ข้อดีของรถ ev ที่หลายๆท่านทราบดีอยู่แล้วคือ
1. ประหยัดพลังงานมากกว่าน้ำมัน
2. ลดมลภาวะทางอากาศ
3. ลดมลภาวะทาง "เสียง"
4. ค่าบำรุงรักษาในอนาคตถูกกว่ารถน้ำมัน (และจะยิ่งถูกไปอีกในอนาคต)
5. แรงมอเตอร์ไฟฟ้าทอร์คสูงกว่าและกำลังทอร์คมาทันทีที่แตะคันเร่ง
ส่วนอีกบางประเด็นที่ยังไม่ค่อยมีกระแสให้พูดถึงก็คือ 2 เรื่อง
1. รถ ev จะสร้างระบบ ecosystem แบบใหม่ขึ้น
2. ระบบความปลอดภัยสูงขึ้น และ ความปลอดภัยจากการถูกจารกรรมดีขึ้น
อย่างแรกคือ "สร้างระบบ ecosystem แบบใหม่"
นั่นก็คือ การใช้พลังงานไฟฟ้าทำให้ชีวิตการใช้รถเปลี่ยนไปการขับๆไปแล้วจอดชาร์จ เป็น new normal และส่งเสริมให้เกิดการบริโภคแบบใหม่ นั่นก็คือ "ลานจอดรถในห้างจะกลายสถานีชาร์จ" นั่นคือ หรือกล่าวแบบบ้านๆคือลานจอดรถกลายร่างเป็นปั้มน้ำมัน... ร้านกาแฟจะทำให้ร้านตัวเองเป็นจุดชาร์จเพื่อดึงให้คนมาจอดแวะ 15-20 นาทีเพื่อชาร์จและทานอาหาร ซึ่งต้นทุนในการตัดตั้งจุดชาร์จราวๆ 50,000- 120,000 บาท(ขึ้นอยู่กับประเภทของหัวจ่ายไฟ) ...หัวจ่ายมีขนาดไม่ใหญ่ทำให้ไม่ต้องเสียพื้นที่มากจะมีแค่ระบบการเดินไฟที่ต้องรองรับกระแสไฟที่แรงขึ้นใหญ่ขึ้น การบริการแบบที่ไม่เคยคิดในอดีตกับรถน้ำมัน อย่างเช่น ร้านตัดผม, ร้านนวด, ร้านกาแฟ, ฟาสต์ฟู๊ด จากเดิมที่คนเติมน้ำมันเร็วๆแล้วก็ไปไม่ถึง 5 นาที จะกลายเป็นคนจะแวะจอดชาร์จกันมากขึ้น การชาร์จไฟ จะทำให้เกิดระบบการหักตัดบัตร การสแกน QR code เพื่อจ่ายเงินอย่างโปร่งใส่ บริษัทต่างๆที่ใช้รถ ev หรือมีสวัสดิการเป็นค่าน้ำมันก็จะไม่ต้องกังวลกับการ ปลอมบิล... การที่พนักงานขับรถเติมน้ำมันแล้วแอบไปดูดน้ำมันเอาไปขายให้ปั้มหลอดตามต่างจังหวัด...การเบิกค่าเดินทางตรงไปตรงมาซิกแซกยาก
ระบบวิถีการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนไป.... คนจะชาร์จแบตรถเหมือนกับชาร์จมือถือ คือ ชาร์จเมื่อมีโอกาสและชาร์จก่อนนอนตื่นนอนแบตเต็ม ขับรถไปธุระ ไปทำงานกลับบ้าน (เผลอๆอีกหน่อยทุกๆออฟฟิสจะสร้างที่จอดรถให้มีที่ชาร์จแบตทุกจุดเพิ่อหารายได้แทนค่าจอดรถในอาคาร)แบตเหลือชาร์จแบตนอน ตื่นมาเต็ม วนๆไปแบบนี้ และการชาร์จแบตนอกบ้านจะชาร์จเป็นกรณีๆฉุกเฉินแค่นั้นหรือ ไปตจว.เท่านั้น
อีกเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากเกิดความแพร่หลายของรถไฟฟ้าก็คือ solar cell สิ่งที่ผมคิดคือ ทุกๆลานจอดรถจะพยายามติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ไว้ชาร์จแบตให้รถไฟฟ้าที่มาจอดที่ลานจอดเพื่อเก็บเงินและ บ้านแทบทุกหลังจะเริ่มทะยอยติดแผงโซล่าเซลล์เพื่อประหยัดพลังงานไฟฟ้าและนำมาชาร์จรถ และจะเกิดการบูมของธุรกิจในด้านพลังงานส่วนนี้ในอนาคต
อีกธุรกิจนึงที่ผมนึกขึ้นมาได้จากการตอบคำถามในกระทู้ก็คือ "ธุรกิจรถเช่า" ใช่ครับธุรกิจรถเช่าจะมีความน่าไว้วางใจกันมากขึ้นจากการที่ระบบของรถไฟฟ้าต้องการการใช้ biomatic ในการยืนยันตัวตนในการเช่ารถ ไม่ว่าจะเป็นการสแกนหน้าหรือสแกนลายนิ้วมือ เพื่อทำให้รถสามารถสตาร์ทเครื่งอยนต์ได้เพราะตอนนี้รถหลายคันออกแบบให้มีกล้องสแกนหน้าคนขับในขณะขับรถทั้งเหตุผลด้านความปลอดภัยของผู้ขับขี่และ ป้องการการจารกรรมด้วยในตัว...
อย่างที่สองคือ "ระบบความปลอดภัย และ ปัญหาการจารกรรม"
รถไฟฟ้ามักจะมาด้วยเทคโนโลยีต่างๆที่มากกว่ารถน้ำมันเพราะติดตั้งระบบสมองกลมาในตัวรถเพื่อให้คำนวนสิ่งต่างๆที่เกิดขั้นรอบๆตัวรถได้ เช่น พวกระบบเซนเซอร์ตรวจจับต่างๆทั้งระหว่างขับขี่และหลังขับขี่ ระบบการนำทาง ระบบการจอด การนอนในรถไฟฟ้าสามารถเปิดแอร์นอนในรถได้ 3 วันโดยที่ไม่ต้องดับเครื่องและไม่มีปัญหาเรื่องการปล่อยมลพิษใดๆ(มีแต่ความร้อนที่ออกจากรถ) คิดดูว่าอีกหน่อยการเดินทางโดยรถ ev จะสามารถไปแคมป์ที่ไหนก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องพกเต้นท์ไปเนื่องจากสามารถนอนเปิดแอร์ในรถได้ทั้งคืนโดยไม่ต้องกลัวเรื่องมมลพิษหรือก๊าซพิษ หรือควันจะไปรบกวนบ้านเรือนใกล้ๆ อีกหน่อยถ้ารถ ev ทุกคันใส่ซิมหรือใช้เครือข่าย 5G ขึ้นไป จะทำให้รถ ev ทุกคันในโลกอาจจะไม่มีทางชนกันได้อีกเลย (อันนี้ไกลหน่อยแต่มีความเป็นไปได้ในทางทฤษฏี) เพราะระบบสมองกลรถสั่งการให้รถทุกคันวัดระยะห่างจากรถ ev คันอื่นตลอดเวลาและสั่งการให้เบรคอัติโนมัติเมื่องพบว่ารถทั้ง 2 คันเข้าใกล้กันเกินกว่าระยะปลอดภัยที่ระบบยอมรับได้ อีกหน่อยสถานที่ต่างๆจะสามารถสั่งให้รถเข้า-ออกสถานที่ได้โดยกำหนดจาก esim
ปัญหาการจารกรรมรถจะน้อยลงไปอย่างมาก เพราะการเข้าถึงระบบความปลอดภัยของรถไฟฟ้าทำได้ยากกว่ารถน้ำมันการขโมยรถไฟฟ้าที่ติดตั้ง GPS ทุกคันและมีแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ อีกอย่างรถสมัยใหม่จะใส่ซิมไว้ที่รถเพิ่อทำให้ตัวรถสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่าย internet ได้ตลอดเวลาทำให้การขโมยรถไฟฟ้ายากกว่ามาก การเข้ามาในรถแล้วทำให้รถวิ่งได้โดยอุปกรณ์ทางเครื่องกลไกแทบจะทำไม่ได้ แต่ยังสามารถแฮคผ่าน software บางอย่างได้(ในต่างประเทศมีกรณีการแฮครถเทสล่าได้บ้างแต่นานๆครั้งและส่วนใหญ่เข้าไปในรถได้แต่ไม่สามารถทำให้รถวิ่งได้) อีกหน่อยการเข้าไปขับรถจะใช้ระบบเหมือนมือถือคือการใช้ biomatic ในการยืนยันตัวตนก่อนขับรถ การขับรถจะมีการสแกนใบหน้าคนขับก่อนขับเพื่อเป็นการอนุญาตให้ขับรถได้...
----------------------------------------------------------------------------------
ใครมีไอเดียอยากจะพูดคุยสนทนาข้อดีข้อเสียของรถไฟฟ้า ขึ้นมาถกกันในสังคมตอนนี้ผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี และต้องเริ่มคิดและเริ่มพูดคุยกันได้แล้วครับเพราะยังไงมันก็มาแน่ๆ แค่ช้าหรือเร็วแค่ไหน ส่วนตัวผมคิดว่าไม่เกิน 10 ปีนี้จะมีรถไฟฟ้าในไทยอาจจะถึง 1 ล้านคันเลยทีเดียว(นับรวมรถมอเตอร์ไซค์ ev ด้วย) ดูจากกระแสโลกและเทคโนโลยีการพัฒนาแบตเตอรี่ และระบบไฟฟ้าแบบก้าวกระโดด
แน่นอนว่าตอนนี้เรายังไม่พร้อม....และ เราจะไม่พร้อมไปเรื่อยๆถ้าเราไม่พูดคุยกันอย่างเปิดเผย เป็นวงกว้างในสังคมเพื่อกระตุ้นให้สังคมตระหนักและสร้างความเปลี่ยนแปลงแม้จะเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้ามันพูดกันบ่อยๆสุดท้ายมันจะเกิดความเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอนครับ
เครดิตภาพ
https://www.energysage.com/electric-vehicles/costs-and-benefits-evs/evs-vs-hybrids/
===ข้อดีที่รถ EV จะเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตคนเมืองในอนาคตอันใกล้===
1. ประหยัดพลังงานมากกว่าน้ำมัน
2. ลดมลภาวะทางอากาศ
3. ลดมลภาวะทาง "เสียง"
4. ค่าบำรุงรักษาในอนาคตถูกกว่ารถน้ำมัน (และจะยิ่งถูกไปอีกในอนาคต)
5. แรงมอเตอร์ไฟฟ้าทอร์คสูงกว่าและกำลังทอร์คมาทันทีที่แตะคันเร่ง
ส่วนอีกบางประเด็นที่ยังไม่ค่อยมีกระแสให้พูดถึงก็คือ 2 เรื่อง
1. รถ ev จะสร้างระบบ ecosystem แบบใหม่ขึ้น
2. ระบบความปลอดภัยสูงขึ้น และ ความปลอดภัยจากการถูกจารกรรมดีขึ้น
อย่างแรกคือ "สร้างระบบ ecosystem แบบใหม่"
นั่นก็คือ การใช้พลังงานไฟฟ้าทำให้ชีวิตการใช้รถเปลี่ยนไปการขับๆไปแล้วจอดชาร์จ เป็น new normal และส่งเสริมให้เกิดการบริโภคแบบใหม่ นั่นก็คือ "ลานจอดรถในห้างจะกลายสถานีชาร์จ" นั่นคือ หรือกล่าวแบบบ้านๆคือลานจอดรถกลายร่างเป็นปั้มน้ำมัน... ร้านกาแฟจะทำให้ร้านตัวเองเป็นจุดชาร์จเพื่อดึงให้คนมาจอดแวะ 15-20 นาทีเพื่อชาร์จและทานอาหาร ซึ่งต้นทุนในการตัดตั้งจุดชาร์จราวๆ 50,000- 120,000 บาท(ขึ้นอยู่กับประเภทของหัวจ่ายไฟ) ...หัวจ่ายมีขนาดไม่ใหญ่ทำให้ไม่ต้องเสียพื้นที่มากจะมีแค่ระบบการเดินไฟที่ต้องรองรับกระแสไฟที่แรงขึ้นใหญ่ขึ้น การบริการแบบที่ไม่เคยคิดในอดีตกับรถน้ำมัน อย่างเช่น ร้านตัดผม, ร้านนวด, ร้านกาแฟ, ฟาสต์ฟู๊ด จากเดิมที่คนเติมน้ำมันเร็วๆแล้วก็ไปไม่ถึง 5 นาที จะกลายเป็นคนจะแวะจอดชาร์จกันมากขึ้น การชาร์จไฟ จะทำให้เกิดระบบการหักตัดบัตร การสแกน QR code เพื่อจ่ายเงินอย่างโปร่งใส่ บริษัทต่างๆที่ใช้รถ ev หรือมีสวัสดิการเป็นค่าน้ำมันก็จะไม่ต้องกังวลกับการ ปลอมบิล... การที่พนักงานขับรถเติมน้ำมันแล้วแอบไปดูดน้ำมันเอาไปขายให้ปั้มหลอดตามต่างจังหวัด...การเบิกค่าเดินทางตรงไปตรงมาซิกแซกยาก
ระบบวิถีการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนไป.... คนจะชาร์จแบตรถเหมือนกับชาร์จมือถือ คือ ชาร์จเมื่อมีโอกาสและชาร์จก่อนนอนตื่นนอนแบตเต็ม ขับรถไปธุระ ไปทำงานกลับบ้าน (เผลอๆอีกหน่อยทุกๆออฟฟิสจะสร้างที่จอดรถให้มีที่ชาร์จแบตทุกจุดเพิ่อหารายได้แทนค่าจอดรถในอาคาร)แบตเหลือชาร์จแบตนอน ตื่นมาเต็ม วนๆไปแบบนี้ และการชาร์จแบตนอกบ้านจะชาร์จเป็นกรณีๆฉุกเฉินแค่นั้นหรือ ไปตจว.เท่านั้น
อีกเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากเกิดความแพร่หลายของรถไฟฟ้าก็คือ solar cell สิ่งที่ผมคิดคือ ทุกๆลานจอดรถจะพยายามติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ไว้ชาร์จแบตให้รถไฟฟ้าที่มาจอดที่ลานจอดเพื่อเก็บเงินและ บ้านแทบทุกหลังจะเริ่มทะยอยติดแผงโซล่าเซลล์เพื่อประหยัดพลังงานไฟฟ้าและนำมาชาร์จรถ และจะเกิดการบูมของธุรกิจในด้านพลังงานส่วนนี้ในอนาคต
อีกธุรกิจนึงที่ผมนึกขึ้นมาได้จากการตอบคำถามในกระทู้ก็คือ "ธุรกิจรถเช่า" ใช่ครับธุรกิจรถเช่าจะมีความน่าไว้วางใจกันมากขึ้นจากการที่ระบบของรถไฟฟ้าต้องการการใช้ biomatic ในการยืนยันตัวตนในการเช่ารถ ไม่ว่าจะเป็นการสแกนหน้าหรือสแกนลายนิ้วมือ เพื่อทำให้รถสามารถสตาร์ทเครื่งอยนต์ได้เพราะตอนนี้รถหลายคันออกแบบให้มีกล้องสแกนหน้าคนขับในขณะขับรถทั้งเหตุผลด้านความปลอดภัยของผู้ขับขี่และ ป้องการการจารกรรมด้วยในตัว...
อย่างที่สองคือ "ระบบความปลอดภัย และ ปัญหาการจารกรรม"
รถไฟฟ้ามักจะมาด้วยเทคโนโลยีต่างๆที่มากกว่ารถน้ำมันเพราะติดตั้งระบบสมองกลมาในตัวรถเพื่อให้คำนวนสิ่งต่างๆที่เกิดขั้นรอบๆตัวรถได้ เช่น พวกระบบเซนเซอร์ตรวจจับต่างๆทั้งระหว่างขับขี่และหลังขับขี่ ระบบการนำทาง ระบบการจอด การนอนในรถไฟฟ้าสามารถเปิดแอร์นอนในรถได้ 3 วันโดยที่ไม่ต้องดับเครื่องและไม่มีปัญหาเรื่องการปล่อยมลพิษใดๆ(มีแต่ความร้อนที่ออกจากรถ) คิดดูว่าอีกหน่อยการเดินทางโดยรถ ev จะสามารถไปแคมป์ที่ไหนก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องพกเต้นท์ไปเนื่องจากสามารถนอนเปิดแอร์ในรถได้ทั้งคืนโดยไม่ต้องกลัวเรื่องมมลพิษหรือก๊าซพิษ หรือควันจะไปรบกวนบ้านเรือนใกล้ๆ อีกหน่อยถ้ารถ ev ทุกคันใส่ซิมหรือใช้เครือข่าย 5G ขึ้นไป จะทำให้รถ ev ทุกคันในโลกอาจจะไม่มีทางชนกันได้อีกเลย (อันนี้ไกลหน่อยแต่มีความเป็นไปได้ในทางทฤษฏี) เพราะระบบสมองกลรถสั่งการให้รถทุกคันวัดระยะห่างจากรถ ev คันอื่นตลอดเวลาและสั่งการให้เบรคอัติโนมัติเมื่องพบว่ารถทั้ง 2 คันเข้าใกล้กันเกินกว่าระยะปลอดภัยที่ระบบยอมรับได้ อีกหน่อยสถานที่ต่างๆจะสามารถสั่งให้รถเข้า-ออกสถานที่ได้โดยกำหนดจาก esim
ปัญหาการจารกรรมรถจะน้อยลงไปอย่างมาก เพราะการเข้าถึงระบบความปลอดภัยของรถไฟฟ้าทำได้ยากกว่ารถน้ำมันการขโมยรถไฟฟ้าที่ติดตั้ง GPS ทุกคันและมีแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ อีกอย่างรถสมัยใหม่จะใส่ซิมไว้ที่รถเพิ่อทำให้ตัวรถสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่าย internet ได้ตลอดเวลาทำให้การขโมยรถไฟฟ้ายากกว่ามาก การเข้ามาในรถแล้วทำให้รถวิ่งได้โดยอุปกรณ์ทางเครื่องกลไกแทบจะทำไม่ได้ แต่ยังสามารถแฮคผ่าน software บางอย่างได้(ในต่างประเทศมีกรณีการแฮครถเทสล่าได้บ้างแต่นานๆครั้งและส่วนใหญ่เข้าไปในรถได้แต่ไม่สามารถทำให้รถวิ่งได้) อีกหน่อยการเข้าไปขับรถจะใช้ระบบเหมือนมือถือคือการใช้ biomatic ในการยืนยันตัวตนก่อนขับรถ การขับรถจะมีการสแกนใบหน้าคนขับก่อนขับเพื่อเป็นการอนุญาตให้ขับรถได้...
----------------------------------------------------------------------------------
ใครมีไอเดียอยากจะพูดคุยสนทนาข้อดีข้อเสียของรถไฟฟ้า ขึ้นมาถกกันในสังคมตอนนี้ผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี และต้องเริ่มคิดและเริ่มพูดคุยกันได้แล้วครับเพราะยังไงมันก็มาแน่ๆ แค่ช้าหรือเร็วแค่ไหน ส่วนตัวผมคิดว่าไม่เกิน 10 ปีนี้จะมีรถไฟฟ้าในไทยอาจจะถึง 1 ล้านคันเลยทีเดียว(นับรวมรถมอเตอร์ไซค์ ev ด้วย) ดูจากกระแสโลกและเทคโนโลยีการพัฒนาแบตเตอรี่ และระบบไฟฟ้าแบบก้าวกระโดด
แน่นอนว่าตอนนี้เรายังไม่พร้อม....และ เราจะไม่พร้อมไปเรื่อยๆถ้าเราไม่พูดคุยกันอย่างเปิดเผย เป็นวงกว้างในสังคมเพื่อกระตุ้นให้สังคมตระหนักและสร้างความเปลี่ยนแปลงแม้จะเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้ามันพูดกันบ่อยๆสุดท้ายมันจะเกิดความเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอนครับ
เครดิตภาพ https://www.energysage.com/electric-vehicles/costs-and-benefits-evs/evs-vs-hybrids/