ใครพอทราบว่าถ้าไม่มีเงินไปจ่ายภาษีย้อนหลังให้สรรพากรจะโดนอะไรบ้าง?

สวัสดีค่ะ 
อยากจะสอบถามผู้ที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับสรรพากร และขอคำแนะนำหน่อยนะคะ
เรื่องมีอยู่ว่าพ่อของจขกท โดนสรรพากรเรียกภาษีย้อนหลัง เป็นภาษีเกี่ยวกับที่ดินทั้งหมด คือคุณพ่อได้ทำเกี่ยวกับรับจำนอง-ขายฝาก และซื้อขายที่ดิน เพื่อเกร็งกำไร เป็นงานเสริม และด้วยความมีนายหน้ามาชักชวน ก็ทำไป แต่รู้เท่าไม่ภึงการ ไม่คิดว่าจะต้องเสียภาษีรายได่ในส่วนนี้ เพราะพ่อก็เสียภาษีที่กรมที่ดินแล้วทุกครั้ง และทำถูกต้องตามกฏหมายทั้งหมด
มีวันหนึ่งสรรพากรมาเรียกให้ไปรับทราบว่าพ่อไม่ได้เสียภาษีรายได้ส่วนบุคคลเมื่อถึงเกณฑ์ 1800000บาท พ่อก็เข้าไปรับทราบและนำหลักฐานเท่าที้มีไปแสดง(พ่อเป็นชาวสวนไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับด้านนี้ ไม่เคยทำประกันชีวิต เลยไม่มีอะไรไปลดหย่อนได้เลย)
จากนั้นไม่นานมาก ทางสรรพากรก็โทรมาแจ้งยอดที่ต้องจ่าย ประมาณ1ล้านกว่า พ่อก็ขอความเห็นใจว่าไม่มีเงินขนาดนั้น การรับที่ดินมา ก็ขาดทุน ไม่สามารถขายออกได้เลย และที่จำนอง-ขายฝากก็หลุดหมด (ไม่ทราบว่ากรณีที่ที่ดินหลุดจำนอง-ขายฝาก ถือเป็นรายได้ด้วยหรอ?)
และล่าสุด ทางสรรพากรมาอีกครั้งและแจ้งว่าจะส่งเรื่องให้ทางทีม เพื่อดำเนินการฟ้องศาล หากเราไม่ไปชำระ

อยากรบกวนสอบถามผู้รู้หน่อยค่ะ ดังนี้
1.หากฟ้องศาล เรามีโอกาสสู้เพื่อขอต่อรองให้ยอดที่ต้องจ่ายลดลงได้ไหม?
2.การที่ที่ดินที่ได้รับจดจำนอง-ขายฝาก(ที่หลุดแล้ว)คือรายได้หรือไม่?
3.มีวิธีใดบ้างที่จะทำให้สรรพากรยอมลดให้ ?(เพราะพ่อไม่มีหลักฐานทางการเงินเลย มีน้อยมาก เนื่องจากธุรกรรมทางการเงินส่วนใหญ่ใช้เงินสด ไม่มีการจ้างพนักงานบัญชี เพื่อจัดทำบัญชีเลย
4.การรับจำนอง-ขายฝากที่ดิน มีกฏหมายบังคับอยู่แล้วว่าสามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ15/ปี แต่พอสรรพากรมาคิดกับพ่อ กลับคิดเกินร้อยละ15 และโดยส่วนใหญ่ ที่ดินมีการจดจำนองแค่6เดือน แต่สรรพากรคิดมาเต็มๆ1ปี และดอกเบี้ย40% คืองงมาก
5.พ่อเราได้ดอกเบี้ยเล็กๆน้อยๆจากการรับจำนอง-ขายฝาก แถมขาดทุนด้วยซ้ำ ลูกหนี้ส่วนใหญ่ไม่เคยจ่ายดอกเบี้ยเลย ถึงแม้ที่ดินจะตกเป็นของพ่อ แต่ก็ยังข่ยไม่ได้ แบบนี้จะถือว่าพ่อมีรายได้จากตรงนี้ได้หรอคะ?

จขกท สงสารพ่อค่ะ ตอนนี้พ่อเครียดมาก หากใครพอจะให้คำแนะนำได้ รบกวนหน่อยนะคะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
คุณพ่อเจ้าของกระทู้โทรมาหาผมแล้วครับ  ได้ข้อเท็จจริงว่า

- คุณพ่อ จขกท. ทำธุรกิจรับซื้อฝากที่ดิน ในช่วงปี 2560, 2561 และ 2562
- มีที่ดินหลายแปลงที่หลุดไถ่ (คือผู้ขายฝากไม่ได้ใช้สิทธิไถ่ภายในกำหนด) ทำให้คุณพ่อ จขกท. ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยเด็ดขาดจากการขายฝาก
- คุณพ่อ จขกท.  ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 94 ของปี 2560, 2561 และ 2562 จากรายได้จากการขายอาหารสัตว์ โดยไม่ได้นำรายได้จากการที่ที่ดินหลุดไถ่ไปรวมคำนวณเป็นเงินได้ในแบบ ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 94 ของแต่ละปี
- ตอนนี้  เจ้าพนักงานยังไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบตามกฎหมาย และยังไม่ได้ออกหนังสือแจ้งประเมิน  แค่เข้ามาคุย หรือเชิญไปพบที่สรรพากรพื้นที่ และแจ้งบลาๆ ว่าจะต้องเสียภาษีเท่านั้นเท่านี้ เบี้ยปรับอีก 2 เท่า เงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5% ต่อเดือน
- เจ้าหน้าที่สรรพากรแจ้งว่า เงินได้จากการที่ที่ดินขายฝากหลุดเป็นกรรมสิทธิ์โดยเด็ดขาด  สามารถหักค่าใช้จ่ายได้เพียง 20% (ซึ่งไม่ถูกต้อง เดี๋ยวจะพูดต่อข้างล่าง)


คำแนะนำเบื้องต้น

- การที่คุณพ่อ จขกท. ได้กรรมสิทธิ์โดยเด็ดขาดในที่ดินที่ขายฝากหลุดไถ่ภายในกำหนด  ตรงนี้ กฎหมายถือว่า เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) ของคุณพ่อ จขกท.  ซึ่งจะต้องนำไปรวมคำนวณและแสดงเป็นเงินได้พึงประเมินในแบบแสดงรายการภาษี ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 94 ของปีภาษีนั้นๆ ด้วย  (ตรงนี้อย่าไปสับสนกับภาษีที่เจ้าพนักงานที่ดินคิดจากค่าธรรมเนียมโอน ค่าภาษีหัก ณ ที่จ่ายตอนขายฝาก และอากรแสตมป์หรือภาษีธุรกิจเฉพาะ แล้วแต่กรณี ที่ทางผู้ขายฝากได้เสียไว้แล้วตอนจดทะเบียนขายฝาก)

- เงินได้จากการที่ที่ดินที่ขายฝากหลุดเป็นกรรมสิทธิ์โดยเด็ดขาด สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ในอัตรา 60% โดยไม่ต้องพิสูจน์รายจ่าย  หรือถ้าคุณพ่อ จขกท. มีค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนมากกว่า 60% ก็สามารถขอหักค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริงและสมควรได้ แต่กรณีขอหักตามจริงนี้จะต้องมีเอกสารหลักฐานพิสูจน์รายจ่าย

- กรณีนี้  เจ้าพนักงานไม่มีอำนาจเรียกเก็บเบี้ยปรับในอัตรา 2 เท่าตามมาตรา 26 แห่งประมวลรัษฎากรได้   เพราะการจะเรียกเก็บเบี้ยปรับ 2 เท่าได้ จะต้องเป็นกรณีที่ผู้มีเงินได้ มิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี   แต่ในกรณีนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า คุณพ่อ จขกท. ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 94 ของปีภาษี 2560, 2561 และ 2562 แล้ว

- ดังนั้น หากเจ้าพนักงานจะเรียกเก็บเบี้ยปรับ   จะสามารถเรียกเก็บเบี้ยปรับได้เพียง 1 เท่าตามมาตรา 22 แห่งประมวลรัษฎากรเท่านั้น ไม่ใช่ 2 เท่า  แต่การจะเรียกเก็บเบี้ยปรับ 1 เท่าได้  จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีตามมาตรา 19 และได้ทำการประเมินภาษีตามมาตรา 20 หรือมาตรา 21 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว   แต่ตามข้อเท็จจริง  เจ้าพนักงานยังมิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบตามมาตรา 19 และก็ยังมิได้ทำการประเมินภาษีตามมาตรา 20 หรือ 21 เลย  ดังนั้น เจ้าพนักงานจึงยังไม่มีสิทธิเรียกเก็บเบี้ยปรับในอัตรา 1 เท่าได้

- กรณีนี้  ขอแนะนำให้คุณพ่อ จขกท. ไปทำการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ ฉบับยื่นแก้ไขเพิ่มเติม ของปีภาษี 2560, 2561 และ 2562 เพื่อปรับปรุงแบบแสดงรายการภาษี โดยนำเงินได้จากการที่ที่ดินซื้อฝากหลุดเป็นกรรมสิทธิ์โดยเด็ดขาด มาแสดงเป็นเงินได้พึงประเมิน และใช้สิทธิหักค่าใช้จ่าย โดยจะหักในอัตราเหมา 60% หรือจะเลือกหักค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริงซึ่งอาจจะสูงกว่า 60% ก็ได้  แต่กรณีจะขอหักตามจริง  จะต้องมีหลักฐานพิสูจน์รายจ่ายเตรียมไว้แสดงต่อเจ้าหน้าที่สรรพากร
- โดยในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้แก้ไขเพิ่มเติม  คุณพ่อ จขกท. จะต้องเสียภาษีเงินได้ที่ชำระขาด พร้อมทั้งชำระเงินเพิ่มในอัตรา 1.5% ต่อเดือน ของเงินภาษีที่ชำระขาด โดยไม่ต้องชำระเบี้ยปรับ 2 เท่าแต่อย่างใด

ผมช่วยได้เท่านี้ล่ะครับ  (ปล. เดี๋ยวพรุ่งนี้จะโทรไปหาคุณพ่อ จขกท. ตอนกลางวัน หรือบ่ายๆ อีกทีนะครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่