ชาร์วาร์ช คาร์เปทียาน นักว่ายน้ำพระเอกตัวจริง



ผมอยากให้ทุกคนลองนึกภาพดูกันครับ หากเราอยู่ในประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวยมากนัก อย่างเช่นสหภาพโซเวียตในสี่สิบห้าสิบปีก่อน การจะถีบตัวให้พ้นจากสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากนอกจากจะต้องรับราชการแล้ว ก็ต้องเล่นกีฬาให้เก่ง สมมติว่าเรามีความสามารถด้านกีฬามากจนคว้าแชมป์ประเทศ แชมป์ทวีป ยันแชมป์โลก แต่ทว่าวันหนึ่งมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ตัวเราเองบังเอิญเห็นเหตุการณ์นั้นและอาจจะช่วยเหลือได้ แต่ถ้าเราช่วยมันอาจทำให้เราไม่สามารถเล่นกีฬาที่เรารัก หรือสร้างฐานะให้กับเราได้อีก เราจะแลกกับสิ่งนั้นหรือไม่  หลายคนต้องใช้เวลาคิดสักพัก ชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญนะแต่ปากท้องเราก็สำคัญไม่แพ้กัน แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี แต่ความคิดนั้นไม่ได้ผุดขึ้นในหัวของฮีโร่ของเราในวันนี้ครับ  เมื่อเขาพบเหตุการณ์ดังกล่าวเขาไม่ต้องคิดอะไรเลย แล้วรีบไปช่วยผู้ประสบภัยโดยทันทีทันควัน วีรกรรมของเขาเป็นอย่างไรนั้น เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังครับ



ชาร์วาร์ช คาร์เปทียาน ( Shavarsh Karapetyan ) คือชื่อเสียงเรียงนามของฮีโร่ของเราในวันนี้ครับ เขาเป็นชาวอาร์เมเนียมาแต่กำเนิด ซึ่งตอนนั้นอาร์เมเนียเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ว่ากันว่าเมื่อตอนเขาอายุได้ 15 ปี เรียกได้ว่ากำลังอยู่ในวัยหนุ่มแตกพาน ฮอร์โมนมันพลุ่งพล่านได้ไปมีเรื่องต่อยตีกับวัยรุ่นท้องถิ่น ด้วยความที่เด็กกว่าหรือจะอย่างไรก็ไม่ทราบได้ หนุ่มน้อยชาร์วาร์ชของเราก็พ่ายแพ้แล้วถูกจับเอาหินมาผูกคอแล้วถีบลงน้ำ แต่ตัวเขาเองก็ได้ใช้ทักษะแก้มัดตัวเองแล้วลอยขึ้นมาบนผิวน้ำราวกับผ่านการฝึกซีลมายังไงยังงั้นเลย เขาพูดถึงเหตุการณ์นั้นว่า “ แหม่....ถ้าหินก่อนนั้นหนักกว่านี้อีกหน่อย ผมว่าผมคงได้ไปเฝ้าพระอินทร์แล้วเป็นแน่เลย ”



จากเหตุการณ์นั้นเองก็ทำให้พ่อหนุ่มชาร์วาร์ชได้ค้นพบตัวเองเสมือนหนึ่งว่าปลดล็อกโดยมีไลฟ์โค้ชมาจี้ถูกจุดเพื่อให้ก้าวต่อไป เขาพบว่าตัวเองมีความสามารถด้านการดำน้ำ แล้วก็เริ่มไปแข่งกีฬาฟินสวิมมิ่ง( การแข่งขันว่ายน้ำหรือดำน้ำโดยสวมตีนกบ ) แล้วก็ได้แชมป์ระดับชาติในวัยเพียง 17  ปี ลองมานึกถึงตัวเองตอน 17 ตอนนั้นผมเองก็ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย แต่ชาร์วาร์ชคว้าแชมป์ระดับชาติแล้ว ต่อมาอีกปีเศษเขาก็คว้าแชมป์ระดับยุโรปแถมยังทำลายสถิติโลกอีกด้วย รวมรางวัลการแข่งขันตลอดเส้นทางนักกีฬาของเขากวาดไปดังนี้ แชมป์โลก 17 ครั้ง แชมป์ยุโรป 13 ครั้ง แชมป์โซเวียตอีก 7 ครั้ง แถมยังทุบสถิติโลกไปอีก 11 ครั้ง นี่มันยอดมนุษย์ชัดๆ เรียกได้ว่า บอร์นทูบีฟินสวิมเมอร์แท้ๆ เลย



อย่างไรก็ตามเส้นทางนักกีฬาของเขาก็ต้องมาจบลง เมื่อมีเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์มาท้าทายศีลธรรมของเขา ว่าระหว่างอาชีพของเขาที่ใช้เลี้ยงปากท้องกับมนุษยธรรม เขาจะเลือกอะไร เมื่อวันหนึ่งในช่วงเดือนกันยาปี 1976 ขณะที่แชมป์ของเราวิ่งออกกำลังกายที่เขื่อนแถวบ้านเป็นระยะ 12 ไมล์เสร็จหมาดๆ  เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงเบรกของรถขนาดใหญ่ดังเอี๊ยดดด!!!!! ลั่นถนน ตามด้วยเสียงตูมมม!!!! ลงในน้ำที่ตอนนั้นอยู่ในช่วงหน้าหนาวปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ทันใดนั้นโดยที่เขาแทบไม่ต้องคิดอะไร เขาและน้องชายรีบวิ่งไปยังเสียงนั้น เมื่อเห็นว่ารถบัสที่มีผู้โดยสารมาร่วมร้อยคนกำลังดำดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำ เขาก็รีบกระโดดลงไปในน้ำที่มีอุณหภูมิติดลบโดยไม่ห่วงชีวิตของตน



พ่อหนุ่มชาร์วาร์ชได้ดำผุดดำว่ายขึ้นลงโดยช่วยชีวิตคนได้ถึง 20 คน ( จริงๆ เอาคนขึ้นมาได้มากกว่านั้น ) โดยมี กาโมน้องชายของเขาคอยช่วยคนที่ชาร์วาร์ชดึงขึ้นมาที่ผิวน้ำต่อ จนมาถึงการดำครั้งที่ 30 ของเขา ชาร์วาร์ชเริ่มไม่ไหว เขาเริ่มหมดสติ จนต้องหามส่งโรงพยาบาล ผลจากวีรกรรมครั้งนั้นทำให้เขาปอดบวมและติดเชื้อในกระแสเลือด ต้องอยู่ในอาการโคม่าราว 46 วัน ตอนแรกก็ทำใจกันแล้วว่าเขาน่าจะเป็นเจ้าชายนิทรา แต่เขาก็สามารถฟื้นขึ้นมาได้ในที่สุดอย่างไรก็ตาม อนิจจาที่สิ่งที่เขาได้ทำต้องแลกด้วยการที่เขาต้องจบเส้นทางชีวิตของนักดำน้ำไว้เพียงแค่นี้ในวัย 23 ปีทั้งที่อนาคตในเส้นทางการดำน้ำของเขาน่าจะอยู่ได้อีกยาว ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ที่เขาดำผุดดำว่ายในแม่น้ำอุณหภูมิติดลบไม่น่าจะมีใครทำได้อีกแล้ว มีสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ตัวชาร์วาร์ชขณะพักฟื้นว่า “ในความวีรกรรมครั้งนี้ มันมีอะไรที่ทำให้คุณกลัวบ้างหรือไม่”



หลายคนอาจคิดว่าเขาคงจะตอบว่ากลัวที่จะไม่ได้กลับมาแข่งฟินสวิมมิ่งได้อีกแล้ว แต่คำตอบของเขาก็ทำให้ทุกคนแปลกใจ ชาร์วาร์ชตอบว่า “ ผมกลัวว่าตัวเองจะทำผิดพลาด ผมรู้ดีว่าผมสามารถช่วยคนได้มากมาย ตอนที่ผมดำน้ำลงไปนั้น มันมืดมาก มืดเสียจนไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมคว้ามานั้นมันคืออะไร ครั้งหนึ่งผมคว้าเก้าอี้ขึ้นมาโดยนึกว่าเป็นคนเมื่อขึ้นสู่ผิวน้ำแล้วถึงรู้ว่านั่นคือเก้าอี้ซึ่งไม่ใช่คน ใจผมนี่ตกไปที่ตาตุ่ม นั่นหมายความว่าผมเสียโอกาสในการช่วยคนไปหนึ่งชีวิต และการผิดพลาดครั้งนั้นมันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมหลอนและฝันร้ายไปตลอดชีวิต ” แต่กว่าวีรกรรมของเขาจะแพร่หลายไปทั่วโซเวียตก็กินเวลาผ่านไปเกือบ 10 ปี เมื่อเรื่องราวของชาร์วาร์ชได้ตีพิมพ์ลงนิตยสารฉบับหนึ่ง ก็มีจดหมายหลั่งไหลเข้ามาหาเขาหลายหมื่นฉบับ



เขากล่าวให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนั้นว่า “ วีรกรรมครั้งนี้หากผมจะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่สวรรค์ได้กำหนดเอาไว้ก็คงไม่ผิดจริงๆ ตอนนั้นผมมีรายการแข่งขันที่ต้องไปแข่งที่ฮันโนเวอร์แต่ก็ไม่ได้ไปเพราะวีซ่าไม่ผ่าน พวกเขารู้ดีว่าถ้าหากผมไปผมต้องชนะแน่ เลยแกล้งไม่ให้วีซ่าผ่าน ผมเลยต้องซ้อมอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเกิดเหตุ ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็เป็นบททดสอบศีลธรรมของผม และผมก็ได้เลือกที่จะทำสิ่งนั้น โดยไม่รู้สึกเสียดายอะไร ”



หากใครคิดว่าวีรกรรมครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของชาวาร์ชแล้ว บอกเลยว่าไม่ สามปีหลังจากเรื่องของเขาได้ตีพิมพ์ ในต้นปี 1985 เขาบังเอิญได้อยู่ใกล้กับตึกที่กำลังเกิดเพลิงไหม้ นี่แหละครับที่เค้าเรียกกันว่า สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ชาร์วาร์ชแทบไม่ต้องคิดอะไรเขาตรงดิ่งเข้าไปช่วยผู้ที่ติดอยู่ในตึกในทันใดโดยมิได้นึกถึงตัวเองว่าไหวไหมในที่สุดเขาก็หมดสติเพราะสูดควันไฟเข้าไปมาก ทุกคนคิดว่าเขาคงต้องไปแล้วแน่ๆ คราวนี้ แต่ทว่าสวรรค์มีจริงเมื่อมีแท็กซี่รีบนำตัวเขาไปส่งโรงพยาบาลทันในขณะที่ชีพจรเริ่มอ่อนลง เขาพักฟื้นอยู่หลายเดือนแล้วก็หายกลับมาเป็นปกติ



จากชื่อเสียงที่ชาร์วาร์ชสร้างเอาไว้ ผนวกกับวีรกรรมที่เขาได้สร้างเอาไว้ทั้งสองครั้งสองคราทำให้เขาได้รับเกียรติยศสูงสุดด้วยการได้เหรียญเชิดชูเกียรติ อีกทั้งองค์การยูเนสโกก็ได้มอบรางวัลแฟร์เพลย์ให้กับเขาด้วย และที่สำคัญก็มีนักดาราศาสตร์ที่ค้นพบดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่ง ก็ตั้งชื่อดาวเคราะห์ดวงนั้นเพื่อให้เกียรติชาร์วาร์ชฮีโร่ของเราว่า “ ดาวเคราะห์น้อย 3027 ชาร์วาร์ช ( 3027 Shavarsh ) " และในปี 2014 เมื่อมีการจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวที่รัสเซีย ชาร์วาร์ช คาร์เปทียาน ก็ได้รับเกียรติในการวิ่งคบเพลิงด้วย นี่แหละครับ เรื่องราวของชายผู้เกิดมาเป็นฮีโร่ชายผู้เกิดมาเพื่อเสียสละกระทั่งความฝันและอนาคตของตัวเองเพื่อเพื่อนมนุษย์ ขอจารึกชื่อชายคนนี้ไว้ให้เป็นตำนานตลอดไปครับ ชายคนที่ชื่อว่า “ ชาร์วาร์ช คาร์เปทียาน ”

ที่มา : https://www.peopleofar.com/2014/02/08/true-story-of-a-real-life-superhero-shavarsh-karapetyan/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่