ปี64 ส่งออกข้าวยังโคม่าคาดทั้งปี 5 ล้านตัน
https://www.thansettakij.com/content/455567
ไทย ส้มหล่น “โควิด” ช่วย “อินเดีย” ยังสะดุดต่อ นายกกิตติมศักดิ์ข้าว เผยปี64 ส่งออกข้าวยังโคม่ากู่ไม่กลับ “จีน-อินเดีย” คัมแบ็กทั้งปีอาจจะจบ 5 ล้านตัน จีนโชว์ความสำเร็จพัฒนาพันธุ์ข้าวลูกผสม 3.6 ตัน/ไร่
นาย
วิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์ราคาข้าวนึ่ง ไทยแพงกว่าของอินเดีย 100 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่ก็ยังขายได้ สาเหตุมาจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 มาช่วย ซึ่งในประเทศอินเดียยังมีการระบาดหนักมากทำให้โลจิสติกซ์การส่งของล่าช้ามาก จึงเปิดโอกาสให้ข้าวไทยทั้งที่แพงกว่าก็มีโอกาสระบายออกไปบ้าง แต่ก็มีพ่อค้าหลายคนที่ทำหน้าที่เป็นเทรดเดอร์อาจจะมีปัญหาทางการเงินได้หายไป 2-3 ราย บทบาทลดลงไปมาก จึงทำให้วอรุ่มสั่งข้าวจึงไม่มากเมื่อเทียบกับในอดีต ที่ทุกคนแข็งแรงกันอยู่
“ราคาข้าวในประเทศปรับตัวสูงขึ้นเพราะจากภัยแล้ง ผลผลิตข้าวมีน้อย ต้นทุนข้าวเมืองไทยจะแพงกว่าคู่แข่ง คิดง่ายๆ ทั้งเวียดนาม และอินเดีย เมียนมาร์ จะอยู่ 6,000 บาท/ตัน แต่ของไทยจะอยู่ที่ 8,000 บาทต่อตัน แต่ปัจจุบันจะต้อง 9,000 บาท/ตันแล้ว ซึ่งเป็นอุปสรรคเพราะราคาสู้คู่แข่งทั่วโลกไม่ได้ ต้นทุนก็สูงกว่า”
นาย
วิชัย กล่าวว่า ในช่วงนี้แม้ว่าจะพอขายข้าวได้บ้างส่งออกข้าวปีนี้ก็จะน้อยกว่าปกติคาดว่าจะส่งออกได้แค่ 5 ล้านตัน จากที่เคยส่งออกสูงสุด 10 ล้านตัน ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวประเมินแล้วปี 2564 ก็คงจะลำบากกว่าปีนี้ จากปีนี้น้ำในเขื่อนใหญ่ 35 เขื่อนน้อยกว่าปี 2562 ด้วยซ้ำไป ประเมินแล้วผลผลิตข้าวจะไม่มากเพราะน้ำน้อย แล้วอีกไม่กี่วันก็จบฤดูแล้วถึงแม้จะมีพายุเข้ามาอีกลูกหนึ่งก็ตาม
จากปัจจัยต่างๆเหล่านี้น้ำมีน้อยปลูกข้าวไม่ได้ ก็ปลูกได้น้อย ราคาข้าวในประเทศจะราคาสูง รัฐบาลก็เป็นห่วงเกษตรกรมาก อยู่ไม่ได้ก็พยายามจะช่วยเหลือกันประกันรายได้ หมายความว่าข้าว 1 ตันจะได้ 10,000 บาท พอเป็นอย่างนี้กลไกตลาดก็ทำงานไป ทั่วโลกจะเป็นอย่างไร เราแข่งไม่ได้ราคาก็จะลด แต่อีกด้านหนึ่งก็รัฐบาลจะมีเครื่องมือที่ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เท่าที่ประกันรายได้ไว้ เป็นมาตรการที่ดีมาก
นาย
วิชัย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ส่งออกข้าวปี 2564 ไม่ดี รัฐบาลจีนก็มีสต็อกเกินกว่า 100 ล้านตัน เอาสต็อกเก่ามาระบายไปทั้งแอฟริกาในราคาถูกมาก จีนไม่มีปัญหาเป็นประเทศที่ร่ำรวยมากอยากจะขายเท่าไรก็ได้ แล้วถ้าโควิดหมด อินเดียกลับมาสาหัส เพราะมีสต็อกกว่า 30 ล้านตันอยู่ในมือ เราคงสู้ไม่ได้ ไม่มีทางสู้ คาดการณ์แล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านตัน หรือใกล้เคียงปี 2563 ไทยอาศัยบุญเก่ามานานไม่ได้พัฒนา ทั้งเรื่องการลดต้นทุนก็ไม่ได้ทำ การพัฒนาแหล่งน้ำการที่จะมีชลประทานที่ดี หมายความว่า เมื่อไรอยากใช้น้ำก็ต้องมีน้ำ เมื่อไรที่อยากจะปล่อยน้ำต้องปล่อยได้ ตรงนี้รัฐบาลไม่ได้ทำ ใครนาไกลก็ไม่มีน้ำ ส่วนชาวนารายไหนอยู่ใกล้หน่อยก็ต้องไปสูบน้ำ จากนี้ไปก็จะลำบากมากขึ้น
เช่นเดียวกับเรื่องพันธุ์ข้าว ตอนหลังสู้เวียดนามไม่ได้แล้ว ขายข้าวตัดหน้าไปหมด ข้าวที่นิ่มและหอมมีพัฒนาหลายพันธุ์ ของไทยแทบจะไม่มีอะไรใหม่ๆ ออกมาเลย ประกอบกับต้นทุนแรงงานก็เพิ่มขึ้น ก้าวกระโดดจากวันละ 200 บาท ปรับเป็น 300 บาท โรงงานที่ผลิตสินค้าต่างก็ย้ายฐานการผลิตไปอยู่ที่เวียดนามมาก แล้วคาดต่อไปอาจจะไปย้ายอยู่เมียนมา เพราะค่าแรงถูกกว่า ก็เข้าใจว่ารัฐบาลอยากจะช่วยคนยากจน อยากจะได้คะแนนเสียง พอช่วยก็กระทบกระเทือนกลายเป็นพิษภัยกับคนยากจนโดยไม่รู้ตัว พอย้ายฐานการผลิตไปก็ตกงาน จากที่พอจะมีงานบ้าง ก็กลายเป็นไม่มีงานเลย ก็ยิ่งทำให้มีความเหลื่อมล้ำกันมากขึ้น
อนึ่ง เว็บไซต์ China Radio International มีรายงานข่าวจากประเทศจีน เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่อำเภอเหิงหนาน ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุ์ข้าวของจีน ซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ หยวน หลงผิง สมาชิกสภาวิศวกรรมศาสตร์แห่งชาติจีน ประกาศผลสำเร็จในการวิจัยและผลิตข้าวพันธุ์ลูกผสมชนิด 1 ปี ปลูกได้ 2 รอบ รุ่นที่ 3 ซึ่งมีผลผลิตต่อไร่สูงถึง 3,600 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับข้าวเจ้าทั่วไปแล้ว ข้าวพันธุ์ลูกผสมดังกล่าวมีลำต้นโตกว่ารวงข้าวรวงหนึ่งมีข้าวกว่า 600 เมล็ด มากเป็น 3 เท่าของข้าว ปัจจุบันจีนปลูกข้าวพันธุ์ลูกผสมเกิน 104 ล้านไร่ หากพันธุ์ข้าวรุ่นใหม่นี้ผลิตได้มากกว่าไร่ละ 240 กิโลกรัม ก็เท่ากับว่า ทั่วประเทศจะมีผลผลิตข้าวหลายร้อยล้านกิโลกรัม หรือ คิดเป็นครึ่งหนึ่งของปริมาณการเก็บเกี่ยวข้าวสารของมณฑลหูหนานในแต่ละปี
อย่างไรก็ตามพื้นที่ปลูกข้าวในจีนคิดเป็น 20% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมดทั่วโลก ปริมาณการผลิตอยู่ที่ระดับ 200 ล้านตันขึ้นไป ครองสัดส่วน 40% ของปริมาณการผลิตข้าวทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้น จีนใช้พื้นที่เพาะปลูกเพียง 9% ของโลก แต่กลับทำให้ประชากรโลก20% มีธัญญาหารทานอิ่มท้อง
อ้างอิงข่าว
thai.cri.cn/20201103/9cd7be4a-9874-5377-9f34-f6f7e44df16f.html
'พท.'ดักคอกกต.อย่าสร้างปฏิหาริย์ลต.ท้องถิ่นเหมือนระดับชาติ
https://www.dailynews.co.th/politics/805261
“โฆษกพท.” ถามกกต. จริงใจแค่ไหนจัดลต.ท้องถิ่น เหตุมีข้อจำกัดมากมาย ชี้ต้องการปชต. หรือจับผิดพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ดักคออย่าสร้างอภินิหารเหมือนทำกับการเมืองระดับชาติ
เมื่อวันที่ 5 พ.ย. น.ส.
อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึง คณะกรรมการการเลือกตั้งชี้แจง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น มาตรา 34 โดย กกต. มีมติออกมา เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 63 ว่า อยากถาม กกต.ว่าจริงใจแค่ไหนเพราะการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมีขึ้นในเดือน ธ.ค. ประชาชนสนใจและตื่นตัว เพราะประชาชนอยากเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดแนวทางการพัฒนาในระดับท้องถิ่นเห็นได้จากบรรยากาศของการสมัครการรับเลือกตั้ง นายก อบจ. แต่ กกต.กลับออกข้อจำกัดมากมาย แม้กระทั่งเสรีภาพในการชื่นชมแนวนโยบายที่ดี ด้วยการห้ามกดไลค์ กดแชร์ หากเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กติกาที่แทบกระดิกตัวไปช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะอาจทำผิดเข้าข่ายความผิดได้หมด ยิ่งทำให้เกิดคำถามว่า วันนี้ กกต.มีหน้าที่อะไร ส่งเสริมการเลือกตั้งให้การเลือกตั้งให้เป็นประชาธิปไตย บริสุทธิ์ยุติธรรม หรือคอยจับผิด นักการเมืองและพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาล ลำพังควบคุมงบประมาณท้องถิ่นก็ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้เต็มที่ ถือเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขเร่งด่วนเพื่อเพิ่มอำนาจประชาชน แต่ กกต.ยังจำกัดกรอบกติกา ที่ไม่สนับสนุนส่งเสริมประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่นทั้งที่กฎหมายไม่ได้ระบุชัดเจน เรื่องอะไรจัดเป็นคุณหรือโทษ แต่ปล่อยให้เป็นเรื่องการตีความ
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวอีกด้วยว่าตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ไม่มีการเลือกตั้งท้องถิ่น เมื่อ คสช.ยึดอำนาจ ท้องถิ่นที่เคยมีอำนาจในการจัดสรรงบประมาณด้วยตนเองก่อนปี 57 แต่ในปัจจุบัน เงินอุดหนุนทั่วไปตามอำนาจหน้าที่และเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ยังต้องขอการอนุมัติและมาพร้อมกับเงื่อนไขการใช้เงิน ทำให้ความเป็นอิสระท้องถิ่นลดน้อยลง ขัดกับหลักการกระจายอำนาจ และกลายเป็นเรื่องการต่อรองทางการเมืองของรัฐบาลกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างไรก็ตามกกต. ควรตระหนัก จัดการเลือกตั้งระดับประเทศ ออกกฎกติกาสลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อน จนมีอภินิหารพรรคปัดเศษ-ย้ายปาร์ตี้ลิสต์ข้ามพรรคแบบไม่แคร์ลำดับได้ มาแล้ว ครั้งนี้ กกต.อย่าสร้างปาฏิหาริย์ระดับท้องถิ่นอีกเลย
JJNY : ปี64ส่งออกข้าวยังโคม่า/'พท.'ดักคอกกต.ลต.ท้องถิ่น/การบินไทยเทขายเครื่องบิน34ลำ/พ่อไผ่เผยลูกชายล่ออุ๊แสดงธาตุแท้
https://www.thansettakij.com/content/455567
นายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์ราคาข้าวนึ่ง ไทยแพงกว่าของอินเดีย 100 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่ก็ยังขายได้ สาเหตุมาจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 มาช่วย ซึ่งในประเทศอินเดียยังมีการระบาดหนักมากทำให้โลจิสติกซ์การส่งของล่าช้ามาก จึงเปิดโอกาสให้ข้าวไทยทั้งที่แพงกว่าก็มีโอกาสระบายออกไปบ้าง แต่ก็มีพ่อค้าหลายคนที่ทำหน้าที่เป็นเทรดเดอร์อาจจะมีปัญหาทางการเงินได้หายไป 2-3 ราย บทบาทลดลงไปมาก จึงทำให้วอรุ่มสั่งข้าวจึงไม่มากเมื่อเทียบกับในอดีต ที่ทุกคนแข็งแรงกันอยู่
“ราคาข้าวในประเทศปรับตัวสูงขึ้นเพราะจากภัยแล้ง ผลผลิตข้าวมีน้อย ต้นทุนข้าวเมืองไทยจะแพงกว่าคู่แข่ง คิดง่ายๆ ทั้งเวียดนาม และอินเดีย เมียนมาร์ จะอยู่ 6,000 บาท/ตัน แต่ของไทยจะอยู่ที่ 8,000 บาทต่อตัน แต่ปัจจุบันจะต้อง 9,000 บาท/ตันแล้ว ซึ่งเป็นอุปสรรคเพราะราคาสู้คู่แข่งทั่วโลกไม่ได้ ต้นทุนก็สูงกว่า”
นายวิชัย กล่าวว่า ในช่วงนี้แม้ว่าจะพอขายข้าวได้บ้างส่งออกข้าวปีนี้ก็จะน้อยกว่าปกติคาดว่าจะส่งออกได้แค่ 5 ล้านตัน จากที่เคยส่งออกสูงสุด 10 ล้านตัน ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวประเมินแล้วปี 2564 ก็คงจะลำบากกว่าปีนี้ จากปีนี้น้ำในเขื่อนใหญ่ 35 เขื่อนน้อยกว่าปี 2562 ด้วยซ้ำไป ประเมินแล้วผลผลิตข้าวจะไม่มากเพราะน้ำน้อย แล้วอีกไม่กี่วันก็จบฤดูแล้วถึงแม้จะมีพายุเข้ามาอีกลูกหนึ่งก็ตาม
จากปัจจัยต่างๆเหล่านี้น้ำมีน้อยปลูกข้าวไม่ได้ ก็ปลูกได้น้อย ราคาข้าวในประเทศจะราคาสูง รัฐบาลก็เป็นห่วงเกษตรกรมาก อยู่ไม่ได้ก็พยายามจะช่วยเหลือกันประกันรายได้ หมายความว่าข้าว 1 ตันจะได้ 10,000 บาท พอเป็นอย่างนี้กลไกตลาดก็ทำงานไป ทั่วโลกจะเป็นอย่างไร เราแข่งไม่ได้ราคาก็จะลด แต่อีกด้านหนึ่งก็รัฐบาลจะมีเครื่องมือที่ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เท่าที่ประกันรายได้ไว้ เป็นมาตรการที่ดีมาก
นายวิชัย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ส่งออกข้าวปี 2564 ไม่ดี รัฐบาลจีนก็มีสต็อกเกินกว่า 100 ล้านตัน เอาสต็อกเก่ามาระบายไปทั้งแอฟริกาในราคาถูกมาก จีนไม่มีปัญหาเป็นประเทศที่ร่ำรวยมากอยากจะขายเท่าไรก็ได้ แล้วถ้าโควิดหมด อินเดียกลับมาสาหัส เพราะมีสต็อกกว่า 30 ล้านตันอยู่ในมือ เราคงสู้ไม่ได้ ไม่มีทางสู้ คาดการณ์แล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านตัน หรือใกล้เคียงปี 2563 ไทยอาศัยบุญเก่ามานานไม่ได้พัฒนา ทั้งเรื่องการลดต้นทุนก็ไม่ได้ทำ การพัฒนาแหล่งน้ำการที่จะมีชลประทานที่ดี หมายความว่า เมื่อไรอยากใช้น้ำก็ต้องมีน้ำ เมื่อไรที่อยากจะปล่อยน้ำต้องปล่อยได้ ตรงนี้รัฐบาลไม่ได้ทำ ใครนาไกลก็ไม่มีน้ำ ส่วนชาวนารายไหนอยู่ใกล้หน่อยก็ต้องไปสูบน้ำ จากนี้ไปก็จะลำบากมากขึ้น
เช่นเดียวกับเรื่องพันธุ์ข้าว ตอนหลังสู้เวียดนามไม่ได้แล้ว ขายข้าวตัดหน้าไปหมด ข้าวที่นิ่มและหอมมีพัฒนาหลายพันธุ์ ของไทยแทบจะไม่มีอะไรใหม่ๆ ออกมาเลย ประกอบกับต้นทุนแรงงานก็เพิ่มขึ้น ก้าวกระโดดจากวันละ 200 บาท ปรับเป็น 300 บาท โรงงานที่ผลิตสินค้าต่างก็ย้ายฐานการผลิตไปอยู่ที่เวียดนามมาก แล้วคาดต่อไปอาจจะไปย้ายอยู่เมียนมา เพราะค่าแรงถูกกว่า ก็เข้าใจว่ารัฐบาลอยากจะช่วยคนยากจน อยากจะได้คะแนนเสียง พอช่วยก็กระทบกระเทือนกลายเป็นพิษภัยกับคนยากจนโดยไม่รู้ตัว พอย้ายฐานการผลิตไปก็ตกงาน จากที่พอจะมีงานบ้าง ก็กลายเป็นไม่มีงานเลย ก็ยิ่งทำให้มีความเหลื่อมล้ำกันมากขึ้น
อนึ่ง เว็บไซต์ China Radio International มีรายงานข่าวจากประเทศจีน เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่อำเภอเหิงหนาน ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุ์ข้าวของจีน ซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ หยวน หลงผิง สมาชิกสภาวิศวกรรมศาสตร์แห่งชาติจีน ประกาศผลสำเร็จในการวิจัยและผลิตข้าวพันธุ์ลูกผสมชนิด 1 ปี ปลูกได้ 2 รอบ รุ่นที่ 3 ซึ่งมีผลผลิตต่อไร่สูงถึง 3,600 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับข้าวเจ้าทั่วไปแล้ว ข้าวพันธุ์ลูกผสมดังกล่าวมีลำต้นโตกว่ารวงข้าวรวงหนึ่งมีข้าวกว่า 600 เมล็ด มากเป็น 3 เท่าของข้าว ปัจจุบันจีนปลูกข้าวพันธุ์ลูกผสมเกิน 104 ล้านไร่ หากพันธุ์ข้าวรุ่นใหม่นี้ผลิตได้มากกว่าไร่ละ 240 กิโลกรัม ก็เท่ากับว่า ทั่วประเทศจะมีผลผลิตข้าวหลายร้อยล้านกิโลกรัม หรือ คิดเป็นครึ่งหนึ่งของปริมาณการเก็บเกี่ยวข้าวสารของมณฑลหูหนานในแต่ละปี
อย่างไรก็ตามพื้นที่ปลูกข้าวในจีนคิดเป็น 20% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมดทั่วโลก ปริมาณการผลิตอยู่ที่ระดับ 200 ล้านตันขึ้นไป ครองสัดส่วน 40% ของปริมาณการผลิตข้าวทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้น จีนใช้พื้นที่เพาะปลูกเพียง 9% ของโลก แต่กลับทำให้ประชากรโลก20% มีธัญญาหารทานอิ่มท้อง
อ้างอิงข่าว
thai.cri.cn/20201103/9cd7be4a-9874-5377-9f34-f6f7e44df16f.html
'พท.'ดักคอกกต.อย่าสร้างปฏิหาริย์ลต.ท้องถิ่นเหมือนระดับชาติ
https://www.dailynews.co.th/politics/805261
“โฆษกพท.” ถามกกต. จริงใจแค่ไหนจัดลต.ท้องถิ่น เหตุมีข้อจำกัดมากมาย ชี้ต้องการปชต. หรือจับผิดพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ดักคออย่าสร้างอภินิหารเหมือนทำกับการเมืองระดับชาติ
เมื่อวันที่ 5 พ.ย. น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึง คณะกรรมการการเลือกตั้งชี้แจง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น มาตรา 34 โดย กกต. มีมติออกมา เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 63 ว่า อยากถาม กกต.ว่าจริงใจแค่ไหนเพราะการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมีขึ้นในเดือน ธ.ค. ประชาชนสนใจและตื่นตัว เพราะประชาชนอยากเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดแนวทางการพัฒนาในระดับท้องถิ่นเห็นได้จากบรรยากาศของการสมัครการรับเลือกตั้ง นายก อบจ. แต่ กกต.กลับออกข้อจำกัดมากมาย แม้กระทั่งเสรีภาพในการชื่นชมแนวนโยบายที่ดี ด้วยการห้ามกดไลค์ กดแชร์ หากเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กติกาที่แทบกระดิกตัวไปช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะอาจทำผิดเข้าข่ายความผิดได้หมด ยิ่งทำให้เกิดคำถามว่า วันนี้ กกต.มีหน้าที่อะไร ส่งเสริมการเลือกตั้งให้การเลือกตั้งให้เป็นประชาธิปไตย บริสุทธิ์ยุติธรรม หรือคอยจับผิด นักการเมืองและพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาล ลำพังควบคุมงบประมาณท้องถิ่นก็ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้เต็มที่ ถือเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขเร่งด่วนเพื่อเพิ่มอำนาจประชาชน แต่ กกต.ยังจำกัดกรอบกติกา ที่ไม่สนับสนุนส่งเสริมประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่นทั้งที่กฎหมายไม่ได้ระบุชัดเจน เรื่องอะไรจัดเป็นคุณหรือโทษ แต่ปล่อยให้เป็นเรื่องการตีความ
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวอีกด้วยว่าตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ไม่มีการเลือกตั้งท้องถิ่น เมื่อ คสช.ยึดอำนาจ ท้องถิ่นที่เคยมีอำนาจในการจัดสรรงบประมาณด้วยตนเองก่อนปี 57 แต่ในปัจจุบัน เงินอุดหนุนทั่วไปตามอำนาจหน้าที่และเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ยังต้องขอการอนุมัติและมาพร้อมกับเงื่อนไขการใช้เงิน ทำให้ความเป็นอิสระท้องถิ่นลดน้อยลง ขัดกับหลักการกระจายอำนาจ และกลายเป็นเรื่องการต่อรองทางการเมืองของรัฐบาลกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างไรก็ตามกกต. ควรตระหนัก จัดการเลือกตั้งระดับประเทศ ออกกฎกติกาสลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อน จนมีอภินิหารพรรคปัดเศษ-ย้ายปาร์ตี้ลิสต์ข้ามพรรคแบบไม่แคร์ลำดับได้ มาแล้ว ครั้งนี้ กกต.อย่าสร้างปาฏิหาริย์ระดับท้องถิ่นอีกเลย