สวัสดีครับ ห่างหายกันไปนานวันนี้เรากลับมาอีกครั้งพร้อมกับรีวิวท่องเที่ยว ซึ่งต้องบอกก่อนนะครับว่า รีวิวท่องเที่ยวครั้งนี้ เป็นการที่ผมท่องเที่ยวโดยลำพังเพียงคนเดียว (คือมีความรู้สึกว่าอยากพาตัวเองออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆบ้าง 555) ซึ่งทริปนี้ก็เกิดขึ้นในหัวของเรา หลังจากที่ไม่ได้ไปท่องเที่ยวมานาน อันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด-19 ครั้งนี้ถือเป็นการรีวิวครั้งแรกที่เป็นการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเอง โดยทริปนี้เป็นทริป กทม. - กาญจนบุรี - สังขละบุรี (3 วัน 2 คืน) ภายใต้งบ 2,500 บาท เราจะพาทุกคนไปท่องเที่ยวด้วยกันเนอะผ่านการรีวิวโดยตัวผมเอง
ปล.หากข้อมูลผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
จริงๆแล้วอยากจะแนะนำตัวก่อนละกัน ผมเป็นนิสิตม.บูรพาชั้นปีที่ 4 ที่มีใจรักในการท่องเที่ยว และวันที่ผมไปนั้นก็เป็นวันที่ทุกๆอย่างมันลงตัวพอดี ผมจะเริ่มทำการรีวิวตั้งแต่ตอนอยู่กรุงเทพฯเลยนะครับ พอผมเดินทางจากมหาวิทยาลัยบูรพามาถึงกทม.ในเวลา 15:30 น. ผมลงที่เอกมัย และขึ้น BTS เอกมัย ไปลง BTS สะพานควาย เมื่อมาถึง BTS สะพานควายแล้ว ให้เดินไปที่ทางออกที่ 1 เดินลงบันไดมาจะเจอป้ายรถเมล์เลย ให้รอรถเมล์ที่วิ่งไปจตุจักร (หรือหมอชิต 2) จะมีหลายสายอาทิสาย 3,77,157,509 ผมเลือกที่จะขึ้นสาย 509 เพราะว่ารถสายนี้มาก่อนเลยขึ้นเลย ประกอบกับช่วงที่รอรถในวันนั้นฝนตกหนักมากเลยต้องรีบขึ้นรถ นั่งยาวๆไปลงอู่หมอชิต 2 ของขสมก.
** ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ **
ค่าโดยสารรถไฟฟ้า BTS (เอกมัย - สะพานควาย) : 44 บาท
ค่าโดยสารรถเมล์สาย 509 (BTS สะพานควาย --> หมอชิต 2) : 13 บาท
เมื่อลงรถแล้ว ด้วยความที่ผมเองนานๆจะมาที่นี่ครั้ง เลยงงว่าทางที่ไปอาคารผู้โดยสารนั้นมันไปทางไหน เลยสอบถามจากแม่ค้าร้านขายของแถวนั้นเลยรู้ว่าต้องเดินเข้าโซนร้านค้าก่อนเดินไปเรื่อยๆจะเจอแยกที่ไปอาคารผู้โดยสาร เราก็เดินไปจนถึงอาคารผู้โดยสาร แต่เนื่องจากว่าตัวผมเองจองตั๋วรถมินิบัสออนไลน์ของวินแฮปปี้ ผ่านแอพฯ Allticket มาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นผมเลยต้องหาคิวรถวินแฮปปี้ ตอนนั้นก็ไม่ทราบว่าคิวรถมันอยู่ไหน พอถามเจ้าหน้าที่เลยทราบมาว่าคิวรถอยู่อาคาร D ใต้ทางด่วน (ซึ่งอยู่สถานีขนส่งโดยสารขนาดเล็ก) เราไม่รอช้าเราเลยมุ่งเดินข้ามสะพานลอยเพื่อไปยังอาคาร D ของสถานีขนส่งใต้ทางด่วน
(จากภาพจะเป็นอาคารโดยสารที่เราเข้ามาก่อนหน้านี้ อาคาร D อยู่ฝั่งตรงข้ามของอาคารนี้) เมื่อถึงสถานีขนส่งขนาดเล็กแล้ว อาคาร D จะอยู่ทางขวามือให้เดินเข้ามาแล้วเลี้ยวขวาเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึง
อาคาร D คิววินรถแฮปปี้อยุ่ช่อง D3 เราไม่รอช้านำตั๋วออนไลน์ที่จองไว้ (รอบ 19:00 น.) ยื่นให้กับเจ้าหน้าที่จากนั้นเราก็รีบขึ้นรถเลย
(โดยรถมินิบัสจะมีโลโก้รูปยิ้มสีเหลืองแปะอยุ่รอบคัน ไม่ต้องห่วงว่าคันไหน)
*สำหรับใครหิว หรืออยากกินอะไรลองท้องก่อนขึ้นรถ ที่สถานีขนส่งโดยสารขนาดเล็กจะมีศูนย์อาหารซึ่งจะอยู่แถวอาคาร A และ B
** ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ **
ค่าโดยสารรถมินิบัส (กรุงเทพฯ (จตุจักร) - บขส.กาญจนบุรี)
*จองผ่านแอพ Alltickets : 105 บาท (ราคาโปรโมชั่น) ราคาปกติ 120 บาท
ตอนนี้เราก็อยู่บนรถมินิบัสแล้ว โดยการเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ (หมอชิต) - บขส.กาญจนบุรีนั้นจะใ
ช้เวลาการเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมงของการเดินทาง เราก็นั่งรถไป ฟังเพลงไป บางทีก็หลับไปบ้าง แต่ยอมรับเลยว่าวินแฮปปี้นี้บริการดีมาก ขับรถดี ปลอดภัยตลอดทาง เอาใจใส่ผู้โดยสารมากๆ และเราก็ถึงที่บขส.กาญจนบุรีในเวลา 3 ทุ่มกว่า
โดยที่พักผมพักนั้นจะเป็นโฮลเทลชื่อว่า
"D Luck Hostel" ตั้งอยู่ที่ซ.อู่ทอง 2 ใกล้ๆกับบขส.กาญจนบุรี ที่บริเวณชั้น 1 มีบริการส่งไปรษณีย์ด้วยนะที่นี้ โดยรวมโฮลเทลที่นี่ก็ไม่ได้หรูหราอะไรมากแต่ก็โอเคสำหรับเรา เหมาะสำหรับคนที่งบน้อยๆหรือคนที่อยากเลือกที่พักในใจกลางเมืองกาญจนบุรีหรือใกล้ๆบขส.กาญจนบุรี (โดยเหตุผลที่ผมเลือกพักที่โฮลเทลที่นี่เพราะว่าผมได้แพลนไว้ว่าวันพรุ่งนี้ (วันที่ 2) ผมจะไปเที่ยวชุมชนปากแพรก และสะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งผมได้แพลนไว้ว่าพรุ่งนี้จะต้องขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางไปยังอ.สังขละบุรีในเวลา 12:00 น.
เพราะต้องใช้เวลาการเดินทางยาวนานประมาณ 3-4 ชั่วโมง ซึ่งผมจะต้องทำเวลา อีกทั้งโฮลเทลที่นี่อยู่ใกล้บขส.กาญจนบุรีอีกด้วย จึงทำให้สะดวกกับการเดินทาง) ผมเลือกที่จะนอนแบบห้องเตียงเดี่ยว โดยผมได้จองโรงแรมไว้ล่วงหน้า
ผมเลือกจองผ่าน Agoda โดยจองในราคาคืนละ 271.37 บาท อีกทั้งราคานี้รวมอาหารเช้าด้วย โดยรวมถือว่าถูกพอสมควร (ราคานี้อาจจะเปลี่ยนแปลงในภายหลัง หากจะจองควรเช็คข้อมูลกันอีกครั้ง) ผมนอนพักที่ชั้น 3 และมีห้องน้ำรวม (เป็นห้องน้ำแยกออกจากห้องนอน) เป็นห้องน้ำที่อยู่นอกห้องโดยโฮลเทลที่นี่ในแต่ละชั้นจะมีห้องอาบน้ำ 1 ห้อง และห้องส่วม 3 ห้อง ซึ่งจะต้องใช้ร่วมกัน เมื่อผมได้เช็คอินนำสัมมภาระเก็บไว้ที่ห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมเลยไม่รอช้าที่จะหาของกินในเวลานี้ แต่เนื่องจากผมไม่เคยมาแถวนี้มาก่อนเลยมาสอบถามข้อมูลเพ่มกับเจ้าของโฮลเทล (เจ้าของโฮลเทลก็ใจดีมากก) จึงได้ข้อมูลมาว่าบริเวณริมถนนแสงชูโต มีสตรีทฟู้ดอยู่ยามค่ำคืน ผมจึงออกไปหาของกินในบริเวณแถวนั้น
** ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ **
ค่าที่พัก : D-Well Hostel (คืนที่ 1) จองล่วงหน้าผ่าน Agoda : 271.37 บาท/คืน (ราคานี้รวมอาหารเช้าแล้ว)
สตรีทฟู้ดในหน้าถนนแสงชูโตตรงข้ามกับโรงเรียนกาญจนานุเคราะห์ ตอนผมเดินมานี่มีร้านค้าสตรีทฟู้ดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านลูกชิ้นทอด-ไส้กรอกทอด / ร้านข้าวเหนียวไก่ทอด / ร้านข้าวหมูแดง-หมูกรอบ / ร้านข้าวมันไก่ / ร้านก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ มีร้านค้าร้านอาหารมากมาย ผมเลือกทานข้าวหมูแดง-หมูกรอบในราคา 40 บาท ซึ่งถูกมากๆ จากนั้นผมก็เดินดูไปเรื่อยๆเห็นมีร้านโรตีร้านนึงคนต่อแถวยาวมาก เลยลองไปดูมันแป็นโรตีเนย ผมเลยต้องซื้อมาลองหน่อย ในราคา 20 บาท ซึ่งอร่อยมาก มีความหวานไปนิ๊ดหน่อยแต่ก็ยังถือว่าโอเคสำหรับเรา เมื่อเดินช้อปปิ้งหาของกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินกลับไปที่โฮลเทลเพื่อที่จะทำธุระส่วนตัวและก็นอนพักผ่อนเพื่อเริ่มต้นในวันถัดไป
(โฮลเทลที่นี้ในเวลา 4 ทุ่มเป็นต้นไปเขาจะปิดประตู ดังนั้นควรพกบัตรหรือกุญแจห้องติดตัวไว้ด้วย เพราะตอนจะเดินเข้าโฮลเทลอีกครั้งจะต้องใช้บัตรแตะเพื่อเปิดประตูเข้าโฮลเทล) พอผมได้เข้าโฮลเทลแล้วก็เก็บของอาบน้ำ ในตอนนั้นไม่มีใครใช้ห้องน้ำเลผยผมเลยอาบน้ำเลย 555 จากนั้นก็นอนพักผ่อนและต้องตื่นเช้าในวันพรุ่งนี้
** ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ **
ค่าอาหารเย็น : ข้าวหมูแดง - หมูกรอบ : 40 บาท / โรตีใส่เนย : 20 บาท
[ วันที่ 2 ]
ตื่นเช้าในเวลา 08:00 น. ตื่นมาอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันตามปกติ ก็ลงมากินข้าวก่อน อาหารเช้าที่นี่เป็นกันเองมาก ทางโฮลเทลได้เสิร์ฟข้าวมันไก่ กับผลไม้แตงโม พร้อมกับน้ำดื่ม อร่อยมาก เมื่อทานข้าวเสร็จแล้วผมก็ไม่รอช้าที่จะขึ้นไปเก็บของและเช็คเอ้าท์ออกที่โฮลเทล เพราะวันนี้จะต้องไปเดินชุมชนปากแพรก และสะพานข้ามแม่น้ำแควกัน โดยก่อนที่จะออกจากโฮลเทลนั้นผมเลยสอบถามกับเจ้าของโฮลเทลว่า
เรา ; แถวนี้มีวินมอเตอร์ไซค์มั้ยครับ
เจ้าของโฮลเทล : มีวินมอเตอร์ไซค์อยู่ด้านหน้าธนาคารกรุงไทยเลยครับ
ผมเลยอาศัยมอเตอร์ไซค์ที่นี่ ผมเลือกไปลงประตูหลักเมืองกาญจนบุรี
** ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ** ค่าโดยสารวินมอเตอร์ไซค์ ไปลงประตูเมืองกาญจนบุรี : 20 บาท
ในบริเวณชุมชนปากแพรกนี้ในช่วงเช้าก็จะเงียบๆหน่อย แต่ที่นี่มีถนนคนเดินปากแพรก ซึ่งจะมีทุกวันเสาร์และอาทิตย์ โดยในเมื่อวานนี้เรามาถึงที่กาญจนบุรีช่วงค่ำของวันพฤหัสบดีเลยไม่มีโอกาสได้ไปถนนคนเดินปากแพรก ดังนั้นผมจึงเลยโซโล่ด้วยเดินเที่ยวภายในชุมชนปากแพรก โดยในชุมชนปากแพรกนี้ก็เหมือนชุมชนทั่วๆไปแต่เป็นชุมชนในในอดีตที่เคยเป็นชุมชนที่มีความใกล้ชิดกับประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะเป็นจุดที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามาเช่าตึกแถวเพื่อทำการค้าในช่วงสงครามในช่วงนั้น ผมเดินต่อไปเรื่อยๆประมาณ 100 เมตรจนมาถึงร้านกาแฟชื่อดังทางซ้ายมือที่ใครมาชุมชนปากแพรกแล้ว ไม่ควรพลาด นั่นคือ
"ร้านกาแฟสิทธิสังข์"
โดยร้านกาแฟสิทธิสังข์นี้เป็นร้านกาแฟที่แต่เดิมเป็นบ้านของเจ้านายสมัยเก่าตระกูลสิทธิสังข์ ปัจจุบันถูก renovate ให้เป็นร้านกาแฟและขนมสไตล์ยุคก่อน ซึ่งตอนนี้บริหารงานโดยหลานชายในตระกูลเอง บรรยากาศที่นี่ถือว่าคลาสลิคมากๆ ได้กลิ่นอายเมือนอยู่บ้านโบราณโดยทีเดียว โดยสถานที่นี้เน้นสีเหลือง และมีโต๊ะไม้ที่นั่งให้บริการ (แต่แอบเสียดายด้วยพื้นที่มีจำกัด ที่นั่งมันอาจจะน้อยไปหน่อย 555 แต่โดยรวมถือว่าโอเค) มีของโบราณมากมายให้ถ่ายรูปเก็บไส้เป็นที่ระลึก บรรยากาศของที่นี่เหมาะกับการถ่ายรูปมากๆ 555 ผมก็ไม่รอช้าเมื่อเข้ามาที่นี่แล้วก็มาอุดหนุนโกโก้ของที่นี่ ซึ่งวันที่ผมไปมีโปร AIS ซึ่งจะลดราคา 50 % ของเมนุบางเมนูเท่านั้น แต่ผมเลือกซื้อโกโก้ ซึ่งไม่ได้เข้าร่วมโปรโมชั่นเลยจ่ายในราคาเต็มคือ ราคา 55 บาท
(ในใจคือก็แอบแพงอยู่นะ ราคาเท่าๆกับคาเฟ่อเมซอนเลยแต่ถือว่าคุ้มอยุ่) รสชาติก็เหมือนโกโก้ธรรมดาทั่วไปแต่ใส่นมไปทำให้มีรสนมเข้ามาด้วยก็อร่อยไปอีกแบบ จากนั้นผมเหลือบไปเห็นซองบรรจุเมล็ดพันธุ์
(ซึ่งแจกเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่บ้านสิทธิสังข์ฉลองครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งบ้านหลังนี้) ซี่งเจ้าของร้านก็บอกว่าที่ร้านแห่งนี้ปี 2563 ก็ครบรอบ 100 ปีพอดี ซองเมล็ดพันธุ์ที่แจกไปนั้นสามารถนำไปปลูกได้เลย ได้มาดื่มด่ำบรรยากาศที่นี่ก็ได้คของแถมไปด้วยเนาะ มันดีย์จริงๆ
** ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ** ค่าอาหารการกิน - โกโก้ ร้านสิทธิสังข์ : 55 บาท
เมื่อทานโกโก้เสร็จแล้วเราก็เดินไปเรื่อยๆแบบไม่มีทิศทางว่าจะไปที่ไหนต่อ เผอิญว่าเจ้าของร้านกาแฟสิทธิสังข์แนะนำมาว่าให้เราเดินไปดูริมแม่น้ำแควใหญ่ เผื่ออยากได้รุปสวยๆเราก็ไม่รอช้าเหมือนได้ที่ชมวิวไปอีก 1 ที่เราก็เดินไปเรื่อยๆจนถึงแยกข้างหน้าก็เดินเลี้ยงซ้ายและเดินตรงไปเรื่อยๆ (ซึ่งตอนนั้นเห็นแม่น้ำแควใหญ่แล้ว) คือแบบแม่น้ำอยู่ตรงหน้า พร้อมกับแพที่เป็นบ้านหลายๆหลังลอยกลางแม่น้ำแควใหญ่ บรรยากาศสวยมากๆประกอบกับช่วงนั้นแดดมาพอดี ตามรูปภาพนี้เลย
(เดี๋ยวมีโพสต์ต่อไปนะครับเพราะช่องความความมันเต็ม 555)
[ รีวิวฉบับเต็ม ] เที่ยวคนเดียว (กรุงเทพฯ-กาญจนบุรี-สังขละบุรี) 3 วัน 2 คืน ภายใต้งบ 2,500 บาท!!
ปล.หากข้อมูลผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
** ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ **
ค่าโดยสารรถไฟฟ้า BTS (เอกมัย - สะพานควาย) : 44 บาท
ค่าโดยสารรถเมล์สาย 509 (BTS สะพานควาย --> หมอชิต 2) : 13 บาท
*สำหรับใครหิว หรืออยากกินอะไรลองท้องก่อนขึ้นรถ ที่สถานีขนส่งโดยสารขนาดเล็กจะมีศูนย์อาหารซึ่งจะอยู่แถวอาคาร A และ B
** ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ **
ค่าโดยสารรถมินิบัส (กรุงเทพฯ (จตุจักร) - บขส.กาญจนบุรี)
*จองผ่านแอพ Alltickets : 105 บาท (ราคาโปรโมชั่น) ราคาปกติ 120 บาท
ตอนนี้เราก็อยู่บนรถมินิบัสแล้ว โดยการเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ (หมอชิต) - บขส.กาญจนบุรีนั้นจะใช้เวลาการเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมงของการเดินทาง เราก็นั่งรถไป ฟังเพลงไป บางทีก็หลับไปบ้าง แต่ยอมรับเลยว่าวินแฮปปี้นี้บริการดีมาก ขับรถดี ปลอดภัยตลอดทาง เอาใจใส่ผู้โดยสารมากๆ และเราก็ถึงที่บขส.กาญจนบุรีในเวลา 3 ทุ่มกว่า
โดยที่พักผมพักนั้นจะเป็นโฮลเทลชื่อว่า "D Luck Hostel" ตั้งอยู่ที่ซ.อู่ทอง 2 ใกล้ๆกับบขส.กาญจนบุรี ที่บริเวณชั้น 1 มีบริการส่งไปรษณีย์ด้วยนะที่นี้ โดยรวมโฮลเทลที่นี่ก็ไม่ได้หรูหราอะไรมากแต่ก็โอเคสำหรับเรา เหมาะสำหรับคนที่งบน้อยๆหรือคนที่อยากเลือกที่พักในใจกลางเมืองกาญจนบุรีหรือใกล้ๆบขส.กาญจนบุรี (โดยเหตุผลที่ผมเลือกพักที่โฮลเทลที่นี่เพราะว่าผมได้แพลนไว้ว่าวันพรุ่งนี้ (วันที่ 2) ผมจะไปเที่ยวชุมชนปากแพรก และสะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งผมได้แพลนไว้ว่าพรุ่งนี้จะต้องขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางไปยังอ.สังขละบุรีในเวลา 12:00 น. เพราะต้องใช้เวลาการเดินทางยาวนานประมาณ 3-4 ชั่วโมง ซึ่งผมจะต้องทำเวลา อีกทั้งโฮลเทลที่นี่อยู่ใกล้บขส.กาญจนบุรีอีกด้วย จึงทำให้สะดวกกับการเดินทาง) ผมเลือกที่จะนอนแบบห้องเตียงเดี่ยว โดยผมได้จองโรงแรมไว้ล่วงหน้า
ผมเลือกจองผ่าน Agoda โดยจองในราคาคืนละ 271.37 บาท อีกทั้งราคานี้รวมอาหารเช้าด้วย โดยรวมถือว่าถูกพอสมควร (ราคานี้อาจจะเปลี่ยนแปลงในภายหลัง หากจะจองควรเช็คข้อมูลกันอีกครั้ง) ผมนอนพักที่ชั้น 3 และมีห้องน้ำรวม (เป็นห้องน้ำแยกออกจากห้องนอน) เป็นห้องน้ำที่อยู่นอกห้องโดยโฮลเทลที่นี่ในแต่ละชั้นจะมีห้องอาบน้ำ 1 ห้อง และห้องส่วม 3 ห้อง ซึ่งจะต้องใช้ร่วมกัน เมื่อผมได้เช็คอินนำสัมมภาระเก็บไว้ที่ห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมเลยไม่รอช้าที่จะหาของกินในเวลานี้ แต่เนื่องจากผมไม่เคยมาแถวนี้มาก่อนเลยมาสอบถามข้อมูลเพ่มกับเจ้าของโฮลเทล (เจ้าของโฮลเทลก็ใจดีมากก) จึงได้ข้อมูลมาว่าบริเวณริมถนนแสงชูโต มีสตรีทฟู้ดอยู่ยามค่ำคืน ผมจึงออกไปหาของกินในบริเวณแถวนั้น
** ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ **
ค่าที่พัก : D-Well Hostel (คืนที่ 1) จองล่วงหน้าผ่าน Agoda : 271.37 บาท/คืน (ราคานี้รวมอาหารเช้าแล้ว)
สตรีทฟู้ดในหน้าถนนแสงชูโตตรงข้ามกับโรงเรียนกาญจนานุเคราะห์ ตอนผมเดินมานี่มีร้านค้าสตรีทฟู้ดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านลูกชิ้นทอด-ไส้กรอกทอด / ร้านข้าวเหนียวไก่ทอด / ร้านข้าวหมูแดง-หมูกรอบ / ร้านข้าวมันไก่ / ร้านก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ มีร้านค้าร้านอาหารมากมาย ผมเลือกทานข้าวหมูแดง-หมูกรอบในราคา 40 บาท ซึ่งถูกมากๆ จากนั้นผมก็เดินดูไปเรื่อยๆเห็นมีร้านโรตีร้านนึงคนต่อแถวยาวมาก เลยลองไปดูมันแป็นโรตีเนย ผมเลยต้องซื้อมาลองหน่อย ในราคา 20 บาท ซึ่งอร่อยมาก มีความหวานไปนิ๊ดหน่อยแต่ก็ยังถือว่าโอเคสำหรับเรา เมื่อเดินช้อปปิ้งหาของกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินกลับไปที่โฮลเทลเพื่อที่จะทำธุระส่วนตัวและก็นอนพักผ่อนเพื่อเริ่มต้นในวันถัดไป (โฮลเทลที่นี้ในเวลา 4 ทุ่มเป็นต้นไปเขาจะปิดประตู ดังนั้นควรพกบัตรหรือกุญแจห้องติดตัวไว้ด้วย เพราะตอนจะเดินเข้าโฮลเทลอีกครั้งจะต้องใช้บัตรแตะเพื่อเปิดประตูเข้าโฮลเทล) พอผมได้เข้าโฮลเทลแล้วก็เก็บของอาบน้ำ ในตอนนั้นไม่มีใครใช้ห้องน้ำเลผยผมเลยอาบน้ำเลย 555 จากนั้นก็นอนพักผ่อนและต้องตื่นเช้าในวันพรุ่งนี้
** ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ **
ค่าอาหารเย็น : ข้าวหมูแดง - หมูกรอบ : 40 บาท / โรตีใส่เนย : 20 บาท
[ วันที่ 2 ]
ตื่นเช้าในเวลา 08:00 น. ตื่นมาอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันตามปกติ ก็ลงมากินข้าวก่อน อาหารเช้าที่นี่เป็นกันเองมาก ทางโฮลเทลได้เสิร์ฟข้าวมันไก่ กับผลไม้แตงโม พร้อมกับน้ำดื่ม อร่อยมาก เมื่อทานข้าวเสร็จแล้วผมก็ไม่รอช้าที่จะขึ้นไปเก็บของและเช็คเอ้าท์ออกที่โฮลเทล เพราะวันนี้จะต้องไปเดินชุมชนปากแพรก และสะพานข้ามแม่น้ำแควกัน โดยก่อนที่จะออกจากโฮลเทลนั้นผมเลยสอบถามกับเจ้าของโฮลเทลว่า
เรา ; แถวนี้มีวินมอเตอร์ไซค์มั้ยครับ
เจ้าของโฮลเทล : มีวินมอเตอร์ไซค์อยู่ด้านหน้าธนาคารกรุงไทยเลยครับ
ผมเลยอาศัยมอเตอร์ไซค์ที่นี่ ผมเลือกไปลงประตูหลักเมืองกาญจนบุรี
** ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ** ค่าโดยสารวินมอเตอร์ไซค์ ไปลงประตูเมืองกาญจนบุรี : 20 บาท
ในบริเวณชุมชนปากแพรกนี้ในช่วงเช้าก็จะเงียบๆหน่อย แต่ที่นี่มีถนนคนเดินปากแพรก ซึ่งจะมีทุกวันเสาร์และอาทิตย์ โดยในเมื่อวานนี้เรามาถึงที่กาญจนบุรีช่วงค่ำของวันพฤหัสบดีเลยไม่มีโอกาสได้ไปถนนคนเดินปากแพรก ดังนั้นผมจึงเลยโซโล่ด้วยเดินเที่ยวภายในชุมชนปากแพรก โดยในชุมชนปากแพรกนี้ก็เหมือนชุมชนทั่วๆไปแต่เป็นชุมชนในในอดีตที่เคยเป็นชุมชนที่มีความใกล้ชิดกับประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะเป็นจุดที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามาเช่าตึกแถวเพื่อทำการค้าในช่วงสงครามในช่วงนั้น ผมเดินต่อไปเรื่อยๆประมาณ 100 เมตรจนมาถึงร้านกาแฟชื่อดังทางซ้ายมือที่ใครมาชุมชนปากแพรกแล้ว ไม่ควรพลาด นั่นคือ "ร้านกาแฟสิทธิสังข์"
โดยร้านกาแฟสิทธิสังข์นี้เป็นร้านกาแฟที่แต่เดิมเป็นบ้านของเจ้านายสมัยเก่าตระกูลสิทธิสังข์ ปัจจุบันถูก renovate ให้เป็นร้านกาแฟและขนมสไตล์ยุคก่อน ซึ่งตอนนี้บริหารงานโดยหลานชายในตระกูลเอง บรรยากาศที่นี่ถือว่าคลาสลิคมากๆ ได้กลิ่นอายเมือนอยู่บ้านโบราณโดยทีเดียว โดยสถานที่นี้เน้นสีเหลือง และมีโต๊ะไม้ที่นั่งให้บริการ (แต่แอบเสียดายด้วยพื้นที่มีจำกัด ที่นั่งมันอาจจะน้อยไปหน่อย 555 แต่โดยรวมถือว่าโอเค) มีของโบราณมากมายให้ถ่ายรูปเก็บไส้เป็นที่ระลึก บรรยากาศของที่นี่เหมาะกับการถ่ายรูปมากๆ 555 ผมก็ไม่รอช้าเมื่อเข้ามาที่นี่แล้วก็มาอุดหนุนโกโก้ของที่นี่ ซึ่งวันที่ผมไปมีโปร AIS ซึ่งจะลดราคา 50 % ของเมนุบางเมนูเท่านั้น แต่ผมเลือกซื้อโกโก้ ซึ่งไม่ได้เข้าร่วมโปรโมชั่นเลยจ่ายในราคาเต็มคือ ราคา 55 บาท (ในใจคือก็แอบแพงอยู่นะ ราคาเท่าๆกับคาเฟ่อเมซอนเลยแต่ถือว่าคุ้มอยุ่) รสชาติก็เหมือนโกโก้ธรรมดาทั่วไปแต่ใส่นมไปทำให้มีรสนมเข้ามาด้วยก็อร่อยไปอีกแบบ จากนั้นผมเหลือบไปเห็นซองบรรจุเมล็ดพันธุ์ (ซึ่งแจกเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่บ้านสิทธิสังข์ฉลองครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งบ้านหลังนี้) ซี่งเจ้าของร้านก็บอกว่าที่ร้านแห่งนี้ปี 2563 ก็ครบรอบ 100 ปีพอดี ซองเมล็ดพันธุ์ที่แจกไปนั้นสามารถนำไปปลูกได้เลย ได้มาดื่มด่ำบรรยากาศที่นี่ก็ได้คของแถมไปด้วยเนาะ มันดีย์จริงๆ
** ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ** ค่าอาหารการกิน - โกโก้ ร้านสิทธิสังข์ : 55 บาท
เมื่อทานโกโก้เสร็จแล้วเราก็เดินไปเรื่อยๆแบบไม่มีทิศทางว่าจะไปที่ไหนต่อ เผอิญว่าเจ้าของร้านกาแฟสิทธิสังข์แนะนำมาว่าให้เราเดินไปดูริมแม่น้ำแควใหญ่ เผื่ออยากได้รุปสวยๆเราก็ไม่รอช้าเหมือนได้ที่ชมวิวไปอีก 1 ที่เราก็เดินไปเรื่อยๆจนถึงแยกข้างหน้าก็เดินเลี้ยงซ้ายและเดินตรงไปเรื่อยๆ (ซึ่งตอนนั้นเห็นแม่น้ำแควใหญ่แล้ว) คือแบบแม่น้ำอยู่ตรงหน้า พร้อมกับแพที่เป็นบ้านหลายๆหลังลอยกลางแม่น้ำแควใหญ่ บรรยากาศสวยมากๆประกอบกับช่วงนั้นแดดมาพอดี ตามรูปภาพนี้เลย (เดี๋ยวมีโพสต์ต่อไปนะครับเพราะช่องความความมันเต็ม 555)