“มาราโดน่า"เก่งที่สุดตอนไหน?
.
.
.
โลกยังคงช็อค วงการฟุตบอลยังเศร้าซึม กับการจากไปของ “เสือเตี้ย” ดีเอโก้ อาร์มานโด้ มาราโดน่า ยอดนักฟุตบอลเอกของโลก
.
.
ตำนานกัปตันทีมชาติ “ฟ้าขาว” อาร์เจนติน่า ชุดแชมป์โลก 1986 เสียชีวิตลง ด้วยวัยเพียง 60 ปีเท่านั้น
.
.
มาราโดนา มีอาการป่วยหลังฉลองวันเกิดอายุครบ 60 ปี ไปเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ต้องเข้ารับการผ่าตัดเอาลิ่มเลือดอุดตันในสมองออกที่คลินิกเฉพาะทางในกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
.
.
จากนั้น นายแพทย์ เลโอโพลโด ลูเก้ แพทย์ประจำตัวของ มาราโดน่า ที่ยืนยันว่าการผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี ไม่มีผลข้างเคียง และอาการของมาราโดน่า ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังต้องประเมินอาการแบบวันต่อวัน กระทั่งเสียชีวิตลง ในช่วงเวลาประมาณ 23.30 น.คืนวันพุธที่ผ่านมาตามเวลาของประเทศไทย
.
.
มาราโดน่า มีเท้าซ้ายอันเหนือธรรมชาติ และมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลือเชื่อบนฟลอร์หญ้า แม้ว่าเขาอาจจะมี”ด้านมืด” ที่เรียกได้ว่าเป็น “เทวดาและซาตานในร่างเดียว”
.
.
นำทัพ อาร์เจนติน่า ครองแชมป์โลก ในปี 1986 และรองแชมป์โลก ปี 1990 ติดทีมชาติรวม 91 นัด ยิงไป 34 ประตู พร้อมกับสร้างตำนานในระดับสโมสร โดยเล่นให้กับ บาร์เซโลน่า และนาโปลี ย้ายแต่ละทีเป็นสถิติโลก
.
.
โดยเฉพาะการนำทัพ “อัซซูร่า” คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี 2 สมัย ในปี 1986-87 และ 1989-90 ทำให้ได้รับฉายาว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งเนเปิลส์” และเป็นพระเจ้าของชาวอาร์เจนไตน์ พร้อมกับนำทัพไปเตะฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ปี 2010 ในฐานะผู้จัดการทีม
.
.
ที่ต้องมาดูกันว่า ที่สุดแล้ว มาราโดน่า เก่งที่สุดตอนไหนกันแน่?!?!?!?!?
.
.
เขาพุ่งขึ้นมาและโยงใยกับฟุตบอลโลกตลอดอาชีพการค้าแข้ง นับได้ตั้งแต่ปี 1978, 1982, 1986, 1990 และ 1994
.
.
ปี 1978 อายุ 17 ปี ถูกปฏิเสธไม่ได้เข้าร่วมเตะในบ้านตัวเองเป็นเจ้าภาพ
ปี 1982 อายุ 21 ปี เป็นตัวจริงและตกรอบ 2 แบบแบ่งกลุ่ม
ปี 1986 อายุ 25 ปี นำทัพเป็นแชมป์โลก
ปี 1990 อายุ 29 ปี ได้รองแชมป์โลก
ปี 1994 อายุ 33 ปี เล่นได้ 2 นัด ก่อนจะถูกเชิญออกจากการแข่งขัน
.
.
เห็นแบบนี้แล้ว เขาเก่งที่สุดตอนไหนกันแน่ และพีคที่สุดตอนไหนน่ะเหรอ
.
.
หากเทียบเป็นรางวัลแล้ว แน่นอนที่สุด ฟุตบอลโลก ปี 1986 จะต้องมาก่อน
.
.
หลังจากได้รับประสบการณ์อย่างเหลือเฟือจากบอลโลก 1982 ที่สเปน หนุ่มน้อยวัย 21 ปี ลงเล่นทุกนัด รายล้อมด้วยนักฟุตบอลชั้นดีจากชุดแชมป์โลก 1978 แต่ต้องยุติเส้นทางด้วยการแพ้ อิตาลี และบราซิล ในรอบแบ่งกลุ่มรอบที่ 2 มาราโดน่า โดนไล่ออกแถมอีกด้วยในนัดส่งท้ายที่พ่าย บราซิล 1-3
.
.
การผลัดใบเริ่มขึ้น เมื่อ เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ อำลาทีมชาติ และเป็น คาร์ลอส บิลาร์โด้ เข้ามาทำงานแทน
.
.
ผู้เล่นซีเนียร์ของทีมอย่าง อูบัลโด้ ฟิลลอล นายประตูจอมหนึบที่ใส่หมายเลข 7, ฮอร์เก้ โอลกวิน, อัลแบร์โต้ ตารันตินี่, ดาเนี่ยล เบอร์โตนี่, มาริโอ เคมเปส และออสวัลโด้ อาร์ดิเลส มิดฟิลด์ที่ใส่หมายเลข 1 ลงสนาม ได้อำลาทีม ทำให้ บิลาร์โด้ ต้องสร้างทีมใหม่โดยมี มาราโดน่า เป็นแกนนำ
.
.
น่าสนใจก็คือ ราม่อน ดิอาซ ที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับ มาราโดน่า ได้แชมป์เยาวชนโลกมาด้วยกันในปี 1978 ไม่มีชื่อในการเล่นทีมชาติอีกเลยนับตั้งแต่ปี 1982 โดยมีข่าวว่า ดิอาซ ซึ่งเป็นผู้ทำประตูตีไข่แตก มีปัญหากับ มาราโดน่า ทำให้ บิลาร์โด้ ไม่เรียกตัว ดิอาซ มาติดทีมชาติอีกเลย
.
.
เส้นทางของสองคนนี้กลายเป็น”เส้นขนาน”ที่เหลือเชื่อ เมื่อ ดิอาซ มาเล่นอยู่ที่นาโปลี 1 ซีซั่น คือ 1982-83 และเขาก็ย้ายไป อเวลลิโน่ จากนั้นแค่ซีซั่นเดียว มาราโดน่า ก็มาอยู่กับ นาโปลี
.
.
มาราโดน่า ระบุไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของเขาว่า เขาไม่เคยมีปัญหากับ ดิอาซ และต้องการให้มาร่วมทัพด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ถึงเหตุผลกลใดที่ บิลาร์โด้ ไม่ใช้งาน ดิอาซ เลย
.
.
ฮอร์เก้ บัลดาโน่ จาก เรอัล มาดริด กับ ฮอร์เก้ เบอร์รูชาก้า จากนองต์ส จึงได้มีโอกาสเคียงข้างกับ มาราโดน่า
.
.
พร้อมกับนักเตะหน้าใหม่ที่พุ่งขึ้นมาอยู่ในทีมทั้ง เนรี่ ปุมปิโด้ นายประตู, ฮูลิโอ โอลาร์ติโกเชีย, โฆเซ่ หลุยส์ บราวน์ และไอ้หนวดงาม เซร์คิโอ บาติสต้า ส่วน ดาเนี่ยล พาสซาเรลล่า กัปตันทีมชุดแชมป์โลก 1978 เป็นตัวสำรองในวัย 33 ปี
.
.
มาราโดน่า ได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทีม นำทีมเข้ารอบจากการคัดเลือกโซนอเมริกาใต้ 6 นัด ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 1 โดยแพ้ให้กับ เปรู ได้เข้ารอบสุดท้ายแบบไม่ยาก แต่รอบแรกต้องมาดวลกับแชมป์เก่าอย่าง อิตาลี และอีกสองทีมคือ บัลแกเรีย กับ เกาหลีใต้
.
.
อาร์เจนติน่า เข้ารอบด้วยการชนะ 2 เสมอ 1 ก่อนจะเล่นน็อคเอาท์ชนะ อุรุกวัย 1-0 และเอาชนะในเกมที่ยังโด่งดังจนถึงทุกวันนี้เหนือ อังกฤษ 2-1
.
.
มาราโดน่า ดังเป็นพลุแตก จากการที่เขาใช้มือปัดเข้าประตูในนาทีที่ 51 แต่ให้หลังแค่ 4 นาที เขารังสรรค์ประตูที่ว่ากันว่า ดีที่สุดอีกครั้งในประวัติศาสตร์ฟุตบอล
.
.
ก่อนแข่งเกมนี้กระแสมันหนักเรื่องสงครามฟอล์คแลนด์ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทระหว่าง อาร์เจนติน่า กับ อังกฤษ โดยตรง ยิ่งทำให้เกมนี้ร้อนตั้งแต่ยังไม่เริ่ม และเดือดดาลเป็นที่ถกเถียงหลังจากจบเกม
.
.
จนถึงทุกวันนี้เหตุการณ์ผ่านไปนานกว่า 34 ปี แต่นักบอลอังกฤษ อาทิ ปีเตอร์ ชิลตัน ยังให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่เคยลืมเลือนลูกนั้น แม้ว่า มาราโดน่า จะเก่งแค่ไหน แต่เขาไม่มีน้ำใจนักกีฬา เพราะถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยขอโทษเรื่องนั้นสักคำ!!!
.
.
มาราโดน่า บอกว่า ลูกนั้นไม่ได้เป็นการใช้มือ แต่นั่นคือ”หัตถ์พระเจ้า”
.
.
บัญญัติคำนี้ขึ้นมาจนกลายเป็นตำนานของโลกตลอดกาล
.
.
ความยอดเยี่ยมของ มาราโดน่า ยังคงอยู่ต่อไปเมื่อเขาซัดเบลเยี่ยมคนเดียวสองประตู พาทีมเข้าไปชิงชนะเลิศได้สำเร็จ และหักด่าน เยอรมันตะวันตก 3-2 โดยประตูชัยได้จากการผ่านบอลของ มาราโดน่า ไปให้กับ เบอร์รูชาก้า วิ่งทะลุไปสังหารผ่าน ฮาราลด์ หรือว่า โทนี่ ชูมัคเกอร์ ตุงตาข่าย
.
.
โลกทั้งโลกยอมสยบให้กับ มาราโดน่า
.
.
การได้แชมป์โลกคือที่สุดของที่สุด แต่น่าสนใจก็คือ อันที่จริงแล้ว มาราโดน่า พีคสุดตอนฟุตบอลโลก 1990 หรือไม่
.
.
ในการนำทีมมาป้องกันแชมป์ มาราโดน่า อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะฟิตเท่าไหร่นัก แต่ยังสามารถนำทีมผ่านเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ แบบว่า ลากเลือดแต่ก็สู้ไม่มีถอย
.
.
ประเดิมเกมแรกฟอร์มแย่แพ้ แคเมอรูน 0-1 เป็นที่มาของตำนาน”หมอผี”ไปตลอดกาล แต่นัดต่อมา มาราโดน่า ใช้หัตถ์พระเจ้า หรือ แฮนด์ ออฟ ก๊อด ภาค 2 ด้วยการใช้มือสกัดบอลจากเส้นประตู ก่อนที่ อาร์เจนติน่า จะชนะ รัสเซีย 2-0 ซึ่งเกมนั้นเล่นที่เนเปิ้ลส์
.
.
นัดสุดท้ายรอบแรก มาราโดน่า เล่นไม่ออกแต่ทีมยันเสมอ โรมาเนีย แบบเจียนอยู่เจียนไป 1-1 เข้ารอบมาแบบเป็นอันดับ 3 ที่ดีที่สุด
.
.
แล้ว มาราโดน่า ก็กลับมาเล่นดี และทำแสบสันต์สุด ๆ เมื่อพาบอลหนีผู้เล่นบราซิลเกือบครึ่งทีม ก่อนจ่ายให้ เคลาดิโอ คานิกเกีย คู่หูคนใหม่แห่งยุคยิงสังหารแซมบ้า ตกรอบ 2
.
.
รอบต่อมา มาราโดน่า แผลงฤทธิ์ไม่ออกอีกครั้ง ทีมก็ยังยิงจุดโทษชนะ ยูโกสลาเวีย 3-2 ซึ่ง มาราโดน่า เองก็ยิงไม่เข้า แต่ได้การเซฟจากนายประตูผีบ้าอย่าง เซร์คิโอ กอยโกเชีย ที่เป็นตัวสำรองแล้วได้เล่นเพราะ เนรี่ ปุมปิโด้ ขาหักตั้งแต่รอบแรก
.
.
มาถึงรอบตัดเชือก เกมกลับมาเล่นกันที่เนเปิลส์ มาราโดน่า ร่ายมนต์อีกครั้ง เมื่อพาทีมเสมอกับ อิตาลี 1-1 และลากเจ้าบ้านไปสังหารด้วยจุดโทษ ผ่านเข้าชิงชนะเลิศไปดวลเกมล้างตากับ เยอรมันตะวันตก น่าเสียดายตรงที่มันเข้าโควตา”เล่นไม่ดี”ของ มาราโดน่า
.
.
อาร์เจนติน่า จึงแพ้ไป 0-1 จากจุดโทษของ อันเดรียส์ เบรห์เม่ และที่สำคัญก็คือ เปโดร มอนซอน ลูกน้อง มาราโดน่า เป็นคนแรก ที่โดนไล่ออกในนัดชิง และมีคนที่สองด้วยก็คือ กุสตาโว่ เดซอตติ
.
.
ว่ากันตามเชิง ฟุตบอลโลก 1994 ในยุคที่ไม่มีการเมืองเข้าแทรก มาราโดน่า และอาร์เจนติน่า อาจจะไปได้ไกลกว่านี้ แต่สุดท้าย มาราโดน่า ที่เล่นได้สะเด่าทรวงในจากสองเกมแรกที่ถล่ม กรีซ 4-0 และเด็ดปีกนกกำลังจะบินอย่าง ไนจีเรีย
.
.
เป็นอีกครั้งที่ มาราโดน่า ฤทธิ์แรงเหลือกำลัง
.
.
เท่ากับว่า ฟุตบอลโลก 1986, 1990 และ 1994 ด้วยวัย, ประสบการณ์ มาราโดน่า น่ากลัวในการเล่นแทบจะทุกชั้นปี
.
.
ไม่ว่าจะอยู่ใน”ยุคของผู้ล่า” ในปี 1986 หรือเล่นดีนัดเสียนัดใน”ยุคผู้ถูกล่า” ในปี 1990 รวมถึงยุคที่หวังจะไว้ลายเสือร้ายในปี 1994
.
.
#goalstorm #เจาะลึก #บอลนอก
https://www.facebook.com/goalstorm/photos/a.107849224439919/128525252372316/
🔥 “มาราโดน่า"เก่งที่สุดตอนไหน? 🔥
.
.
.
โลกยังคงช็อค วงการฟุตบอลยังเศร้าซึม กับการจากไปของ “เสือเตี้ย” ดีเอโก้ อาร์มานโด้ มาราโดน่า ยอดนักฟุตบอลเอกของโลก
.
.
ตำนานกัปตันทีมชาติ “ฟ้าขาว” อาร์เจนติน่า ชุดแชมป์โลก 1986 เสียชีวิตลง ด้วยวัยเพียง 60 ปีเท่านั้น
.
.
มาราโดนา มีอาการป่วยหลังฉลองวันเกิดอายุครบ 60 ปี ไปเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ต้องเข้ารับการผ่าตัดเอาลิ่มเลือดอุดตันในสมองออกที่คลินิกเฉพาะทางในกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
.
.
จากนั้น นายแพทย์ เลโอโพลโด ลูเก้ แพทย์ประจำตัวของ มาราโดน่า ที่ยืนยันว่าการผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี ไม่มีผลข้างเคียง และอาการของมาราโดน่า ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังต้องประเมินอาการแบบวันต่อวัน กระทั่งเสียชีวิตลง ในช่วงเวลาประมาณ 23.30 น.คืนวันพุธที่ผ่านมาตามเวลาของประเทศไทย
.
.
มาราโดน่า มีเท้าซ้ายอันเหนือธรรมชาติ และมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลือเชื่อบนฟลอร์หญ้า แม้ว่าเขาอาจจะมี”ด้านมืด” ที่เรียกได้ว่าเป็น “เทวดาและซาตานในร่างเดียว”
.
.
นำทัพ อาร์เจนติน่า ครองแชมป์โลก ในปี 1986 และรองแชมป์โลก ปี 1990 ติดทีมชาติรวม 91 นัด ยิงไป 34 ประตู พร้อมกับสร้างตำนานในระดับสโมสร โดยเล่นให้กับ บาร์เซโลน่า และนาโปลี ย้ายแต่ละทีเป็นสถิติโลก
.
.
โดยเฉพาะการนำทัพ “อัซซูร่า” คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี 2 สมัย ในปี 1986-87 และ 1989-90 ทำให้ได้รับฉายาว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งเนเปิลส์” และเป็นพระเจ้าของชาวอาร์เจนไตน์ พร้อมกับนำทัพไปเตะฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ปี 2010 ในฐานะผู้จัดการทีม
.
.
ที่ต้องมาดูกันว่า ที่สุดแล้ว มาราโดน่า เก่งที่สุดตอนไหนกันแน่?!?!?!?!?
.
.
เขาพุ่งขึ้นมาและโยงใยกับฟุตบอลโลกตลอดอาชีพการค้าแข้ง นับได้ตั้งแต่ปี 1978, 1982, 1986, 1990 และ 1994
.
.
ปี 1978 อายุ 17 ปี ถูกปฏิเสธไม่ได้เข้าร่วมเตะในบ้านตัวเองเป็นเจ้าภาพ
ปี 1982 อายุ 21 ปี เป็นตัวจริงและตกรอบ 2 แบบแบ่งกลุ่ม
ปี 1986 อายุ 25 ปี นำทัพเป็นแชมป์โลก
ปี 1990 อายุ 29 ปี ได้รองแชมป์โลก
ปี 1994 อายุ 33 ปี เล่นได้ 2 นัด ก่อนจะถูกเชิญออกจากการแข่งขัน
.
.
เห็นแบบนี้แล้ว เขาเก่งที่สุดตอนไหนกันแน่ และพีคที่สุดตอนไหนน่ะเหรอ
.
.
หากเทียบเป็นรางวัลแล้ว แน่นอนที่สุด ฟุตบอลโลก ปี 1986 จะต้องมาก่อน
.
.
หลังจากได้รับประสบการณ์อย่างเหลือเฟือจากบอลโลก 1982 ที่สเปน หนุ่มน้อยวัย 21 ปี ลงเล่นทุกนัด รายล้อมด้วยนักฟุตบอลชั้นดีจากชุดแชมป์โลก 1978 แต่ต้องยุติเส้นทางด้วยการแพ้ อิตาลี และบราซิล ในรอบแบ่งกลุ่มรอบที่ 2 มาราโดน่า โดนไล่ออกแถมอีกด้วยในนัดส่งท้ายที่พ่าย บราซิล 1-3
.
.
การผลัดใบเริ่มขึ้น เมื่อ เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ อำลาทีมชาติ และเป็น คาร์ลอส บิลาร์โด้ เข้ามาทำงานแทน
.
.
ผู้เล่นซีเนียร์ของทีมอย่าง อูบัลโด้ ฟิลลอล นายประตูจอมหนึบที่ใส่หมายเลข 7, ฮอร์เก้ โอลกวิน, อัลแบร์โต้ ตารันตินี่, ดาเนี่ยล เบอร์โตนี่, มาริโอ เคมเปส และออสวัลโด้ อาร์ดิเลส มิดฟิลด์ที่ใส่หมายเลข 1 ลงสนาม ได้อำลาทีม ทำให้ บิลาร์โด้ ต้องสร้างทีมใหม่โดยมี มาราโดน่า เป็นแกนนำ
.
.
น่าสนใจก็คือ ราม่อน ดิอาซ ที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับ มาราโดน่า ได้แชมป์เยาวชนโลกมาด้วยกันในปี 1978 ไม่มีชื่อในการเล่นทีมชาติอีกเลยนับตั้งแต่ปี 1982 โดยมีข่าวว่า ดิอาซ ซึ่งเป็นผู้ทำประตูตีไข่แตก มีปัญหากับ มาราโดน่า ทำให้ บิลาร์โด้ ไม่เรียกตัว ดิอาซ มาติดทีมชาติอีกเลย
.
.
เส้นทางของสองคนนี้กลายเป็น”เส้นขนาน”ที่เหลือเชื่อ เมื่อ ดิอาซ มาเล่นอยู่ที่นาโปลี 1 ซีซั่น คือ 1982-83 และเขาก็ย้ายไป อเวลลิโน่ จากนั้นแค่ซีซั่นเดียว มาราโดน่า ก็มาอยู่กับ นาโปลี
.
.
มาราโดน่า ระบุไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของเขาว่า เขาไม่เคยมีปัญหากับ ดิอาซ และต้องการให้มาร่วมทัพด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ถึงเหตุผลกลใดที่ บิลาร์โด้ ไม่ใช้งาน ดิอาซ เลย
.
.
ฮอร์เก้ บัลดาโน่ จาก เรอัล มาดริด กับ ฮอร์เก้ เบอร์รูชาก้า จากนองต์ส จึงได้มีโอกาสเคียงข้างกับ มาราโดน่า
.
.
พร้อมกับนักเตะหน้าใหม่ที่พุ่งขึ้นมาอยู่ในทีมทั้ง เนรี่ ปุมปิโด้ นายประตู, ฮูลิโอ โอลาร์ติโกเชีย, โฆเซ่ หลุยส์ บราวน์ และไอ้หนวดงาม เซร์คิโอ บาติสต้า ส่วน ดาเนี่ยล พาสซาเรลล่า กัปตันทีมชุดแชมป์โลก 1978 เป็นตัวสำรองในวัย 33 ปี
.
.
มาราโดน่า ได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทีม นำทีมเข้ารอบจากการคัดเลือกโซนอเมริกาใต้ 6 นัด ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 1 โดยแพ้ให้กับ เปรู ได้เข้ารอบสุดท้ายแบบไม่ยาก แต่รอบแรกต้องมาดวลกับแชมป์เก่าอย่าง อิตาลี และอีกสองทีมคือ บัลแกเรีย กับ เกาหลีใต้
.
.
อาร์เจนติน่า เข้ารอบด้วยการชนะ 2 เสมอ 1 ก่อนจะเล่นน็อคเอาท์ชนะ อุรุกวัย 1-0 และเอาชนะในเกมที่ยังโด่งดังจนถึงทุกวันนี้เหนือ อังกฤษ 2-1
.
.
มาราโดน่า ดังเป็นพลุแตก จากการที่เขาใช้มือปัดเข้าประตูในนาทีที่ 51 แต่ให้หลังแค่ 4 นาที เขารังสรรค์ประตูที่ว่ากันว่า ดีที่สุดอีกครั้งในประวัติศาสตร์ฟุตบอล
.
.
ก่อนแข่งเกมนี้กระแสมันหนักเรื่องสงครามฟอล์คแลนด์ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทระหว่าง อาร์เจนติน่า กับ อังกฤษ โดยตรง ยิ่งทำให้เกมนี้ร้อนตั้งแต่ยังไม่เริ่ม และเดือดดาลเป็นที่ถกเถียงหลังจากจบเกม
.
.
จนถึงทุกวันนี้เหตุการณ์ผ่านไปนานกว่า 34 ปี แต่นักบอลอังกฤษ อาทิ ปีเตอร์ ชิลตัน ยังให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่เคยลืมเลือนลูกนั้น แม้ว่า มาราโดน่า จะเก่งแค่ไหน แต่เขาไม่มีน้ำใจนักกีฬา เพราะถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยขอโทษเรื่องนั้นสักคำ!!!
.
.
มาราโดน่า บอกว่า ลูกนั้นไม่ได้เป็นการใช้มือ แต่นั่นคือ”หัตถ์พระเจ้า”
.
.
บัญญัติคำนี้ขึ้นมาจนกลายเป็นตำนานของโลกตลอดกาล
.
.
ความยอดเยี่ยมของ มาราโดน่า ยังคงอยู่ต่อไปเมื่อเขาซัดเบลเยี่ยมคนเดียวสองประตู พาทีมเข้าไปชิงชนะเลิศได้สำเร็จ และหักด่าน เยอรมันตะวันตก 3-2 โดยประตูชัยได้จากการผ่านบอลของ มาราโดน่า ไปให้กับ เบอร์รูชาก้า วิ่งทะลุไปสังหารผ่าน ฮาราลด์ หรือว่า โทนี่ ชูมัคเกอร์ ตุงตาข่าย
.
.
โลกทั้งโลกยอมสยบให้กับ มาราโดน่า
.
.
การได้แชมป์โลกคือที่สุดของที่สุด แต่น่าสนใจก็คือ อันที่จริงแล้ว มาราโดน่า พีคสุดตอนฟุตบอลโลก 1990 หรือไม่
.
.
ในการนำทีมมาป้องกันแชมป์ มาราโดน่า อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะฟิตเท่าไหร่นัก แต่ยังสามารถนำทีมผ่านเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ แบบว่า ลากเลือดแต่ก็สู้ไม่มีถอย
.
.
ประเดิมเกมแรกฟอร์มแย่แพ้ แคเมอรูน 0-1 เป็นที่มาของตำนาน”หมอผี”ไปตลอดกาล แต่นัดต่อมา มาราโดน่า ใช้หัตถ์พระเจ้า หรือ แฮนด์ ออฟ ก๊อด ภาค 2 ด้วยการใช้มือสกัดบอลจากเส้นประตู ก่อนที่ อาร์เจนติน่า จะชนะ รัสเซีย 2-0 ซึ่งเกมนั้นเล่นที่เนเปิ้ลส์
.
.
นัดสุดท้ายรอบแรก มาราโดน่า เล่นไม่ออกแต่ทีมยันเสมอ โรมาเนีย แบบเจียนอยู่เจียนไป 1-1 เข้ารอบมาแบบเป็นอันดับ 3 ที่ดีที่สุด
.
.
แล้ว มาราโดน่า ก็กลับมาเล่นดี และทำแสบสันต์สุด ๆ เมื่อพาบอลหนีผู้เล่นบราซิลเกือบครึ่งทีม ก่อนจ่ายให้ เคลาดิโอ คานิกเกีย คู่หูคนใหม่แห่งยุคยิงสังหารแซมบ้า ตกรอบ 2
.
.
รอบต่อมา มาราโดน่า แผลงฤทธิ์ไม่ออกอีกครั้ง ทีมก็ยังยิงจุดโทษชนะ ยูโกสลาเวีย 3-2 ซึ่ง มาราโดน่า เองก็ยิงไม่เข้า แต่ได้การเซฟจากนายประตูผีบ้าอย่าง เซร์คิโอ กอยโกเชีย ที่เป็นตัวสำรองแล้วได้เล่นเพราะ เนรี่ ปุมปิโด้ ขาหักตั้งแต่รอบแรก
.
.
มาถึงรอบตัดเชือก เกมกลับมาเล่นกันที่เนเปิลส์ มาราโดน่า ร่ายมนต์อีกครั้ง เมื่อพาทีมเสมอกับ อิตาลี 1-1 และลากเจ้าบ้านไปสังหารด้วยจุดโทษ ผ่านเข้าชิงชนะเลิศไปดวลเกมล้างตากับ เยอรมันตะวันตก น่าเสียดายตรงที่มันเข้าโควตา”เล่นไม่ดี”ของ มาราโดน่า
.
.
อาร์เจนติน่า จึงแพ้ไป 0-1 จากจุดโทษของ อันเดรียส์ เบรห์เม่ และที่สำคัญก็คือ เปโดร มอนซอน ลูกน้อง มาราโดน่า เป็นคนแรก ที่โดนไล่ออกในนัดชิง และมีคนที่สองด้วยก็คือ กุสตาโว่ เดซอตติ
.
.
ว่ากันตามเชิง ฟุตบอลโลก 1994 ในยุคที่ไม่มีการเมืองเข้าแทรก มาราโดน่า และอาร์เจนติน่า อาจจะไปได้ไกลกว่านี้ แต่สุดท้าย มาราโดน่า ที่เล่นได้สะเด่าทรวงในจากสองเกมแรกที่ถล่ม กรีซ 4-0 และเด็ดปีกนกกำลังจะบินอย่าง ไนจีเรีย
.
.
เป็นอีกครั้งที่ มาราโดน่า ฤทธิ์แรงเหลือกำลัง
.
.
เท่ากับว่า ฟุตบอลโลก 1986, 1990 และ 1994 ด้วยวัย, ประสบการณ์ มาราโดน่า น่ากลัวในการเล่นแทบจะทุกชั้นปี
.
.
ไม่ว่าจะอยู่ใน”ยุคของผู้ล่า” ในปี 1986 หรือเล่นดีนัดเสียนัดใน”ยุคผู้ถูกล่า” ในปี 1990 รวมถึงยุคที่หวังจะไว้ลายเสือร้ายในปี 1994
.
.
#goalstorm #เจาะลึก #บอลนอก
https://www.facebook.com/goalstorm/photos/a.107849224439919/128525252372316/