เคยคิดบ้างไหมว่า   คนเราเงินเดือนสมมุติ 10,000 บาท  จริงๆ แล้วเราทำงานให้บริษัทเท่าไหร่   แน่นอนว่าต้องมากกว่า 10,000 บาท   ไม่งั้นบริษัทขาดทุน  แต่มันควรจะเป็นเท่าไหร่   จากประสพการณ์ผม  น่าจะอยู่ที่ประมาณ 3-4 เท่าจากเงินเดือนเรา      บริษัทปกติจะพยายามถ่างช่องว่าง (hell gap)ตรงนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้    เช่นทำรายได้ให้ บริษัท 40,000 บาท  เอาเงินเดือนไป 10,000 บาท    ยิ่งบริษัทถ่างช่องว่างตรงนี้ได้กว้างถือว่าบริษัทบริหารงานดี  (เช่น ทำรายได้ 50,000 บาท เงินเดือนเอาไป 10,000 บาท)   ในขณะเดียวกัน   มนุษย์ทำงานก็ต้องพยายาม เรียกค่าตัวให้ช่องว่างนี้แคบมากที่สุด  

ตัวอย่างสำหรับงานที่ความซับซ้อนต่างกัน
1. พนักงานเสริฟ  เงินเดือนประมาณ 10,000-12,000 บาท   มูลค่าของงานอาจจะประมาณ 20,000 บาท  เนื่องจากลักษณะงานไม่ซับซ้อน  ถ้าลาออก   สามารถหาคนมาทำแทนได้   ใช้เวลาเทรนงานไม่มาก   แต่ถ้าเป็นระดับหัวหน้างาน   งานแทบไม่ได้ต่างจากลูกน้องมากมาย   แต่เงินเดือนอาจต่างกัน 50% ถึง 100%. เช่น หัวหน้าพนักงานเสริฟ ได้ 15,000 บาท ทำงานน้อยลง  เน้นคุมงานแทน 

2. ถ้าเป็นงานออฟฟิต  ตัวอย่างในบริษัทผม   พนักงานทั่วไปที่ได้ เงินเดือน 10,000 บาท  จะต้องทำคอมมิสชั่นให้บริษัท 40,000 บาท   แต่ถ้าคุณอยู่ระดับหัวหน้าทีม   ทำค่าคอมประมาณ 30,000 บาท  คุณก็ได้ 10,000 บาท   แปลกแต่จริง   เพราะระดับหัวหน้าทีม 1คน  ทำค่าคอมได้เท่ากับ พนักงานเท่าไป เกือบ 10 คน  ทำให้มีอำนาจต่อรอง   ช่องว่างนี้ ( hell gap ) เลยแคบกว่าพนักงานทั่วไป 

ยิ่งในลักษณะงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้นมาอีก   ช่องว่างนี้จะยิ่งแคบมากขึ้นเรื่อยๆ   จนถึงจุดผกผัน    และกลายเป็นติดลบ
เช่นคนที่ทำงานในเรื่องยากๆได้   โดยคนอื่นทำไม่ได้   ทั้งๆที่มูลค่างานนั้นอาจแค่   150,000 บาท แต่บริษัทยอมจ่าย 250,000 บาท   เพราะหาคนมาทำแทนได้ยาก   ใช้เวลาเรียนรู้   กระทบสายงานผลิตอื่นๆ   

สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรตะหนักในชีวิตการทำงานคือ  ช่องว่างนี้ไม่ควรห่างมากจนเกินไป   สำหรับใครที่ช่องว่างนี้ติดลบ   แสดงว่าคุณเก่งในการต่อรองเงินเดือน