สวัสดีค่า ห่างหายไปจากการลงกระทู้รีวิวค่อนข้างนานเลย มาคราวนี้มีโอกาสได้ไปเที่ยวเลยขอแวะมารีวิวสถานที่เดิมอีกครั้ง แต่ที่เปลี่ยนไปคือทริปนี้เราไปกันแบบ 2 คน ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิด ทริปนี้ไปกันสองคนจริง ๆ สองคนที่ว่านั้นคือรวมตัวฉัน (เจ้าของกระทู้) กับเพื่อนผู้หญิง ฮ่า ๆๆ ทริปนี้ไม่ใช่ทริปไปกับแฟนแน่นอนค่า เพราะเป็นทริปของสาวโสดทั้งสอง อิอิ ออกตัวก่อนนะคะ ว่านี่ไม่ใช่กระทู้รีวิวที่แบบจะมีเนื้อหาสาระที่จริงจังและเป๊ะ ๆ ขนาดนั้น แต่เป็นการรีวิวกระทู้ที่ยังมีความสบาย ๆ มือสมัครเล่นอยู่ ทริปนี้จะเป็นยังไง ไปอ่านกันค่า ^^

ทริปสังขละนี้ เกิดจากการวางแผนกันมาล่วงหน้าหนึ่งเดือนกว่า รวมทั้งการโทรจองที่พัก รวมระยะเวลาการไป 3 วัน 2 คืน เริ่มจากเราออกเดินทางกันในช่วงเช้าของวันเสาร์ที่ 21/11/63 ณ สถานีขนส่งกาญจนบุรี (บขส) ในช่วงเวลา 08.30 (รถออกทุก 25 นาทีค่ะ) และนั่งรถตู้ยิงตรงยาวไปลงสังขละ ค่ารถคนละ 175 บาทนะคะ ส่วนการนั่งรถตู้นั้นก็เวียนหัวพอควรเลย เพราะนั่งประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าถึงจะเดินทางถึงจุดหมายที่เราต้องการ ระยะทางของการไปสังขละก็ร่วมสองร้อยกิโล (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) ระหว่างการเดินทางก็มีทางขึ้นเนินเขา ลงเขา ทางโค้งสลับกันไป แต่ถือว่าไม่โหดเท่าไหร่สำหรับคนเคยไปเที่ยวดอยอินทนนท์มา 

เรานั่งรถมาถึงสังขละกันตอนเที่ยง ๆ ก็ขอเติมพลังด้วยการรับประทานอาหารมื้อแรกของวันก่อน จะเป็นอะไรนั้นดูรูปข้างล่างได้เลยค่า

ปล.ถ้ารูปใหญ่ไป ขออภัยล่วงหน้านะคะ พอดีไม่ได้ย่อไฟล์รูปค่า

หลังจากที่ทานมื้อแรกของวันเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางไปยังที่พักกันค่ะด้วยวินมอเตอร์ไซต์ (คนละ 20บาท) ไปลงสะพานมอญค่า

ส่วนที่พักที่เราสองคนได้จองไว้นั้น มีชื่อว่าบริการห้องพักโฮมสเตย์ป้าซำมะ (ชื่อเพจตามนี้เลยค่ะ) ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งมอญ เราจองแบบเป็นห้อง 2คน/2คืน คนละ250/คืนค่ะ รวมแล้วค่าที่พัก จ่ายไป 1000ค่ะ 

(เพื่อนถ่ายกับเจ้าของที่พัก ที่เราเรียกว่า ป้าซำมะค่า)

(

ที่พักสำหรับเรากับเพื่อนถือว่าสบาย ๆ ค่ะ บรรยากาศเหมือนเราแวะมาบ้านญาติผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัด และมีชุดมอญให้บริการฟรีด้วยนะคะ

หลังจากเก็บของเข้าที่พักแล้ว เราก็เริ่มออกผจญภัยกันต่อในช่วงบ่ายสามกว่า กับการนั่งเรือไหว้พระชมวัดใต้น้ำ ถือเป็นอันซีนของที่นี่เลยก็ว่าได้ค่ะ

 ซึ่งประกอบไปด้วยวัดเก่าทั้ง 3 ประกอบด้วย วัดวังก์วิเวการาม, วัดสมเด็จ และวัดศรีสุวรรณ อันเป็นตัวแทนของ 3 วัด 3 เชื้อชาติ ค่าเรือที่เรานั่งไปคนละ 80 บาทค่า

ส่วนสาเหตุที่เรียกวัดจมน้ำ เป็นเพราะว่า ในปี พ.ศ. 2527 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม หรือ เขื่อนวชิราลงกรณ์ ซึ่งเมื่อกักเก็บน้ำแล้ว น้ำในเขื่อนเขาแหลมจะเข้าท่วมตัวอำเภอสังขละบุรีเก่ารวมทั้งวัดและชุมชนในระแวกนี้ด้วยนั่นเอง

หลังจากนั่งเรือไหว้พระชมวัดกันเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับไปเปลี่ยนชุด เพื่อเดินทางไปต่อกันที่ถนนคนเดินสังขละบุรีกันค่า ซึ่งมีทุกวันเสาร์ สายกินอย่างเราจะพลาดได้ยังไง

เราเดินทางด้วยการขอยืมมอเตอร์ไซต์ของป้าซำมะค่ะ ใจดีมาก T_T เนื่องจากเราไม่รู้ว่าจะเช่ารถจากไหนไปฝั่งสังขละได้ และพอขับรถออกจากฝั่งมอญ มีเนินเขาให้ขับพอวัดใจ สูดลมอากาศเบา ๆ ให้เต็มปอดหน่อย พอข้ามมาถึงสะพาน (ฝั่งที่จะเข้าตัวสังขละ) ก็จอดแวะถ่ายรูปกันสักหน่อย เพราะมันดูสวยแบบลึกลับ สงบ ๆ บอกไม่ถูก ฮ่า ๆ หลังจากนั้นก็ขับรถตรงมาที่ถนนคนเดินทันทีค่า

เมื่อมาถึงแล้วสิ่งที่เราพลาดไม่ได้เลยก็คือ "หมูจุ่มพม่า" ไม้ละ 1 บาทค่า 

ซึ่งเมนูนี้ นั่งกินไปได้เรื่อย ๆ เลย ที่ถนนคนเดินจะมีหมูจุ่มพม่า 2 ร้าน ซึ่งต้องรีบมาหน่อยน้าสำหรับใครที่อยากลอง เพราะเท่าที่สังเกตนักท่องเที่ยวจะมากันเยอะอยู่ค่า

 "ขนมทองโย๊ะ" เป็นขนมของชาวกะเหรี่ยง ส่วนตัวลองชิมครั้งแรกเพราะเพื่อนตัวดี ซื้อให้ลอง ก็อร่อยอยู่ หนึบ ๆ ข้น ๆ หน่อยเพราะใส่นมลงไป

พอเดินถนนคนเดินเสร็จ ก็เดินทางกลับที่พักทันทีค่า (กลับไปเพื่อไปนั่งกินของที่ซื้อมาจากถนนคนเดินนั่นแหละ)

ของกินอย่างเยอะ กินเสร็จก็ทำการเดินย่อยที่สะพานมอญยามค่ำคืนค่า

บรรยากาศยามค่ำคืนก็เงียบ ๆ มีแสงไฟสลัว ๆ อากาศเย็น ๆ ดีค่ะ หลังจากนั้นพวกเราก็พักผ่อน เตรียมตัวไปเที่ยวต่อในเช้าวันที่ 2 ค่า แพลนวันที่ 2 เป็นวันเที่ยวที่ค่อนข้างสบาย ๆ เลย ไม่ได้มีแผนแบบต้องตื่นแต่เช้าใส่บาตร แล้วไปนู่นนี่ เราวางแผนกันว่าวันนี้จะตื่นไม่สายมาก และจะเดินทางไปที่ เจดีย์พุทธคยา สังขละบุรีค่ะ

ในส่วนของอาหารมื้อเช้าวันที่สอง ป้าซำมะจัดให้เราเป็นการเริ่มต้นวันที่ดีค่ะ เติมพลังแล้วไปกันต่อค่า...

    สำหรับเจดีย์พุทธคยา เป็นเจดีย์จำลอง มีขนาดเล็กกว่าเจดีย์พุทธคยาองค์จริงที่อินเดีย มีลักษณะฐานเป็นทรงเหลี่ยมจัตุรัส ด้านหน้าเจดีย์มีรูปปั้นสิงห์ที่เป็นศิลปะแบบมอญ 2 ตัว ยืนเฝ้าบันไดทางขึ้นที่ทอดยาวพาขึ้นสู่ตัวเจดีย์ ที่เชื่อว่าจะคอยปกป้องเจดีย์อยู่สองข้างบันไดทางเข้า มีความสวยและงดงามมาก ส่องแสงทองเด่นอร่ามทั่วทุกสารทิศ บนยอดพระเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่หลวงพ่ออุตตมะอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกาเพื่อไว้ให้สักการะบูชาค่ะ

ระหว่างทาง เราก็ได้รูปเดี่ยวกันมาที่ริมถนนหน้าเจดีย์ค่า อากาศวันที่สอง ค่อนข้างจะเย็นนิดหน่อยเพราะฝนตกเมื่อคืนนั่นเอง แต่แอบเสียใจที่อากาศไม่มีความหนาวเลย

หลังจากกลับมาจากเจดีย์พุทธคยา เราก็ทำการเปลี่ยนชุดตระเวนเดินเล่นถ่ายรูปที่สะพานมอญ และค่าเฟ่แถว ๆ นั้นกันค่า

คนเยอะค่าสะพานมอญ แต่หามุมถ่ายภาพได้ไม่ยากนัก จากนั้นเราก็เดินไปกันที่ร้านคาเฟ่แถวนั้นค่ะ

ค่าเฟ่แรกที่เราไป มีชื่อว่า "เฟร์ญ่า คาเฟ่" ตั้งอยู่ตรงข้ามอีกฝั่งของสะพานมอญ ทรงสี่เหลี่ยมสี่ขาว โดดเด่นสะดุดตาค่า การตกแต่งรอบ ๆ ร้านน่ารักมาก ๆ มีมุมถ่ายรูปให้เห็นวิวของสะพานมอญหลายมุมเลย

ช่วงนี้ทางร้านมีส่วนลดให้ 10% สำหรับลูกค้าที่แวะไปคาเฟ่และรีวิวลงในช่องทางต่าง ๆ นะคะ แอบบอกว่าราคาดีงามอยู่

หลังจากนั้นเราก็แวะไปคาเฟ่ที่ 2 กันค่ะ มีชื่อ "KatKafe"

ร้านนี้เหมาะสำหรับการนั่งอ่านหนังสือสงบ ๆ มาก ๆ ทางร้านมีเมนูเฉพาะเครื่องดื่มนะคะ แต่มีหนังสือหลากหลายแนวให้นั่งอ่าน ค่อนข้างดีเลยค่ะ

ฝนฟ้าตั้งเค้ากำลังจะตก เราสองคนเลยต้องเดินทางกลับไปยังฝั่งที่พักก่อน เลยแวะกินมื้อเที่ยงเติมพลังกันค่ะ

หลังจากทานเสร็จแล้ว เราก็เดินทางกลับไปยังที่พัก เพื่อพักผ่อนนอนเล่น ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการตามล่าหาของกินกันในช่วงเย็นค่ะ

สำหรับช่วงเช้าของวันนี้นั้น เราสองคนได้ซื้อกำไลข้อมือมุ้งมุ้ง ๆ ไว้ใส่ค่า

เป็นผู้หญิงแพ้ทางของจุกจิก อิอิ

มาถึงช่วงเย็น ของวันที่ 2 เราก็ได้เดินทางไปถ่ายรูปสบาย ๆ และเดินเล่นกันแถวสะพานมอญค่า บรรยากาศเป็นยังไงไปดูกันเลย

ภาพนี้คงเป็นภาพที่นักท่องเที่ยวรวมถึงผู้คนในระแวกนี้คุ้นเคยกันดี กับการที่ชาวมอญนำสิ่งของต่าง ๆ แบกไว้บนศีรษะ

(ต่อในความคิดเห็นนะคะ)[/