*เนื้อหานี้มีทั้งแบบให้
อ่านและ
ดู(วิดีโอ)นะครับ เลือกเอาที่สะดวกเลย
(Spoil นะ)
.
- เนื้อหาแบบอ่าน จะไม่มีภาพเคลื่อนไหวและเสียงประกอบ อาจเข้าใจยากนิดนึงเพราะการอธิบายต้องใช้จินตนาการตาม หรือต้องมีประสบการณ์เกี่ยวกับการดูหนังระดับนึง
(แล้วก็จะมีต่อยาวนะ เพราะตัวอักษรที่พิมพ์ไปมีมากกว่า 20000 ตัว)
.
- เนื้อหาแบบดู(วิดีโอ)จะมีครบหมด เข้าใจง่ายกว่าและมีการเล่นมีม ทั้งภาพและเสียงจะสอดคล้องกันหมดนะครับ*
.
เอาละมาเริ่มกันเลย!
.
(วิดีโอทางเลือก ความยาว 23 นาที)
.
สวัสดีทุกคนด้วยนะครับ ผมรู้นะว่าเรื่องนี้มีดราม่ามานานแล้ว เป็นเรื่องเก่าที่คนพูดถึงกัน แล้วผมจะเอามาพูดอีกทำไมละ ? คือผมจะพูดในแง่มุมที่พวกคุณยังไม่เคยฟังกันครับ..
.
ซึ่งผมเองเป็นคนที่ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับเนื้อเรื่องอยู่แล้ว เกมนี้ก็เป็นเกมที่มีประเด็นเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง อีกอย่างคือผมยังไม่เห็นคนที่อธิบายอย่างชัดเจนเลยว่าเนื้อเรื่องภาคนี้ดีหรือแย่ยังไง มีแต่ออกไปทางแล้วแต่คนชอบ กับออกไปทางความรู้สึกส่วนตัว ซึ่งก็เลยทำให้ผมอยากอธิบายขึ้นมาครับ
.
.
*ในวันที่ผมเขียน/ทำคลิป /// The Game Awards ยังไม่ประกาศผลรางวัลนะ ผมไม่รู้มาก่อนว่าเกมจะได้รางวัลอะไรบ้าง (ไปดูวันที่และเวลาในคลิปก็ได้ว่าผมอัพก่อน) และหลังจากผลออกมาก็คือ The Last of Us Part 2 กวาดไป 7 รางวัลด้วยกัน ซึ่งจะมี..
.
.
- Game of the Year
- Best Game Direction
- Best Narrative
- Best Audio Design
- Best Performance
- Innovation in Accessibility
- Best Action/Adventure
.
ถือว่าเยอะมาก และก็พอดีเลยกับเนื้อหาที่ผมทำไว้นี้ น่าจะช่วยอธิบายแง่มุมบางอย่างได้ว่าทำไม The Last of Us Part 2 ถึงกวาดรางวัลไปเยอะขนาดนี้..*
.
.
จบการอัพเดทนะ มาพูดถึงสิ่งที่ผมจะพูดดีกว่า.. โดยทั่วไปแล้วเนื้อเรื่องหรือบทเป็นสิ่งที่อธิบายได้นะครับว่าดีหรือแย่ยังไง (ที่ไม่ใช่แค่ชอบกับไม่ชอบ) แต่เราต้องเข้าใจธรรมชาติและโครงสร้างของมันระดับนึง เหมือนกับที่ผู้สร้างหรือนักวิจารณ์ยกย่องผลงานของใครบางคนน่ะแหละ ยกย่องในแบบที่พูดถึงโครงสร้างและวิธีคิดในงานนั้นๆนะ ไม่ใช่แค่แบบ “โอ้วว้าวฉันชอบเกมนี้จัง มันสนุกมากๆเลย” ถ้าแบบนี้คือใครๆก็พูดได้ครับ ไม่ต้องเล่นไม่ต้องเสพยังพูดได้เลย เหมือนกับบางรีวิวเกมที่เราสามารถรับรู้ได้เลยว่าเขาเล่นไม่จบ แค่พูดตามที่เกมโปรโมทหรือไม่ก็พูดตามคนอื่นเอา..
.
ซึ่งผมจะมาอธิบายเกี่ยวกับบทหรือเนื้อเรื่อง วิธีการเล่าเรื่อง วิธีคิดของผู้สร้าง และสิ่งที่เขาอยากจะสื่อนั่นแหละครับ สิ่งเหล่านี้จะช่วยบ่งบอกว่าดีหรือแย่ยังไง ไม่ใช่ความชอบหรือเกลียดนะ
.
.
เอาละ ผมอยากให้คิดง่ายๆว่าบทหรือเนื้อเรื่องก็เหมือนอาหารครับ เราบอกได้ว่ารสชาติมันดีหรือแย่ยังไง องค์ประกอบในนั้นมีส่วนผสมอะไรบ้าง วัตถุดิบที่ใช้เกรดดีแค่ไหน ขั้นตอนการทำน่าจะเป็นยังไง แต่ต่อให้เราอธิบายได้ว่ามันดีแค่ไหนก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะต้องชอบ เพราะต่อมรับรสแต่ละคนไม่เหมือนกัน ง่ายๆคือชอบกับดีคนละเรื่องกัน ดีไม่ดีอธิบายได้ครับ แต่ชอบกับไม่ชอบไม่จำเป็นต้องอธิบายก็ได้ มันก็เหมือนความรักน่ะแหละ... (อิอิ)
.
ทีนี้ผมจะถือว่าทุกคนรู้เรื่องเกมทั้งสองภาคแล้ว ผมจะไม่เล่าเนื้อเรื่องละเอียด แต่จะยกมาบางฉากเพื่อประกอบให้เข้าใจเฉยๆนะ ซึ่งบทเกมส่วนใหญ่จะได้แรงบันดาลใจมาจากหนังนะครับ การรับรู้ไม่เหมือนกันก็จริง คนเล่นจะอินง่ายกว่าคนดู แต่พื้นฐานการเขียนบทเกมจะได้ไอเดียมาจากหนังน่ะแหละ จริงๆคำว่าบทมันก็เริ่มมาจากการเขียนด้วยกันทั้งนั้น เพราะงั้นไม่ต่างกันมากครับ ผมจะยกตัวอย่างบทหรือเนื้อเรื่องหนังบางเรื่องมาประกอบไปด้วยนะ
.
.
เอาละมาเริ่มจากพล็อตกันก่อนเลย พล็อตในภาคนี้จะเริ่มด้วย Conflict ที่ถูกใส่เข้ามาตั้งแต่ต้น เราจะรู้เลยว่า Joel กับ Ellie มีเรื่องค้างคาใจกัน จากนั้น Conflict ที่ทำให้คนเกลียดก็คือ Joel จะตาย แล้ว Ellie จะออกล้างแค้น ทำให้เกิด Conflict ที่ทำให้ Abby ซึ่งเป็นคนที่ฆ่า Joel หันมาแค้น Ellie
.
แถมเราจะได้รู้แง่มุมของ Abby ที่ฆ่า Joel ด้วย โดยเธอจะมี Conflict ของเธออีกพอสมควรเลยก่อนจะมาถึงจุดนี้ จากนั้นจะเป็น Conflict สำคัญที่ทั้งคู่เผชิญหน้ากันและ Ellie จะแพ้ ทุกคนแยกทาง ซึ่งเหมือนจะจบด้วยดีนะ แต่จะมี Conflict ถูกใส่เพิ่มเข้ามาอีก ทำให้ Ellie ต้องไปสะสางเรื่องที่ยังหลอกหลอนใจอยู่ และสุดท้ายเธอก็จำใจต้องก้าวข้ามมัน กลับไปลำลึกความหลังและพยายาม Move on อีกครั้ง...
.
ถ้ามองแค่พล็อตก็ดูดีแล้วนะ มีเรื่องราวและ Message ที่ชัดเจน แถมมี Conflict ที่แข็งแรง แต่อย่างว่าครับ พล็อตไม่ใช่บท พล็อตดูดีไม่ได้บ่งบอกว่าบทต้องออกมาดีตาม..
.
อ้อเผื่อใครสงสัย พล็อตก็คือภาพรวมและจุดสำคัญที่ทำให้เกิดบางอย่างตามที่ผมพูดไป ซึ่งจริงๆในภาคนี้จะมี Conflict ของตัวละครอื่นต่อตัวละครหลักที่ผมไม่ได้พูดในพล็อตด้วยนะ
.
.
ทีนี้ Conflict คืออะไร ? // เพราะผมพูดบ่อยเหลือเกิน สำหรับคนที่ไม่รู้นะครับ // Conflict คือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเรื่องราวทั้งหมด อันนี้แหละคือสิ่งที่ทำให้บทเข้มข้น มีผลกับจิตใจคนมากที่สุด
.
บทที่ไม่มี Conflict จะเป็นบทที่ไม่ดี น่าเบื่อ เพราะไม่มีเหตุการณ์สำคัญ แถมตัวละครไม่เกิดพัฒนาการ หรือถ้ามี Conflict แต่ไม่แข็งแรง ผู้คนจะไม่รู้สึกอะไรกับ Conflict เหล่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นการสร้าง Conflict ได้ไม่ดี..
.
โดยเราจะเห็น Conflict ที่ไม่ดีบ่อยๆในหนังแอคชั่นครับ ถ้าหนังแอคชั่นเรื่องนั้นขับเคลื่อนด้วยการแก้แค้น พอดูจบแล้วก็จบเลยไม่ได้ทำให้เราอินอะไรกับ Conflict ที่เขาใส่มาเท่าไหร่ เราจะแค่รู้สึกถึงความสนุกที่มาจากส่วนของแอคชั่น คนเลยไม่ค่อยชมว่าหนังแอคชั่นบทดีไงครับ
.
แต่การที่เรารู้สึกแย่ รู้สึกอึดอัด รู้สึกสับสนกับ Conflict ที่เกิดขึ้น ถ้า Conflict ที่เขาใส่ต้องการสื่อถึงความรู้สึกเหล่านั้น ถือว่าเป็น Conflict ที่ดีนะครับ เป้าหมายของ Conflict คือเอาไว้ขับเคลื่อนตัวละคร ไม่จำเป็นต้องทำให้คนเสพรู้สึกดีหรือพึงพอใจ คำและความหมายของมันก็บ่งบอกตัวเองอยู่แล้วนะ
.
ซึ่งบทโดยทั่วไปต้องมี Conflict ที่สมเหตุสมผลครับ ถ้าเป็นบทที่อาร์ตหรืออยากนำเสนอโดยเน้นอารมณ์ ไม่ต้องสมเหตุสมผลแต่เน้นอารมณ์ล้วนๆก็ได้ แบบประหลาดจนดู Abstract ไปเลยก็มี..
.
โดยในภาคนี้ Conflict เยอะมากเลยนะ มากกว่าภาคแรกอีก แถมเขาทำให้สมเหตุสมผลด้วย ถ้าเราเล่นหรือติดตามเรื่องราวไปจนจบ เขามีการอธิบายรองรับหมดเลย (ซึ่งผมจะอธิบายตอน Breakdown ตัวละคร) แต่ถ้าเรารู้สึกไม่ชอบ Conflict ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดนะ อย่างที่ผมบอกไปว่า Conflict คืออะไรครับ
.
.
ส่วนบทจะรวมทุกๆรายละเอียดที่เราเห็น พวกมุมกล้อง ภาพ แสง สี เสียง สถานที่ ฉาก การแสดง สีหน้า ท่าทาง คำพูด บลาๆๆ แม้แต่การไม่พูดก็คือบทนะ แล้วก็ภาพดำๆเปล่าๆก็เป็นบทได้เหมือนกันถ้าเขาจงใจใส่เข้ามา ไม่ได้หมายถึง Loading ในเกมนะ 55555+
.
ทีนี้การจะบอกว่าบทห่วยหรือดีเนี่ย ถ้าให้ดีต้องอธิบายรายละเอียดของตัวบทด้วยครับ การบอกว่าพล็อตแบบนี้ Conflict แบบนั้นเราชอบไม่ชอบคือดีหรือห่วย ถ้าผมพูดแค่นี้แล้วบอกว่าดีหรือห่วย มันจะดูตื้นเขินเกินไป อย่างที่บอกว่าไม่ต้องเล่นไม่ต้องเสพก็พูดได้ครับแบบนี้..
.
ผมจะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายขึ้นละกัน คือถ้าผมบอกว่า Joel ถูกฆ่าแล้ว Ellie แค้นคือบทดี มันสมเหตุสมผลเพราะทั้งคู่ผูกพันกัน ถ้าพูดแค่นี้แล้วบอกว่าบทดี เกมอื่นที่มี Conflict ทำนองนี้ก็จะกลายเป็นบทดีเหมือนกันไปหมด เราจะไม่สามารถอธิบายความแตกต่างได้เลย..
.
.
แต่ถ้าผมอธิบายว่าในฉากที่ Joel กำลังถูกฆ่า ดนตรีจะให้ความรู้สึกทุ้มๆหนักๆเพื่อถ่ายทอดความหนักหน่วง // Ellie จะเข้ามาเห็น Joel กำลังถูกฟาดจนเละพอดี
.
ภาพจะตัดไปถ่ายสีหน้าของ Ellie ที่แสดงความรู้สึก แล้วเธอจะต่อสู้จนถูกจับกด ดนตรีจะรุนแรงขึ้นเพื่อแสดงถึงสถานการณ์ความหนักหน่วงที่เพิ่มขึ้น..
.
จากนั้นกล้องจะเคลื่อนลงมาให้เราเห็นแบบมุมมองของ Ellie // เพื่อให้เราเข้าใจมุมมองเธอในตอนนี้มากขึ้น อินมากขึ้น รู้สึกราวกับที่เธอรู้สึก จากนั้นก็ตัดกลับไปถ่ายสีหน้าของเธอต่อ Joel ที่กำลังจะถูกกระทำต่อจากนี้ เราจะเห็นความเจ็บปวดที่ออกมาทางการแสดงแทน ตัดกลับไปที่ Joel เพื่อย้ำเตือนสิ่งที่ Ellie ต้องเห็น
.
ก่อนที่ดนตรีจะบิ้วขีดสุด และจบลงให้วิ้งตอน Joel ตาย เพื่อบ่งบอกว่าโฟกัสของ Ellie ตอนนี้มีแค่ความคิดที่จะฆ่าพวกนั้น คำพูดของตัวละครอื่นต่อจากนี้เลยไม่จำเป็นต้องจับใจความได้ครับ (เสียงอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่อง)
.
.
ทั้งหมดทำเพื่อให้เราเข้าใจมุมมองของ Ellie ที่ต้องเจอเรื่องเหล่านี้ ทำไมเขาเลือกเคลื่อนกล้องลงมา ? ทำไมไม่แค่จับภาพเฉยๆ ? ทำไมดนตรีต้องบิ้วและจบแบบนี้ ? ทำไมเขาตัดภาพไปมาให้เราเห็นหน้าตัวละครแบบนั้น ? ก็เพื่อให้เราเข้าใจความผูกพันและความรู้สึกของ Ellie อย่างลึกซึ้ง เห็นความแตกต่างกับการอธิบายแบบแรกแล้วนะครับ ผมคงไม่ต้องบอกใช่มั้ยว่าการอธิบาย 2 แบบนี้อันไหนจะทำให้คนฟังรับรู้ได้ว่าบทดีหรือแย่มากกว่ากัน..
.
อ้อแล้วก็แบบนี้เรียกว่าบทดีนะ เพราะมีรายละเอียดชัดเจน สอดคล้อง และส่งเสริมกันทั้งหมด
.
ทีนี้ต่อให้เกมอื่นมี Conflict แบบนี้ แต่ถ้าเขาใส่ดนตรีชะชะช่า ตั้งกล้องมุมเดียว ไม่ตัดไปที่ใครเลย ถ่ายอยู่มุมเดียวหน้าตัวละครเดียว แต่อยากจะสื่อแบบนี้ อยากให้อารมณ์ออกมาแบบนี้ คือมันก็สื่อได้เหมือนกันแหละ เข้าใจได้เหมือนกัน แต่อารมณ์ที่ได้จะต่างกัน แล้วถ้าองค์ประกอบหลายๆอย่างไม่ได้ส่งเสริมกัน แถมถ่ายทอดออกมาไม่ถึงอารมณ์ จะถือว่าเป็นบทที่ไม่ค่อยดีครับ
.
สังเกตมั้ยว่าบทที่ดีต้องมาจากการตัดต่อ การเล่าเรื่อง หรือแม้กระทั่งการกำกับที่ดีด้วย (จริงๆมันมากกว่านี้) หลายๆอย่างต้องส่งเสริมกันหมดนะ เราเลยไม่เห็นหนัง(เกม)แย่ที่ได้รางวัลบทดีไง เพราะงั้นถ้าผมพูดถึงแค่พล็อตหรือ Conflict อย่างเดียว มันก็ตื้นเขินเกินไปตามที่ว่า แถมไม่ได้อธิบายสิ่งที่ดีหรือแย่ของตัวงานนั้นจริงๆครับ
.
.
มีต่อ...
.
Edit* ใส่รูปเพิ่ม
อธิบายบท/เนื้อเรื่อง The Last of Us Part 2 [Game of the Year] ทำได้ดี!! ไม่ห่วย ?
.
- เนื้อหาแบบอ่าน จะไม่มีภาพเคลื่อนไหวและเสียงประกอบ อาจเข้าใจยากนิดนึงเพราะการอธิบายต้องใช้จินตนาการตาม หรือต้องมีประสบการณ์เกี่ยวกับการดูหนังระดับนึง (แล้วก็จะมีต่อยาวนะ เพราะตัวอักษรที่พิมพ์ไปมีมากกว่า 20000 ตัว)
.
- เนื้อหาแบบดู(วิดีโอ)จะมีครบหมด เข้าใจง่ายกว่าและมีการเล่นมีม ทั้งภาพและเสียงจะสอดคล้องกันหมดนะครับ*
.
เอาละมาเริ่มกันเลย!
.
(วิดีโอทางเลือก ความยาว 23 นาที)
.
สวัสดีทุกคนด้วยนะครับ ผมรู้นะว่าเรื่องนี้มีดราม่ามานานแล้ว เป็นเรื่องเก่าที่คนพูดถึงกัน แล้วผมจะเอามาพูดอีกทำไมละ ? คือผมจะพูดในแง่มุมที่พวกคุณยังไม่เคยฟังกันครับ..
.
ซึ่งผมเองเป็นคนที่ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับเนื้อเรื่องอยู่แล้ว เกมนี้ก็เป็นเกมที่มีประเด็นเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง อีกอย่างคือผมยังไม่เห็นคนที่อธิบายอย่างชัดเจนเลยว่าเนื้อเรื่องภาคนี้ดีหรือแย่ยังไง มีแต่ออกไปทางแล้วแต่คนชอบ กับออกไปทางความรู้สึกส่วนตัว ซึ่งก็เลยทำให้ผมอยากอธิบายขึ้นมาครับ
.
.
*ในวันที่ผมเขียน/ทำคลิป /// The Game Awards ยังไม่ประกาศผลรางวัลนะ ผมไม่รู้มาก่อนว่าเกมจะได้รางวัลอะไรบ้าง (ไปดูวันที่และเวลาในคลิปก็ได้ว่าผมอัพก่อน) และหลังจากผลออกมาก็คือ The Last of Us Part 2 กวาดไป 7 รางวัลด้วยกัน ซึ่งจะมี..
.
.
- Game of the Year
- Best Game Direction
- Best Narrative
- Best Audio Design
- Best Performance
- Innovation in Accessibility
- Best Action/Adventure
.
ถือว่าเยอะมาก และก็พอดีเลยกับเนื้อหาที่ผมทำไว้นี้ น่าจะช่วยอธิบายแง่มุมบางอย่างได้ว่าทำไม The Last of Us Part 2 ถึงกวาดรางวัลไปเยอะขนาดนี้..*
.
.
จบการอัพเดทนะ มาพูดถึงสิ่งที่ผมจะพูดดีกว่า.. โดยทั่วไปแล้วเนื้อเรื่องหรือบทเป็นสิ่งที่อธิบายได้นะครับว่าดีหรือแย่ยังไง (ที่ไม่ใช่แค่ชอบกับไม่ชอบ) แต่เราต้องเข้าใจธรรมชาติและโครงสร้างของมันระดับนึง เหมือนกับที่ผู้สร้างหรือนักวิจารณ์ยกย่องผลงานของใครบางคนน่ะแหละ ยกย่องในแบบที่พูดถึงโครงสร้างและวิธีคิดในงานนั้นๆนะ ไม่ใช่แค่แบบ “โอ้วว้าวฉันชอบเกมนี้จัง มันสนุกมากๆเลย” ถ้าแบบนี้คือใครๆก็พูดได้ครับ ไม่ต้องเล่นไม่ต้องเสพยังพูดได้เลย เหมือนกับบางรีวิวเกมที่เราสามารถรับรู้ได้เลยว่าเขาเล่นไม่จบ แค่พูดตามที่เกมโปรโมทหรือไม่ก็พูดตามคนอื่นเอา..
.
ซึ่งผมจะมาอธิบายเกี่ยวกับบทหรือเนื้อเรื่อง วิธีการเล่าเรื่อง วิธีคิดของผู้สร้าง และสิ่งที่เขาอยากจะสื่อนั่นแหละครับ สิ่งเหล่านี้จะช่วยบ่งบอกว่าดีหรือแย่ยังไง ไม่ใช่ความชอบหรือเกลียดนะ
.
.
เอาละ ผมอยากให้คิดง่ายๆว่าบทหรือเนื้อเรื่องก็เหมือนอาหารครับ เราบอกได้ว่ารสชาติมันดีหรือแย่ยังไง องค์ประกอบในนั้นมีส่วนผสมอะไรบ้าง วัตถุดิบที่ใช้เกรดดีแค่ไหน ขั้นตอนการทำน่าจะเป็นยังไง แต่ต่อให้เราอธิบายได้ว่ามันดีแค่ไหนก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะต้องชอบ เพราะต่อมรับรสแต่ละคนไม่เหมือนกัน ง่ายๆคือชอบกับดีคนละเรื่องกัน ดีไม่ดีอธิบายได้ครับ แต่ชอบกับไม่ชอบไม่จำเป็นต้องอธิบายก็ได้ มันก็เหมือนความรักน่ะแหละ... (อิอิ)
.
ทีนี้ผมจะถือว่าทุกคนรู้เรื่องเกมทั้งสองภาคแล้ว ผมจะไม่เล่าเนื้อเรื่องละเอียด แต่จะยกมาบางฉากเพื่อประกอบให้เข้าใจเฉยๆนะ ซึ่งบทเกมส่วนใหญ่จะได้แรงบันดาลใจมาจากหนังนะครับ การรับรู้ไม่เหมือนกันก็จริง คนเล่นจะอินง่ายกว่าคนดู แต่พื้นฐานการเขียนบทเกมจะได้ไอเดียมาจากหนังน่ะแหละ จริงๆคำว่าบทมันก็เริ่มมาจากการเขียนด้วยกันทั้งนั้น เพราะงั้นไม่ต่างกันมากครับ ผมจะยกตัวอย่างบทหรือเนื้อเรื่องหนังบางเรื่องมาประกอบไปด้วยนะ
.
.
เอาละมาเริ่มจากพล็อตกันก่อนเลย พล็อตในภาคนี้จะเริ่มด้วย Conflict ที่ถูกใส่เข้ามาตั้งแต่ต้น เราจะรู้เลยว่า Joel กับ Ellie มีเรื่องค้างคาใจกัน จากนั้น Conflict ที่ทำให้คนเกลียดก็คือ Joel จะตาย แล้ว Ellie จะออกล้างแค้น ทำให้เกิด Conflict ที่ทำให้ Abby ซึ่งเป็นคนที่ฆ่า Joel หันมาแค้น Ellie
.
แถมเราจะได้รู้แง่มุมของ Abby ที่ฆ่า Joel ด้วย โดยเธอจะมี Conflict ของเธออีกพอสมควรเลยก่อนจะมาถึงจุดนี้ จากนั้นจะเป็น Conflict สำคัญที่ทั้งคู่เผชิญหน้ากันและ Ellie จะแพ้ ทุกคนแยกทาง ซึ่งเหมือนจะจบด้วยดีนะ แต่จะมี Conflict ถูกใส่เพิ่มเข้ามาอีก ทำให้ Ellie ต้องไปสะสางเรื่องที่ยังหลอกหลอนใจอยู่ และสุดท้ายเธอก็จำใจต้องก้าวข้ามมัน กลับไปลำลึกความหลังและพยายาม Move on อีกครั้ง...
.
ถ้ามองแค่พล็อตก็ดูดีแล้วนะ มีเรื่องราวและ Message ที่ชัดเจน แถมมี Conflict ที่แข็งแรง แต่อย่างว่าครับ พล็อตไม่ใช่บท พล็อตดูดีไม่ได้บ่งบอกว่าบทต้องออกมาดีตาม..
.
อ้อเผื่อใครสงสัย พล็อตก็คือภาพรวมและจุดสำคัญที่ทำให้เกิดบางอย่างตามที่ผมพูดไป ซึ่งจริงๆในภาคนี้จะมี Conflict ของตัวละครอื่นต่อตัวละครหลักที่ผมไม่ได้พูดในพล็อตด้วยนะ
.
.
ทีนี้ Conflict คืออะไร ? // เพราะผมพูดบ่อยเหลือเกิน สำหรับคนที่ไม่รู้นะครับ // Conflict คือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเรื่องราวทั้งหมด อันนี้แหละคือสิ่งที่ทำให้บทเข้มข้น มีผลกับจิตใจคนมากที่สุด
.
บทที่ไม่มี Conflict จะเป็นบทที่ไม่ดี น่าเบื่อ เพราะไม่มีเหตุการณ์สำคัญ แถมตัวละครไม่เกิดพัฒนาการ หรือถ้ามี Conflict แต่ไม่แข็งแรง ผู้คนจะไม่รู้สึกอะไรกับ Conflict เหล่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นการสร้าง Conflict ได้ไม่ดี..
.
โดยเราจะเห็น Conflict ที่ไม่ดีบ่อยๆในหนังแอคชั่นครับ ถ้าหนังแอคชั่นเรื่องนั้นขับเคลื่อนด้วยการแก้แค้น พอดูจบแล้วก็จบเลยไม่ได้ทำให้เราอินอะไรกับ Conflict ที่เขาใส่มาเท่าไหร่ เราจะแค่รู้สึกถึงความสนุกที่มาจากส่วนของแอคชั่น คนเลยไม่ค่อยชมว่าหนังแอคชั่นบทดีไงครับ
.
แต่การที่เรารู้สึกแย่ รู้สึกอึดอัด รู้สึกสับสนกับ Conflict ที่เกิดขึ้น ถ้า Conflict ที่เขาใส่ต้องการสื่อถึงความรู้สึกเหล่านั้น ถือว่าเป็น Conflict ที่ดีนะครับ เป้าหมายของ Conflict คือเอาไว้ขับเคลื่อนตัวละคร ไม่จำเป็นต้องทำให้คนเสพรู้สึกดีหรือพึงพอใจ คำและความหมายของมันก็บ่งบอกตัวเองอยู่แล้วนะ
.
ซึ่งบทโดยทั่วไปต้องมี Conflict ที่สมเหตุสมผลครับ ถ้าเป็นบทที่อาร์ตหรืออยากนำเสนอโดยเน้นอารมณ์ ไม่ต้องสมเหตุสมผลแต่เน้นอารมณ์ล้วนๆก็ได้ แบบประหลาดจนดู Abstract ไปเลยก็มี..
.
โดยในภาคนี้ Conflict เยอะมากเลยนะ มากกว่าภาคแรกอีก แถมเขาทำให้สมเหตุสมผลด้วย ถ้าเราเล่นหรือติดตามเรื่องราวไปจนจบ เขามีการอธิบายรองรับหมดเลย (ซึ่งผมจะอธิบายตอน Breakdown ตัวละคร) แต่ถ้าเรารู้สึกไม่ชอบ Conflict ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดนะ อย่างที่ผมบอกไปว่า Conflict คืออะไรครับ
.
.
ส่วนบทจะรวมทุกๆรายละเอียดที่เราเห็น พวกมุมกล้อง ภาพ แสง สี เสียง สถานที่ ฉาก การแสดง สีหน้า ท่าทาง คำพูด บลาๆๆ แม้แต่การไม่พูดก็คือบทนะ แล้วก็ภาพดำๆเปล่าๆก็เป็นบทได้เหมือนกันถ้าเขาจงใจใส่เข้ามา ไม่ได้หมายถึง Loading ในเกมนะ 55555+
.
ทีนี้การจะบอกว่าบทห่วยหรือดีเนี่ย ถ้าให้ดีต้องอธิบายรายละเอียดของตัวบทด้วยครับ การบอกว่าพล็อตแบบนี้ Conflict แบบนั้นเราชอบไม่ชอบคือดีหรือห่วย ถ้าผมพูดแค่นี้แล้วบอกว่าดีหรือห่วย มันจะดูตื้นเขินเกินไป อย่างที่บอกว่าไม่ต้องเล่นไม่ต้องเสพก็พูดได้ครับแบบนี้..
.
ผมจะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายขึ้นละกัน คือถ้าผมบอกว่า Joel ถูกฆ่าแล้ว Ellie แค้นคือบทดี มันสมเหตุสมผลเพราะทั้งคู่ผูกพันกัน ถ้าพูดแค่นี้แล้วบอกว่าบทดี เกมอื่นที่มี Conflict ทำนองนี้ก็จะกลายเป็นบทดีเหมือนกันไปหมด เราจะไม่สามารถอธิบายความแตกต่างได้เลย..
.
.
แต่ถ้าผมอธิบายว่าในฉากที่ Joel กำลังถูกฆ่า ดนตรีจะให้ความรู้สึกทุ้มๆหนักๆเพื่อถ่ายทอดความหนักหน่วง // Ellie จะเข้ามาเห็น Joel กำลังถูกฟาดจนเละพอดี
.
ภาพจะตัดไปถ่ายสีหน้าของ Ellie ที่แสดงความรู้สึก แล้วเธอจะต่อสู้จนถูกจับกด ดนตรีจะรุนแรงขึ้นเพื่อแสดงถึงสถานการณ์ความหนักหน่วงที่เพิ่มขึ้น..
.
จากนั้นกล้องจะเคลื่อนลงมาให้เราเห็นแบบมุมมองของ Ellie // เพื่อให้เราเข้าใจมุมมองเธอในตอนนี้มากขึ้น อินมากขึ้น รู้สึกราวกับที่เธอรู้สึก จากนั้นก็ตัดกลับไปถ่ายสีหน้าของเธอต่อ Joel ที่กำลังจะถูกกระทำต่อจากนี้ เราจะเห็นความเจ็บปวดที่ออกมาทางการแสดงแทน ตัดกลับไปที่ Joel เพื่อย้ำเตือนสิ่งที่ Ellie ต้องเห็น
.
ก่อนที่ดนตรีจะบิ้วขีดสุด และจบลงให้วิ้งตอน Joel ตาย เพื่อบ่งบอกว่าโฟกัสของ Ellie ตอนนี้มีแค่ความคิดที่จะฆ่าพวกนั้น คำพูดของตัวละครอื่นต่อจากนี้เลยไม่จำเป็นต้องจับใจความได้ครับ (เสียงอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่อง)
.
.
ทั้งหมดทำเพื่อให้เราเข้าใจมุมมองของ Ellie ที่ต้องเจอเรื่องเหล่านี้ ทำไมเขาเลือกเคลื่อนกล้องลงมา ? ทำไมไม่แค่จับภาพเฉยๆ ? ทำไมดนตรีต้องบิ้วและจบแบบนี้ ? ทำไมเขาตัดภาพไปมาให้เราเห็นหน้าตัวละครแบบนั้น ? ก็เพื่อให้เราเข้าใจความผูกพันและความรู้สึกของ Ellie อย่างลึกซึ้ง เห็นความแตกต่างกับการอธิบายแบบแรกแล้วนะครับ ผมคงไม่ต้องบอกใช่มั้ยว่าการอธิบาย 2 แบบนี้อันไหนจะทำให้คนฟังรับรู้ได้ว่าบทดีหรือแย่มากกว่ากัน..
.
อ้อแล้วก็แบบนี้เรียกว่าบทดีนะ เพราะมีรายละเอียดชัดเจน สอดคล้อง และส่งเสริมกันทั้งหมด
.
ทีนี้ต่อให้เกมอื่นมี Conflict แบบนี้ แต่ถ้าเขาใส่ดนตรีชะชะช่า ตั้งกล้องมุมเดียว ไม่ตัดไปที่ใครเลย ถ่ายอยู่มุมเดียวหน้าตัวละครเดียว แต่อยากจะสื่อแบบนี้ อยากให้อารมณ์ออกมาแบบนี้ คือมันก็สื่อได้เหมือนกันแหละ เข้าใจได้เหมือนกัน แต่อารมณ์ที่ได้จะต่างกัน แล้วถ้าองค์ประกอบหลายๆอย่างไม่ได้ส่งเสริมกัน แถมถ่ายทอดออกมาไม่ถึงอารมณ์ จะถือว่าเป็นบทที่ไม่ค่อยดีครับ
.
สังเกตมั้ยว่าบทที่ดีต้องมาจากการตัดต่อ การเล่าเรื่อง หรือแม้กระทั่งการกำกับที่ดีด้วย (จริงๆมันมากกว่านี้) หลายๆอย่างต้องส่งเสริมกันหมดนะ เราเลยไม่เห็นหนัง(เกม)แย่ที่ได้รางวัลบทดีไง เพราะงั้นถ้าผมพูดถึงแค่พล็อตหรือ Conflict อย่างเดียว มันก็ตื้นเขินเกินไปตามที่ว่า แถมไม่ได้อธิบายสิ่งที่ดีหรือแย่ของตัวงานนั้นจริงๆครับ
.
.
มีต่อ...
.
Edit* ใส่รูปเพิ่ม