนี้ก็ไม่มี Alert Slider เอกลักษณ์ของทางค่ายหลงเหลือแล้ว ส่วนเรื่องของงานออกแบบฝาหลังก็เล่นแสงสีสวยงามโดดเด่นทำให้เป็นจุดแตกต่างกันอยู่บ้าง พร้อมกับโลโก้ Oneplus เขียนตัวอักษรในด้านล่าง ส่วนวัสดุนั้นเป็นพลาสติกในส่วนของฝาหลังนะครับ และจะเห็นว่าแอบมีสแกนนิ้วในด้านหลังอยู่ค่อนข้างดูย้อนยุคไปนิด พร้อมกับขนาดตัวเครื่อง 163 x 74.7 x 8.95 mm จับถนัดมือ ทำให้มีน้ำหนักแค่ 190 g เท่านั้น
ทางด้านหน้าจอในรุ่นนี้มาพร้อมกับงานออกแบบหน้าจอแบบเจาะรูเช่นกัน สเปกหน้าจอใส่มาให้ที่ หน้าจอ LCD ขนาด 6.49 นิ้ว (1080 x 2400 พิกเซล) Full HD+, รีเฟรชเรท 90Hz, ใช้กระจก Gorilla Glass 3 แบบ 2.5D โดนปรับเป็น LCD พร้อมกับ การใช้งานที่ลื่นไหลเทียบเท่ากับรุ่นพี่เหมือนกัน แต่ไม่มีสแกนนิ้วบนหน้าจอ
ขอบหน้าจอในด้านบนนั้นเราจะเห็นว่ามีความหนาระดับนึงตามระดับเรทราคาประมาณนี้ พร้อมกับช่องลำโพงตัวที่ 2 และเซนเซอร์ต่างๆนั้นแฝงตามขอบเครื่องเป็นปกติ แน่นอนว่ากล้องหน้าแบบเจาะรู 16MP F2.0 ใส่มาให้ครับ
ส่วนขอบด้านล่างนั้นต้องบอกตรงๆว่ามีความหนาเทียบกับกับตัวอื่นๆในเรทราคาประมาณนี้เลยก็ว่าได้พร้อมกับ ปุ่มควบคุมบนหน้าจอทั้งหมด หรือจะปรับใช้งานแบบ Gesture แบบในภาพได้ทำให้ขอบเครื่องนั้นดูเรียบร้อยมากขึ้น
ขอบเครื่องในด้านขวานั้นจะเห็นเป็น Power เปิดปิด พร้อมกับขอบเครื่องแบบเงาแน่นอนว่าไม่ได้ใช้งานอลูมิเนียมอะไรครับ ขอบเครื่องรุ่นนี้จะเป็นพลาสติกทั้งหมด รวมถึงฝาหลังก็เป็นวัสดุแบบพลาสติกด้วยเช่นกัน ขอบกล้องขึ้นมาพอสมควร และไม่มี ALERT SLIDER ใส่เข้ามาให้แล้วนะ ทั้งด้านขวา และ ด้านซ้ายของเครื่อง
ในส่วนของขอบเครื่องด้านบนนั้นเราจะเห็นว่ามี ไมค์ตัดเสียงใส่เข้ามาให้ใช้งานพร้อมกับ ความโค้งมนของฝาหลังอีกทั้งในเรื่องของกล้องนั้นจะนูนขึ้นมาแบบชัดเจน ตัดขอบเหลี่ยมสวยงามและเล่นปัดเงาเช่นกันถือว่าดูดีระดับนึงเลย
ขอบเครื่องในส่วนล่างนั้นเราจะเห็นว่าตัวเครื่องนั้นจะใช้งาน USB-C มาพร้อมกับ ไมค์ และ ช่องเสียบหูฟัง รวมถึงลำโพงหลักของตัวเครื่อง แน่นอนว่ารุ่นนี้ใช้งานลำโพงคู่แล้วนะครับ แม้จะเป็นเรทราคาที่ไม่สูงมากก็ตามถือว่าทำได้ดี
ขอบเครื่องในด้านซ้ายนั้นเราจะเห็นว่ามีปุ่ม เพิ่ม – ลดเสียง พร้อมกับถาดซิมแบบ Hybrid Slot นั้นเองไม่ใช่ Triple Slot นะครับ ส่วนปุ่ม Alert Slider อย่างที่แจ้งไปนั้นไม่มีใส่เข้ามาให้แล้วนั้นเอง
ฝาหลังในรุ่นนี้ในไทยมาแค่รุ่นเดียว สีเดียวเท่านั้นนะครับเป็นสี สีน้ำเงินเข้ม Midnight Ice จะเล่นแสงสีสวยงาม สะท้อนเล่นกับหลอดไฟหรือแสงไฟได้สวยงามและดูดีมากๆ อีกทั้งฝาหลังยังถือว่าเป็นวัสดุพลาสติกแต่มีคุณภาพสูงมากๆตัวนึงในตลาดเพราะเป็นรอยได้ยาก มีความพรีเมี่ยมไม่ต่างกับวัสดุกระจกเลยในส่วนนี้ครับ อันนี้ถือว่าสวย แต่น่าเสียดายว่าการใส่สแกนนิ้วในด้านหลังแบบนี้ทำให้ตัวเครื่องในภาพรวมนั้นดูย้อนยุคไป ไม่ใช่การใส่ตรงปุ่มเปิด
กล้องหลังในรุ่นนี้มาพร้อมกับ 4 ตัว และที่น่าสนใจคือเลนส์หลักนั้นให้มาคุณภาพดีพอสมควรในระดับ 64MP ถ่ายชัด ถ่ายคม รายละเอียดดีแน่นอนครับใช้งานเซนเซอร์ ของ Omnivision OV64B กล้องหลัง 64MP (f/1.79) + กล้อง ultra-wide 8MP (f/2.25) + กล้อง monochrome 2MP + กล้องมาโคร 2MP (f/2.4), LED flash ก็ถือว่าเน้นในเรื่องของเลนส์หลักออกมาได้ดี พร้อมยังใส่ใช้งาน มุมกว้าง และ มาโครมาให้ใช้งานกันครบหลายระยะ
SPEC
- หน้าจอ LCD ขนาด 6.49 นิ้ว (1080 x 2400 พิกเซล) Full HD+, รีเฟรชเรท 90Hz, ใช้กระจก Gorilla Glass 3 แบบ 2.5D
- ชิปประมวลผล Snapdragon 690 8nm มาพร้อมการ์ดจอ Adreno 619L
- RAM LPDDR4x 6GB + storage (UFS 2.1) 128GB ที่ใส่ microSD card เพิ่มได้ถึง 512GB
- ซิมคู่
- Android 10 ที่ครอบด้วย Oxygen OS 10.5
- กล้องหลัง 64MP (f/1.79) + กล้อง ultra-wide 8MP (f/2.25) + กล้อง monochrome 2MP + กล้องมาโคร 2MP (f/2.4), LED flash
- กล้องหน้า 16MP (f/2.05)
- เซนเซอร์สแกนนิ้วด้านหลัง
- ขนาดตัวเครื่อง: 163 x 74.7 x 8.95มม. ; น้ำหนัก: 190 กรัม
- รูแจ็ค 3.5mm, ลำโพง
- รองรับ 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 802.11 ac (2.4GHz + 5GHz), Bluetooth 5.1, GPS/ GLONASS/ Beidou, NFC
- ใช้พอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 4,300mAh ที่รองรับ Warp Charge 30T
- ลำโพงคู่ Dual Stereo Speakers
PERFORMANCE
ประสิทธิภาพของตัวเครื่องตัวนี้พกพาSnapdragon 690 5G ที่แรงกว่าเดิม พร้อมกับ RAM 6GB และใช้งานหน่วยความจำแบบ UFS 128GB และทำคะแนนในส่วนของ Antutu ไปได้ 282598 คะแนน และ Geekbench ได้ไป 600/1837 รวมถึงหน่วยความจำอ่านเขียนไปได้สูงมากๆ ทำความเร็วไปได้ 783 MB/s และ DRM L3 สำหรับการดู NETFLIX รองรับสูงสุด SD ครับแอบน่าเสียดายของ NETFLIX นิดหน่อย
SYSTEM UI
Android 10 ที่ครอบด้วย Oxygen OS 10 และหลายๆคนคงทราบกันดีกว่าแบรนด์ OnePlus มักจะได้รับการอัพเกรดซอฟต์แวร์เร็วเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ Google เท่านั้น เป็นรุ่นที่ทำระบบมาค่อนข้างดีมากๆและใช้งานได้ดีอันดับต้นๆของ Android การแจ้งเตือนอะไรทำได้ไวกว่าหลายๆตัวในบรรดา Android ด้วยและทำราคาถูกลงมาก
แน่นอนว่าลากลงมา 1 ครั้งเจอตั้งค่า ลากลงมาอีกรอบก็ เหมือนรุ่นอื่นๆที่ใช้ Android และยังคงหน้าตาแบบเดียวกับทาง 8Pro ก่อนหน้าที่เรารีวิวไปครับ สำหรับการแบ่งหน้าจอนั้น ยังคงทำได้เช่นเดิม สามารถกดเข้าหน้าเคลียร์แอปและกดค้างหน้าแอปได้เลย แต่หน้าตาพวกนี้มันเปลี่ยนโทนสีได้เลยเลือก ดำแดง ก็สวยเข้มดี เปลี่ยนรูปทรงไอคอนได้ด้วยนะสวยงามเลยหน้า Quick Setting
ตัวระบบใช้งานได้ 110 GB และ RAM 6 GB ใช้ไป 3.2 GB โดยเป็นการนับเฉลี่ย 1 วันที่แอดมินใช้งานปกติครับผม สำหรับทางแป้นพิมพ์ ตัวนี้ใช้ของ G board อันนี้แอดมินชอบสุดละตัวนี้ เรียบสวยและสเถียรมากๆ
หน้าจอในรุ่นนี้สามารถปรับได้ 60Hz และ 90 Hz ครับ แต่ในด้านความละเอียดนั้นเป็น FHD ปกติเลย ส่วนทางด้านหน้าจอเพิ่มเติมสามารถปรับโทนสีอะไรได้ รวมถึงการเจาะรูกล้องหน้าว่าจะเป็นแบบไหน หรือซ่อนไป และปรับหน้าแอปเต็มหน้าจอ และทางด้านปุ่มควบคุมนำทางนั้นปรับได้ว่าใช้งานปุ่มหรือท่าทางและ แตะ หรือ กดค้างจะสั่งงานอะไร
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้