🖐️💕THE GLOVES 2020 ถุงมือเรื่องสั้น#114 Week#24 FINAL : "ไม่สายที่เราจะรักกัน" - ถุงมือ ส่งท้ายเกม (คงคิดถึงกัน)💕🖐️

กระทู้คำถาม
อมยิ้ม50
และแล้วก็ถึง ถุงมือสุดท้าย เรื่องสุดท้าย เรื่องที่ 13 จำนวนเท่าเทียมกันกับถุงมือกวีเลยครับ ^^

พอเริ่มตั้งกระทู้นี้ปุ๊บ...ก็ใจหาย...

เมื่อคิดไปข้างหน้าว่า พ้นจากสัปดาห์นี้ไปแล้ว จะไม่ได้มาตั้งกระทู้ให้เพื่อนพี่น้อง แบบนี้อีก...นานเลย...

แต่ก็เป็นภาวะจำยอม มิฉะนั้น ตัวกรรมการเองนี่แหละครับจะลำบาก

เพราะฉะนั้น ก็เอาไว้ "พบกันใหม่ ปีหน้า" นะครับ เดือนไหนก็ไม่รู้ยังบอกไม่ได้

มาเข้าสู่เนื้อหาของเรื่องสั้นเรื่องสุดท้ายนี้กันครับ...

อมยิ้ม50
ม่านหมอกขาวลอยละล่องอาบทั่วฟ้า ลมหนาวพัดเอื่อยเฉื่อย บรรยากาศเย็นสบาย ในเช้าวันใหม่ของฤดูหนาว เป็นความหนาวเย็นที่หลายคนชื่นชอบ และปรารถนาจะมาสัมผัสความหนาวในช่วงเวลาเช่นนี้ 

แต่ไม่ใช่กับ ลลิตา หญิงสาวใบหน้าสวยซึ้ง ผิวขาวเนียนผ่อง รูปร่างผอมบางจนดูเหมือนคนขี้โรค และดวงตาเศร้าโศก ซึ่งกัดกร่อนความงามออกจากใบหน้าไปจนหมดสิ้น เธออยากหลบหนีไปให้ไกลจากความหนาวเหน็บนี้ ความหนาวที่ไม่เพียงสร้างความสั่นสะท้านให้แก่ร่างกาย แต่มันกลับรุนแรงก่อตัวขึ้นภายในใจเธอด้วย 

ลลิตาถูกบอกเลิกจ้างตั้งแต่บริษัทโดนพิษโควิดเข้าเล่นงาน หญิงสาวจึงจำต้องกลับมาอยู่บ้านทางภาคเหนือ เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเช่าห้อง และยังไม่รู้ว่าอนาคตต่อไปจะมีงานให้เธอได้ทำหรือไม่

กระท่อมไม้หลังน้อยปลูกเยื้อง ๆ กับบ้านไม้สองชั้น คือที่ใช้สำหรับกักตัวของลลิตา คนที่กลับมาจากกรุงเทพฯ ต้องกักตัวให้ครบสิบสี่วันตามที่กระทรวงสาธารณะสุขได้บอกไว้ 

แม่หรือไม่ก็พี่สาว จะเป็นคนนำข้าว อาหาร มาวางไว้ให้เธอที่หน้ากระท่อม และคอยถามไถ่เสมอ หญิงสาวยังร่างกายแข็งแรงดี และรู้สึกมีความสุขยิ่งนักที่ได้กลับบ้าน แม้จะต้องนอนที่กระท่อมถึงสิบสี่วันก็ตาม และบรรยากาศเย็นสบายแบบนี้ ยิ่งทำให้สดชื่นอย่างบอกไม่ถูก

"คิดถึงนะคะ พี่ภูระวังตัวเองดี ๆ และดูแลตัวเองด้วยนะคะ กลับถึงบ้านต้องล้างมือให้สะอาด" 

หญิงสาววีดีโอคอลคุยกับชายคนรัก ใบหน้ายิ้มร่า แม้ตอนนี้ต้องอยู่ห่างคนรัก แต่ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยจึงทำให้คนอยู่ไกล เหมือนได้ใกล้กัน

ชายคนรักบอกขอตัวไปทำงาน เธอจึงจำต้องตัดสายทิ้งแบบอารมณ์เสียนิด ๆ ที่ได้คุยกับเขาเพียงไม่กี่นาที ตั้งแต่มากักตัวอยู่ที่กระท่อมได้เก้าวัน มีเพียงเธอที่โทรไปถามไถ่ แสดงความห่วงใยกับเขา ลลิตาเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาที่ชายคนรักเริ่มทำตัวเฉยเมยกับตน 

แต่หญิงสาวพยายามปลอบใจตัวเองว่า เขาคงทำงานยุ่ง แต่อีกใจหนึ่งกลับตะโกนคัดค้านอย่างรุนแรงว่า ทำงานยุ่ง ช่วงโควิดนี่นะ มีแต่คนเค้าว่างงานกันทั้งนั้น

หญิงสาวล้มตัวลงนอนบนฟูก หยิบหนังสือนิยายขึ้นมาอ่าน อ่านไปได้เพียงสี่หน้าเท่านั้น เสียงข้อความจากไลน์พลันดังขึ้น เธอจึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดู ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพราะหวังในใจลึก ๆ ว่าจะเป็นข้อความจากชายคนรัก 

แต่ไม่ใช่...มันเป็นข้อความจาก ธิสา เพื่อนสนิทของเธอที่ส่งข้อความมา

"แก..เมื่อวานฉันไปหาพี่ชายฉันที่คอนโด และฉันเห็นพี่ภูอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งเดินควงแขนผ่านหน้าฉันไปเลย ดีนะมีแจกันตั้งบังไว้ พี่ภูจึงมองไม่เห็นฉัน ฉันถ่ายรูปมาให้แกดูด้วย"

ข้อความจากเพื่อนสาว และตามด้วยรูปภาพสามภาพ เป็นรูปที่มองเห็นใบหน้าชายคนรักชัดเจน เขากำลังยิ้มอย่างมีความสุข มีสาวสวยใส่เสื้อสายเดี่ยวควงแขนประกบอยู่ข้าง ๆ  และรูปสุดท้ายเป็นภาพที่ทั้งสองกำลังก้าวเข้าไปในลิฟต์

ลลิตารู้สึกว่ามือไม้อ่อนแรงขึ้นมาดื้อ ๆ ก่อนจะปล่อยโทรศัพท์มือถือหลุดมือ น้ำตาไหลพรากมิอาจสกัดกั้นเอาไว้ได้ โลกทั้งใบของหญิงสาวพังทลายครืนลงมา ภาพชายคนรักไหลเวียนมาในห้วงความคิด ในวันที่เขาโอบกอดเธอ วันที่เขาและเธอหยอกล้อต่อกระซิกบนเตียงนอนในห้องของเขา วันที่เธอไม่สบายอย่างหนักและมีเขาคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง เช็ดตัว ป้อนข้าวป้อนน้ำ คอยถามไถ่เธอด้วยความเป็นห่วงเป็นใย สัมผัสอ่อนโยน ลึกซึ้งจริงใจนี้ ทำให้เธอรักเขาหมดหัวใจ

ทว่าภาพต่าง ๆ เหล่านี้เหมือนจมหายเข้าไปในม่านหมอกดำทะมึน และถูกแทนที่ด้วยภาพเขากับผู้หญิงอีกคน ที่กำลังเดินขึ้นห้องไปพร้อมกัน ไม่ต้องคิดอะไรมากให้เปลืองสมอง ใครเห็นภาพแบบนี้ก็ต้องรู้แน่ว่าสองคนนี้เข้าไปทำอะไรต่อในห้อง...ชายคนรักกำลังนอกใจเธอ!

ลลิตาอยากส่งเสียงกรีดร้อง เพื่อระบายความเจ็บปวดในใจให้บรรเทา แต่เธอรู้ว่าทำไม่ได้ พ่อ แม่ พี่สาว คงรีบวิ่งกรูมาดูเธอที่กระท่อมแน่ ๆ เธอจึงทำได้เพียงนอนสะอื้นร้องไห้บนฟูก ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนเหือดแห้งไปเอง

ม่านหยาดน้ำตาที่พร่างพรมรอบดวงตา ทำให้การมองเห็นมัวซัว หญิงสาวจึงคว้าผ้าเช็ดตัว มาเช็ดน้ำตาออกจนแห้งสนิท พอตั้งสติได้ เธอจึงรีบกดโทร.หาชายคนรัก ไม่รับสาย...และไม่รับสายในครั้งที่สามที่เธอโทร.ไป

หญิงสาวจึงเข้าไปในไลน์แล้ววีดีโอคอลหา ไม่รับสายเช่นด้วยกัน ความเสียใจปะทุเข้ามาเล่นงานเธออีกระลอก น้ำตาหยดแหมะ และหลั่งรินดังสายธาร  เธอส่งข้อความไลน์ไปให้เขา พร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลออกมา หยดลงบนโทรศัพท์มือถือ

"พี่ภู นี่หมายความว่าไงคะ บอกตามาเดี๋ยวนี้นะ พี่ภูนอกใจตาไปมีผู้หญิงคนอื่นใช่ไหม" 

สะอึกสะอื้นร้องไห้กึกกึก แล้วกดส่งรูปภาพสามรูปที่เพื่อนสนิทส่งมาให้

ลลิตานั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือ รอคอยอย่างมีความหวัง บางทีเธออาจเข้าใจผิด พี่ภูคงอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง อาจเป็นญาติพี่น้องหรือเพื่อนร่วมงานของพี่ภู

หญิงสาวพยายามคิดหาเหตุผลต่าง ๆ มากมายเพื่อปลอบใจตัวเอง 

ข้อความบนไลน์ขึ้นสถานะว่า 'อ่านแล้ว' ลลิตาลุ้นระทึกด้วยความตื่นเต้น พี่ภูจะพิมพ์ตอบกลับมาว่าไง หญิงสาวแทบกลั้นลมหายใจ เมื่อรู้ว่าเขาเห็นสิ่งที่เธอส่งมาให้เขาดู เขาจะแก้ตัวหรือเอ่ยคำขอโทษ เธอยินดีรับฟังเสมอ แม้ในวันนี้เธอยังโกรธเขามากก็ตาม แต่เมื่ออารมณ์ร้อนรุ่มในใจสงบลง เธอรู้ว่า เธอจะให้อภัยเขาอย่างแน่นอน

เงียบ!...สามนาทีผ่านไปหลังจากที่เขาเปิดอ่านข้อความ

ห้านาที...ผ่านไปทุกอย่างยังคงเงียบกริบ ไม่มีการส่งข้อความกลับมา ไม่มีคำแก้ตัว ไม่มีคำขอโทษจากอีกฝ่าย

หญิงสาวจึงคิดจะพิมพ์ข้อความเพื่อส่งถึงเขา และต้องชะงักกึก มือสั่นสะท้าน และราวโลกทั้งใบหยุดหมุน เมื่อเธอไม่สามารถกดพิมพ์ข้อความได้ 

เขาบล็อกไลน์เธอ! 

ลลิตานิ่งอึ้ง สมองหยุดการทำงานไปชั่วขณะ หัวใจเต้นระรัวด้วยความโกรธแค้น เสียใจ ผิดหวัง เจ็บปวดและชิงชัง ความรู้สึกหลายอย่างประดังประเดเข้ามาจนแบกรับเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว 

เธอลองกดโทร.หาเขาอีกรอบ เพื่อดูว่าเขาได้บล็อกการโทร.หรือไม่ และคำตอบคือ 'หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้'

จากที่เคยมีน้ำตาเพราะเสียใจ และเมื่อความจริงกระจ่างแน่แก่ใจเช่นนี้ ขอบตาที่บวมช้ำเพราะการร้องไห้  พลันล้อมกรอบสะท้อนแววพิโรธโกรธชายคนรักที่หักหลังตน นั่งจมเหม่อลอยอยู่กับความรู้สึก ซึ่งไม่อาจบอกได้เลยว่าตอนนี้เป็นเช่นไร

เสียงแม่ตะโกนเรียกพ่อดังแว่วให้ได้ยิน ทำให้หญิงสาวตื่นจากความทุกข์ตรม เธอลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา พยายามปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติ เพื่อไม่ให้คนในครอบครัวรู้เรื่องราว ความเสียใจของเธอในครั้งนี้

แม่เดินมาตะโกนอยู่กระท่อมถามว่าเย็นนี้อยากกินอะไร หรือต้องการอะไรเพิ่มเติม เธอจึงเดินออกมาพูดคุยกับแม่ 

โชคดีนะที่อยู่ไกลกันและใส่หน้ากากอนามัยปิดหน้าไว้ ทำให้แม่ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้า ทันทีที่แม่เดินผละหายเข้าไปในบ้าน น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลพรากออกมาจนได้ เธอจะผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี่ไปได้ยังไง หญิงสาวครุ่นคิด 

--------------------------------------------------------------
เก้าวันในกระท่อมไม้หลังน้อย เก้าวันกับการกักตัวและการลอยคออยู่บนความเศร้าเสียใจ โดยไม่รู้จุดหมายปลายทางและไม่รู้ว่าจะระบายความเสียใจเหล่านี้ให้ใครฟัง...

ความมืดคืบคลานเข้ามาเยือน ความหนาวรอบกายยิ่งทำให้ใจที่บอบช้ำ หนาวเหน็บทวีคูณ หญิงสาวนั่งชันเข่ากอดขาตัวเองแน่น ราวเป็นการให้ความอบอุ่นและให้กำลังใจตัวเองไปพร้อมกัน ลลิตานั่งมองดวงดาวทางหน้าต่างบานน้อย ไม่มีน้ำตาแห่งความเสียใจอีกต่อไปแล้ว คงเหลือไว้แต่เพียงความเจ็บปวดภายในใจที่กัดกร่อนความสุขและความสดใสของเธอออกไปจนหมดสิ้น

เธออยากไปหาเขา ไปถามให้รู้เรื่อง แต่เธอรู้ว่าทำอะไรไม่ได้เลย ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองต้องปิดเมืองเพื่อยับยั้งโรคระบาด...นึกแล้วต้องถอนลมหายใจ ตกงาน...ซ้ำร้ายยังมาถูกแฟนทิ้งอีก เฮ้อ!!.. 

ยื่นหน้าวางคางไว้บนหัวเข่า แล้วปล่อยให้ความคิดเตลิดล่องลอยออกไปไกล จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งมายืนเรียกชื่อเธออยู่ข้างหน้าต่าง

"ตา"

หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ชะเง้อมองออกไปด้านนอก เห็นชายร่างสันทัด กำลังยืนส่งยิ้มแฉ่งมาให้เธอ

"ยะส่วย" ลลิตาตะโกนเรียกชื่อเขา เธอจำได้ทันทีว่าเขาคนนี้คือเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันตอนประถม 

ยะส่วยเป็นคนพูดน้อย แต่ขยัน และชอบช่วยเหลือเพื่อน ๆ เสมอ ยะส่วยเป็นลูกชาวดอยเผ่าอาข่า แม่กับพ่อเขาเข้ามาทำงานก่อสร้างที่เชียงใหม่ ยะส่วยได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนเดียวกับเธอ ทั้งสองจึงได้รู้จักกัน

"มาได้ไงเนี่ย...ยะส่วยสบายดีนะ" หญิงสาวเอ่ยทักทายด้วยความตื่นเต้น ระคนสงสัยที่เจอเขาที่นี่ เนื่องเพราะหญิงสาวพอรู้อยู่ว่ายะส่วยได้เป็นหมอ และประจำอยู่โรงพยาบาลเชียงราย 

ยะส่วยเป็นคนเรียนดี ขยันมีน้ำใจ จึงได้ทุนศึกษาต่อจนจบปริญญา ข้อนี้ลลิตาเห็นพ้องด้วยมาก ๆ เธอนึกอยู่แล้วว่าสักวันยะส่วยจะได้เป็นหมอตามที่ใฝ่ฝัน

"ผมย้ายมาประจำที่โรงพยาบาลเชียงใหม่แล้วน่ะ ได้ข่าวว่าตากลับบ้านเลยแวะมาเยี่ยม และรู้ว่าต้องกักตัว กลัวจะเหงา เลยแวะมาคุย"

"ขอบคุณนะ...เหงาจริง ๆ นั้นแหละ อยู่ที่กระท่อมมาเก้าวันแล้ว"

หญิงสาวเปลี่ยนท่าเป็นลุกขึ้นนั่งคุกเข่า มือเกาะขอบหน้าต่าง ยื่นหน้าออกมรับลมเย็น ฉีกยิ้มใสให้เพื่อนสมัยประถม

ความหลังครั้งเยาว์วัยไหลเวียนเข้ามาในความคิด ตอนเจอกับยะส่วยครั้งแรก เขาเป็นคนขี้อายมาก ๆ ไม่กล้าแสดงออก เป็นคนประหยัดคำพูดถามคำตอบคำ แต่เพื่อน ๆ ทุกคนรู้ว่ายะส่วยเป็นคนมีน้ำใจและอัธยาศัยดี เพื่อน ๆ จึงรักและให้การช่วยเหลือยะส่วยเสมอ ในเรื่องของอุปกรณ์การเรียนที่ยะส่วยจะไม่ค่อยมีครบอย่างคนอื่น ๆ ลลิตาเป็นอีกคนหนึ่งที่มักแบ่งปัน ยางลบ ดินสอ สีไม้ สมุดให้ยะส่วยใช้เสมอ มิตรภาพของทั้งสองจึงก่อตัวขึ้นอย่างสวยงามและน่ารัก

"อดทนหน่อยนะ" ยะส่วยพูดขึ้น เดินมาใกล้หน้าต่าง แหงนหน้าขึ้นมองคนถูกกักตัว พร้อมส่งยิ้มให้กำลังใจ

สำหรับยะส่วยแล้ว ลลิตาคือรักแรกของเขา เป็นความรักที่ก่อตัวขึ้นมาจากคำว่าเพื่อน เขาไม่เคยลืมความมีน้ำใจที่ลลิตาหยิบยื่นมาให้ ตั้งแต่เด็กจนโต ใบหน้าของสาวน้อยน่ารัก ดวงตากลมโตใสซื่อของเธอ ตามติดเขามาตลอดไม่ว่าจะยามนอน หรือตื่น ใบหน้าของลลิตายังสว่างจ้าในความคิดและเขาคิดถึงเธอตลอดเวลา คิดถึงทุกวัน...

"แล้วที่โรงพยาบาลบ้านเรามีคนป่วยเยอะมั้ยอ่ะ" หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้ อีกใจก็นึกเป็นห่วงยะส่วย หากมีคนป่วยที่โรงพยาบาลเยอะ เขาอาจเสี่ยงติดโควิดก็ได้

"ก็ไม่เยอะนะ สามคน แต่รอตรวจอีกเป็นพัน"

"โห..." หญิงสาวร้องขึ้นด้วยความตกใจ "คุณหมอต้องระวังด้วยตัวนะคะ"

"ครับผม...แป๊บนะ" ชายหนุ่มบอกแล้วเดินหายไปอีกมุมหนึ่งของกระท่อม ไม่นานลลิตาพลันได้ยินเสียงเขาเรียกชื่อตนที่หน้ากระท่อม จึงเดินออกมาดู เห็นยะส่วยนั่งบนขอนไม้มะขาม

"ตากินข้าวเรียบร้อยแล้วนะ"  เขาเอ่ยถามทันทีที่เห็นหญิงสาวเดินออกมานั่งหน้ากระท่อม

"อืมม์...แล้วยะส่วยล่ะ"

"ยังเลย กะว่าจะไปต้มมาม่ากินน่ะ"

"น่าจะกินอาหารที่มันมีประโยชน์หน่อย ถ้าคุณหมอร่างกายไม่แข็งแรง เดี๋ยวจะรักษาคนไข้ไม่ได้นะ"

หญิงสาวพูดทีเล่นทีจริง ด้วยความเป็นห่วง

"ถ้ามีแม่บ้านทำให้กินก็ดีสิ นี่ยังหาแม่บ้านไม่ได้สักคน" 

(มีต่อครับ) ^^
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่