โรคนี้ทำให้ระบบความคิดของฉันค่อยๆผิดปกติเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่ 17 มีนาคม 2563 ฉันกำลังเอามือถือทุบกระจกตึกชั้น 5 เพื่อที่จะกระโดดลงมา…นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนที่บ้านมั่นใจแล้วว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับฉันจริงๆ
หากว่าคุณกำลังอ่านกระทู้นี้ด้วยความเร่งรีบในการหาข้อมูลเนื่องจากมีคนในครอบครัวกำลังเผชิญโรคนี้อยู่ แต่หาโรงพยาบาลที่จะรักษาไม่ได้ ฉันจะสรุปอย่างสั้นๆ ว่าหากกำลังทรัพย์ไหวให้พาไป
โรงพยาบาลวิภาวดี ดิฉันรักษากับคุณหมอ กัลยา ดำรงศักดิ์ แต่ถ้าหากมีข้อจำกัดทางด้านการเงิน ที่
สถาบันประสาท สามารถรักษาได้เช่นกันค่ะ สถาบันประสาทคือที่ที่คอนเฟิร์มโรคของฉัน คุณหมอสุชญา เทิดอุดมธรรม เป็นผู้ตรวจพบค่ะ แต่วิธีรักษาจะเป็นคนละวิธี ของที่นี่เจ็บค่ะ ต้องนอนห้องรวมเท่านั้นด้วย (วิภาวดีรักษาโอเคสุดจากที่ฉันได้เคยสอบถามคนอื่นๆที่เป็นมาเหมือนกัน ที่วิภาวดีทรมานน้อยสุขภาพจิตดี สิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม แต่ราคาดุเดือดที่สุดเช่นกันค่ะ)
สำหรับท่านที่เข้ามาอ่านเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ที่หาไม่ได้ง่ายๆ เรามาเริ่มกันที่ “โรคนี้คืออะไร” กันก่อนเลยดีกว่า
“Anti NMDA Receptor Encephalitis” หรือ ภูมิคุ้มกันตัวเองทำลายระบบสื่อประสาทสมอง เป็นโรคที่มีมานานแล้ว แต่พึ่งค้นพบวิธีการรักษาได้ไม่ถึง 10 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึงสี่เท่า มักพบในวัยกำลังโตประมาณอายุ 21 ปีค่ะ หรืออาจะเด็กหรือโตว่านี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นกัน อาการแรกเริ่มค่อนข้างคล้ายผู้ป่วยจิตเวช หากท่านอยากทราบว่ามันต่างกันตรงไหน วิธีตรวจให้พบ วิธีแยกแยะว่าเราป่วยเป็นโรคใด ท่านจะได้รู้ทุกข้อสงสัยในกระทู้นี้ค่ะ
อาจจะใช้ภาษาทางการแพทย์ไม่ถูกต้องนัก หากใครมีข้อมูลเพิ่มเติมมาช่วยแชร์กันได้เลยค่ะ
[ขออนุญาตเล่าละเอียดหน่อยนะคะ อาจบรรยายอะไรหลายอย่างมากๆเพราะว่าอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำของตัวเองด้วย ว่าสักวันน่าจะลืมมันไปก็เสียดาย ไม่ได้เป็นกันได้บ่อยๆ 555555 ]
12 มีนาคม
เป็นวันแรกที่ความผิดปกติทางระบบความคิดของฉันเริ่มชัดเจนจนรู้สึกด้วยตัวเอง เท่าที่เคยหาข้อมูลมา มันคือหนึ่งในอาการแรกเริ่มของโรคนี้ “สิ่งที่เคยทำได้ กลับทำได้ไม่ดี หรือไม่สามารถทำได้ ”คุณหมอท่านหนึ่ง(ในรายการในyoutube)ยกตัวอย่างว่าอย่างเช่นเคยกลับบ้านเองได้ แต่จู่ๆก็ทำไม่ได้
แต่ในส่วนของฉัน สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้คือ ฉันไม่มีสมาธิที่จะพรีเซ้นท์โปรเจค ข้อมูลทั้งหมดวิ่งวุ่นในหัวแต่จับใจความอะไรไม่ได้ เป็นการพรีเซนท์ที่แย่ที่สุดที่เคยทำมา ทั้งๆที่ปกติฉันเอาอยู่ในทุกๆ การพรีเซ้นท์ ฉันตอบคำถามอาจารย์ไม่ได้ และถูกล้มโปรเจค
ในตอนเย็น ที่บ้านของฉันพาไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งซึ่งไม่เคยปาก่อน แต่ฉันกลับรู้สึกว่าบรรยากาศร้านมันช่างคุ้นเคย ดูมีความเก่าๆ เหมือนเคยมา..เหมือนเดจาวู..แต่ไม่ใช่ มันคือหนึ่งในอาการของโรค เนื่องจากสมองฉันกำลังผิดปกติ
และไอ้ความรู้สึกเดจาวูนี้มันเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆในแต่ละวัน..
15 มีนาคม
ในตอนเช้า พ่อกับแม่มารับฉันที่หอพัก(ฉันอยู่หอเพราะใกล้มหาลัยกว่าอยู่บ้าน)ไปทานข้าวที่ร้านต้มเลือดหมูร้านประจำ แต่วันนี้ฉันเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับพ่อแม่ รู้สึกไม่ปลอดภัย พ่อแม่ดูเป็นห่วงฉันแปลกๆ เหมือนเขาไม่ใช่พ่อแม่ของฉันแต่พยายามเลียนแบบ พ่อเป็นคนขับตามปกติ แต่แม่ไม่ยอมนั่งที่เบาะข้างคนขับ แม่กลับมานั่งกับฉันที่ด้านหลัง และเริ่มชวนคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป แต่ในระบบความคิดของฉันคือ แม่ทำไมพูดแต่เรื่องแปลกๆ เริ่มรู้สึกหงุดหงิด ไม่อยากคุย ไม่ไว้ใจ และไม่ปลอดภัย (ตอนนี้คิดย้อนไปถึงคำพูดแม่ในวันนั้นมันก็ไม่แปลกนี่นา ที่รู้สึกแบบนั้นเพราะอาการของโรคจริงๆ)
ตอนบ่าย พ่อไปทำงานแล้ว แต่แม่ยังคงอยู่กับฉันที่หอ ฉันงงว่าแม่ดูติดฉันแปลกๆ แต่ความจริงคือแม่บอกว่าแม่เริ่มรู้สึกว่าฉันดูแปลกๆ เลยอยู่เป็นเพื่อน คิดว่าฉันกำลังเหงา แม่พาฉันไปทานข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ฉันตกใจเมื่อไปถึงและตื่นเต้นกับทุกๆอย่างในร้าน ร้านดูสวยมากกกกก กับข้าวอร่อยมากกกก ตื่นเต้นกับทุกๆเมนูที่ได้ทานแบบโอเวอร์มากๆ (ภายหลังจากการรักษา แม่พาไปร้านนี้ซ้ำอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าเป็นร้านอาหารสวยๆ อร่อยๆ ธรรมดานี่แหละค่ะ วันนั้นอาการฉันโอเวอร์มากจริงๆ งอง)
16 มีนาคม
ฉันรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวเอง ในหัวมันวุ่นวายๆ แต่จับใจความอะไรไม่ได้ เลยไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหาร(ปกติก็มักจะทำอาหารทานเองที่หอบ่อยๆเวลาเครียดๆ) ปรากฏว่าทุกอย่างที่ทำในวันนนี้ ทานไม่ได้สักอย่าง รสชาติแย่ เนื้อสัตว์เหม็นคาว พริก ผัก ไม่สุกสักอย่าง เทเทิ้งทั้งหมด งงตัวเองมากค่ะ ปกติทำอาหารอร่อยทุกอย่าง
เย็นวันนั้น ฉันทำแกงกะหรี่อยู่ที่หอ “คนเดียว” รอบนี้มันอร่อยนะคะ แต่ที่แปลกไปอย่างชันเจนคือ ฉันพูดคนเดียวค่ะ..
ยกตัวอย่างเช่น
“ไหนชิมเจ้าแกงกะหรี่หน่อยซิ มันก็ไม่แย่นะเนี่ย โหยยเก่งมาก เก่งมาก”
“น้ำแกงยังข้นไปนิด เอาน้ำมาเติมหน่อยดีกว่า ฮ่า เติมเยอะไป คงต้องเคี่ยวต่อสินะ ไหนนะ กระบวยอยู่ไหน อ๋อเจอแล้วอยู่นี่เองนี่นากระบวยทำไมหลบเราล่ะ”
“เสร็จแล้วๆ ชิมอีกทีซิ อุ้ย ร้อนไปหน่อย แต่ไม่แย่ๆ มันก็ไม่แย่นะเนี่ยน้า”
“แพคใส่กล่องหมดแล้ว ไหนเปิดตู้เย็นหน่อยซิ อะแช่ไว้ๆ เก่งจังนะวันนี้”
จะสังเกตได้ว่ามันก็ดูไม่ผิดปกติเท่าไหร่ (รึเปล่า? 555555) ถ้าฉันแค่คิดในใจ แต่นี่คือพูดมันออกมาทั้งหมด ทั้งๆที่อยู่คนเดียว และฉันเริ่มใช้คำพูดซ้ำๆ ย้ำๆ วนๆ
ในขณะนั้นสมองฉันค่อยข้างตื้อๆ แบลงค์ๆ คิดอะไรไม่ค่อยออก หลายๆอย่างที่ทำคือทำตามสัญชาตญาณตัวเองล้วนๆ
17 มีนาคม
วันนี้เป็นวันที่ฉันเริ่มมีอาการหลงเวลาอย่างชัดเจน ฉันคิดว่าฉันกำลังถูกพาย้อนอดีต
เริ่มที่คุณตาของฉันเข้าโรงพยาบาล แม่จึงมารับฉันไปเยี่ยมท่าน ตอนนั้นแบตมือถือฉันจะหมด เลยชาร์จกับพาวเวอร์แบงค์เอาไว้ แต่พาวเวอร์แบงค์มีไฟนิดเดียว เลยทำให้ชาร์จได้ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นแต่ฉันก็ยังเสียบสายมันคาเอาไว้อย่างนั้น
เราต้องอยู่เฝ้าคุณตาจนกว่าน้าชายของฉันจะมาเปลี่ยนกันกับแม่ แต่วันนั้นน้าชายมาช้ามาก ฉันนั่งรอและเริ่มรู้สึกเดจาวูอีกครั้ง ฉันรู้สึกเหมือนเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน (จริงๆไม่เคย)
ตานอนตรงนี้ ฉันนั่งตรงนี้ แม่ใส่เสื้อตัวนี้..เดจาวูสุดๆ เกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่ นั่นคือสิ่งเที่เวียนวนอยู่ในหัวของฉันตลอดเวลา ฉันพยายามดูวันที่ในมือถือถี่ๆ อย่างไม่วางใจ จนกระทั่งหายนะมาถึง…แบตหมดจนเครื่องดับ
ฉันเริ่มระแวงคนรอบข้างทันที ฉันรู้สึกว่าในตอนนี้ฉันน่าจะไม่ได้อยู่ใน พ.ศ. 2563 และทุกคนรอบตัวน่าจะกำลังแสดงละครหลอกฉัน นั่นคงเป็นเหตุที่ทำให้พ่อแม่ดูแปลกไปในช่วงนี้
หากฉันถามแม่ว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่ หรือปีอะไร แม่จะต้องรู้ทันว่าฉันรู้ตัวแน่ๆ ฉันจึงถามแม่ว่า
“รู้จักพี่ A มั้ย?”
ถ้านี่คือแม่ของฉันตัวจริงก็ต้องรู้จักพี่สาวฉันแน่ๆ แต่ฉันคิดน้อยไปเพราะ แม่ตอบว่ารู้จัก ฉันจึงฉุกคิดได้ว่านี่อาจจะเป็นแม่ตัวจริง ไม่ใช่แม่ตัวปลอมอย่างที่ฉันคิดทีแรก เขาจึงรู้จักพี่สาวฉัน แต่ไอ้ระบบสมองเจ้าปัญหามันไม่ยอมจบ เพราะฉันยังคิดต่อว่าเขาน่าจะเป็นแม่ของฉันเมื่อหลายปีก่อน (มั่นใจมากว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในอดีต ถูกพามาใช้ชีวิตวนกลับไปในอดีต) จึงถามแม่ใหม่อีกครั้งว่า
“รู้จักพี่ B มั้ย?”
เนื่องจากพี่เขาเป็นแฟนใหม่ของพี่สาวฉัน ถ้านี่คือแม่ของฉันในปัจจุบัน แม่จะต้องรู้จักแน่ๆ แต่แล้วแม่กลับมีท่าทีหงุดหงิดแล้วถามฉันว่าจะถามทำไม! ในใจฉันคือแบบ เอาแล้ว มีพิรุธแล้วอะ ถ้าเป็นแม่คนปัจจุบันก็ตอบมาได้ชิลๆดิ แม่น่าจะกำลังกลัวว่าฉันจับได้แน่ๆ (ความจริงไปถามแม่ย้อนหลังมา แม่บอกว่าแม่ งง ว่าฉันถามทำไม แล้วตอนนั้นหงุดงิดเรื่องอื่นอยู่เลยรำคาญที่จะตอบ แงงงงง)
สุดท้ายแม่ตอบว่า ไม่รู้จัก! ฉันช็อคมาก แต่ก็ยังอยากถามอีกอย่างเพื่อความชัวร์ เลยถามไปว่า
“แม่รู้จัก MN มั้ย”
มันคือชื่อหมาของแฟนพี่สาวที่แม่ชอบมันมากเพราะมันแสนรู้ ไม่มีทางที่แม่จะตอบว่าไม่รู้จัก แต่แม่ก็ตอบฉันอีกว่าไม่รู้จัก วินาทีนั้นแนจึงมั่นใจมากว่านี่ไม่ใช่แม่ของฉันในปี 2563 แน่นอน ฉันกรี๊ดและวิ่งออกนอกห้องผู้ป่วยของคุณตาแล้วพุ่งไปที่กระจกบานใหญ่ที่โถงทางเดินชั้น 5 ฉันเอาขอบมือถือทุบกระจกจนสายชาร์จที่เสียบคาไว้มันหัก ฉันทุบอย่างไม่ลดละความพยายามเพื่อที่จะกระโดดลงไป หนีความจริงที่กำลังเกิดขึ้น ฉันไม่ต้องการถูกพาย้อนเวลาไปใช้ชีวิตวนซ้ำอีกครั้ง ระบบความคิดในตอนนั้นบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวและฉันไม่รู้ตัว รู้เพียงแต่ว่าต้องการจะหลุดพ้นจากตรงนี้
แม่รีบวิ่งมากระชากตัวฉันก่อนที่กระจกจะแตกและตะโกนเรียกพยาบาลให้มาช่วยกันลากฉันออกไป ทุกอย่างชุลมุนวุ่นวายมาก ฉันถูกพาไปยังห้องฉุกเฉินและฉีดยาระงับประสาท(Hadol + diazepam) ถูกมัดมือมัดเท้าติดกับเตียง ฉันกลัวมาก ไม่ว่าใครเข้ามาใกล้ก็ถีบออกหมด (โชคดีนะตอนโดนฉีดยาไม่ดิ้นจนเจ็บตัว)
ท้ายที่สุดฉันถูกส่งตัวไปยังห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลศรีธัญญา เขาให้ฉันตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และคุยกับหมอ
สผลออกมาว่าฉันไม่ได้เป็ฯโรคทางจิตเวช ผลแลปออกมาคือพบเม็ดเลือดขาวจำนวนมาก เพราะฉะนั้นที่เกิดอาการผิดปกติแบบนี้น่าจะเกิดความผิดปกติที่สมองมากกว่า
แม่พาฉันไปห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลวิภาวดีทันที ฉันงงมากว่าพามาทำไม ฉันปกติดีนะ
พอโรงพยาบาลทราบเรื่องก็ทำการตรวจสมองของฉันด้วยเครื่อง MRI ทันที ตอนนั้นฉันงงมากว่าตรวจแล้วจะเจออะไร แล้วต้องตรวจมากมายอีกแค่ไหนกว่าจะเลิก เพราะตรวจยังไงก็คงไม่เจออะ ฉันปกติดีเนี่ย!! จะกลับบ้าน!
18-19 มีนาคม
ความทรงจำของฉันในสองวันนี้หายไปเลยค่ะ เป็นหนึ่งในอาการของโรค คือความทรงจำบางช่วงจะหายไป
เท่าที่ทราบคือฉันแอทมิทที่วิภาวดี คุณหมอเจาะเลือดและไขสันหลังของฉันและส่งตรวจ ในใบรับรองแพทย์เขียนว่า มีการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมกำลังอยู่ในช่วงหาสาเหตุ และระหว่างรอผลแลปก็ให้ฉันกลับไปอยู่บ้านก่อน
24 มีนาคม
ฉันเริ่มคิดว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะโลกกำลังจะแตก และตัวฉันคือพระเจ้าค่ะ เลยตายไม่ได้ เลยถูกพาให้ย้อนเวลากลับไปในอดีต เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โลกแตก
คุณแม่ไม่ได้นิ่งนอนใจ พาฉันไปพบคุณหมอจิตเวชที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา แต่คุณหมอก็คอนเฟิร์มว่าไม่ใช่อาการทางจิตเวชชัวร์ๆ และแนะนำให้คุณแม่พาฉันไปหา second opinion ที่โรงพยาบาลอื่นๆ เพิ่มเติมระหว่างรอผลแลปของวิภาวดี
คุณแม่พาฉันไปโรงพยาบาลรามา โชคร้ายที่ช่วงนั้นเป็ฯช่วงที่วิดกำลังพีคมากๆ คุณหมอไม่ว่าง ได้แค่ใบนัดมาเป็น วันที่ 24 เดือน 6 ซึ่งนานเกิ๊น! จึงไปที่สถาบันประสาทวิทยา โชคดีมากที่เจอคุณหมอสุชญา เทอดอุดมธรรม คุณหมอท่านนี้คุยกับฉันนานมาก แต่ตอนนั้นฉันอ๊องไปแล้ว จำอะไรไม่ได้สักอย่างที่คุยกับคุณหมอ แต่คุณหมอค่อนข้างมั่นใจเลยว่า ฉันน่าจะเป็นโรคนี้แหละ
Anti NMDA Receptor Encephalitis
[ตัวอักษรจะเกิน ขอต่อที่คอมเม้นนะคะ]
ถ้าอ่านยากบอกได้นะคะ พยายามจัดหน้าให้อ่านง่ายสุดๆแล้ว แต่ไม่เคยใช้พันทิปป
รีวิวการเป็นโรค ภูมิคุ้มกันตัวเองทำลายสมอง [ 1 ในแสน ] “ Anti NMDA Receptor Encephalitis”
หากว่าคุณกำลังอ่านกระทู้นี้ด้วยความเร่งรีบในการหาข้อมูลเนื่องจากมีคนในครอบครัวกำลังเผชิญโรคนี้อยู่ แต่หาโรงพยาบาลที่จะรักษาไม่ได้ ฉันจะสรุปอย่างสั้นๆ ว่าหากกำลังทรัพย์ไหวให้พาไป โรงพยาบาลวิภาวดี ดิฉันรักษากับคุณหมอ กัลยา ดำรงศักดิ์ แต่ถ้าหากมีข้อจำกัดทางด้านการเงิน ที่สถาบันประสาท สามารถรักษาได้เช่นกันค่ะ สถาบันประสาทคือที่ที่คอนเฟิร์มโรคของฉัน คุณหมอสุชญา เทิดอุดมธรรม เป็นผู้ตรวจพบค่ะ แต่วิธีรักษาจะเป็นคนละวิธี ของที่นี่เจ็บค่ะ ต้องนอนห้องรวมเท่านั้นด้วย (วิภาวดีรักษาโอเคสุดจากที่ฉันได้เคยสอบถามคนอื่นๆที่เป็นมาเหมือนกัน ที่วิภาวดีทรมานน้อยสุขภาพจิตดี สิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม แต่ราคาดุเดือดที่สุดเช่นกันค่ะ)
สำหรับท่านที่เข้ามาอ่านเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ที่หาไม่ได้ง่ายๆ เรามาเริ่มกันที่ “โรคนี้คืออะไร” กันก่อนเลยดีกว่า
“Anti NMDA Receptor Encephalitis” หรือ ภูมิคุ้มกันตัวเองทำลายระบบสื่อประสาทสมอง เป็นโรคที่มีมานานแล้ว แต่พึ่งค้นพบวิธีการรักษาได้ไม่ถึง 10 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึงสี่เท่า มักพบในวัยกำลังโตประมาณอายุ 21 ปีค่ะ หรืออาจะเด็กหรือโตว่านี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นกัน อาการแรกเริ่มค่อนข้างคล้ายผู้ป่วยจิตเวช หากท่านอยากทราบว่ามันต่างกันตรงไหน วิธีตรวจให้พบ วิธีแยกแยะว่าเราป่วยเป็นโรคใด ท่านจะได้รู้ทุกข้อสงสัยในกระทู้นี้ค่ะ
อาจจะใช้ภาษาทางการแพทย์ไม่ถูกต้องนัก หากใครมีข้อมูลเพิ่มเติมมาช่วยแชร์กันได้เลยค่ะ
[ขออนุญาตเล่าละเอียดหน่อยนะคะ อาจบรรยายอะไรหลายอย่างมากๆเพราะว่าอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำของตัวเองด้วย ว่าสักวันน่าจะลืมมันไปก็เสียดาย ไม่ได้เป็นกันได้บ่อยๆ 555555 ]
12 มีนาคม
เป็นวันแรกที่ความผิดปกติทางระบบความคิดของฉันเริ่มชัดเจนจนรู้สึกด้วยตัวเอง เท่าที่เคยหาข้อมูลมา มันคือหนึ่งในอาการแรกเริ่มของโรคนี้ “สิ่งที่เคยทำได้ กลับทำได้ไม่ดี หรือไม่สามารถทำได้ ”คุณหมอท่านหนึ่ง(ในรายการในyoutube)ยกตัวอย่างว่าอย่างเช่นเคยกลับบ้านเองได้ แต่จู่ๆก็ทำไม่ได้
แต่ในส่วนของฉัน สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้คือ ฉันไม่มีสมาธิที่จะพรีเซ้นท์โปรเจค ข้อมูลทั้งหมดวิ่งวุ่นในหัวแต่จับใจความอะไรไม่ได้ เป็นการพรีเซนท์ที่แย่ที่สุดที่เคยทำมา ทั้งๆที่ปกติฉันเอาอยู่ในทุกๆ การพรีเซ้นท์ ฉันตอบคำถามอาจารย์ไม่ได้ และถูกล้มโปรเจค
ในตอนเย็น ที่บ้านของฉันพาไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งซึ่งไม่เคยปาก่อน แต่ฉันกลับรู้สึกว่าบรรยากาศร้านมันช่างคุ้นเคย ดูมีความเก่าๆ เหมือนเคยมา..เหมือนเดจาวู..แต่ไม่ใช่ มันคือหนึ่งในอาการของโรค เนื่องจากสมองฉันกำลังผิดปกติ
และไอ้ความรู้สึกเดจาวูนี้มันเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆในแต่ละวัน..
15 มีนาคม
ในตอนเช้า พ่อกับแม่มารับฉันที่หอพัก(ฉันอยู่หอเพราะใกล้มหาลัยกว่าอยู่บ้าน)ไปทานข้าวที่ร้านต้มเลือดหมูร้านประจำ แต่วันนี้ฉันเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับพ่อแม่ รู้สึกไม่ปลอดภัย พ่อแม่ดูเป็นห่วงฉันแปลกๆ เหมือนเขาไม่ใช่พ่อแม่ของฉันแต่พยายามเลียนแบบ พ่อเป็นคนขับตามปกติ แต่แม่ไม่ยอมนั่งที่เบาะข้างคนขับ แม่กลับมานั่งกับฉันที่ด้านหลัง และเริ่มชวนคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป แต่ในระบบความคิดของฉันคือ แม่ทำไมพูดแต่เรื่องแปลกๆ เริ่มรู้สึกหงุดหงิด ไม่อยากคุย ไม่ไว้ใจ และไม่ปลอดภัย (ตอนนี้คิดย้อนไปถึงคำพูดแม่ในวันนั้นมันก็ไม่แปลกนี่นา ที่รู้สึกแบบนั้นเพราะอาการของโรคจริงๆ)
ตอนบ่าย พ่อไปทำงานแล้ว แต่แม่ยังคงอยู่กับฉันที่หอ ฉันงงว่าแม่ดูติดฉันแปลกๆ แต่ความจริงคือแม่บอกว่าแม่เริ่มรู้สึกว่าฉันดูแปลกๆ เลยอยู่เป็นเพื่อน คิดว่าฉันกำลังเหงา แม่พาฉันไปทานข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ฉันตกใจเมื่อไปถึงและตื่นเต้นกับทุกๆอย่างในร้าน ร้านดูสวยมากกกกก กับข้าวอร่อยมากกกก ตื่นเต้นกับทุกๆเมนูที่ได้ทานแบบโอเวอร์มากๆ (ภายหลังจากการรักษา แม่พาไปร้านนี้ซ้ำอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าเป็นร้านอาหารสวยๆ อร่อยๆ ธรรมดานี่แหละค่ะ วันนั้นอาการฉันโอเวอร์มากจริงๆ งอง)
16 มีนาคม
ฉันรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวเอง ในหัวมันวุ่นวายๆ แต่จับใจความอะไรไม่ได้ เลยไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหาร(ปกติก็มักจะทำอาหารทานเองที่หอบ่อยๆเวลาเครียดๆ) ปรากฏว่าทุกอย่างที่ทำในวันนนี้ ทานไม่ได้สักอย่าง รสชาติแย่ เนื้อสัตว์เหม็นคาว พริก ผัก ไม่สุกสักอย่าง เทเทิ้งทั้งหมด งงตัวเองมากค่ะ ปกติทำอาหารอร่อยทุกอย่าง
เย็นวันนั้น ฉันทำแกงกะหรี่อยู่ที่หอ “คนเดียว” รอบนี้มันอร่อยนะคะ แต่ที่แปลกไปอย่างชันเจนคือ ฉันพูดคนเดียวค่ะ..
ยกตัวอย่างเช่น
“ไหนชิมเจ้าแกงกะหรี่หน่อยซิ มันก็ไม่แย่นะเนี่ย โหยยเก่งมาก เก่งมาก”
“น้ำแกงยังข้นไปนิด เอาน้ำมาเติมหน่อยดีกว่า ฮ่า เติมเยอะไป คงต้องเคี่ยวต่อสินะ ไหนนะ กระบวยอยู่ไหน อ๋อเจอแล้วอยู่นี่เองนี่นากระบวยทำไมหลบเราล่ะ”
“เสร็จแล้วๆ ชิมอีกทีซิ อุ้ย ร้อนไปหน่อย แต่ไม่แย่ๆ มันก็ไม่แย่นะเนี่ยน้า”
“แพคใส่กล่องหมดแล้ว ไหนเปิดตู้เย็นหน่อยซิ อะแช่ไว้ๆ เก่งจังนะวันนี้”
จะสังเกตได้ว่ามันก็ดูไม่ผิดปกติเท่าไหร่ (รึเปล่า? 555555) ถ้าฉันแค่คิดในใจ แต่นี่คือพูดมันออกมาทั้งหมด ทั้งๆที่อยู่คนเดียว และฉันเริ่มใช้คำพูดซ้ำๆ ย้ำๆ วนๆ
ในขณะนั้นสมองฉันค่อยข้างตื้อๆ แบลงค์ๆ คิดอะไรไม่ค่อยออก หลายๆอย่างที่ทำคือทำตามสัญชาตญาณตัวเองล้วนๆ
17 มีนาคม
วันนี้เป็นวันที่ฉันเริ่มมีอาการหลงเวลาอย่างชัดเจน ฉันคิดว่าฉันกำลังถูกพาย้อนอดีต
เริ่มที่คุณตาของฉันเข้าโรงพยาบาล แม่จึงมารับฉันไปเยี่ยมท่าน ตอนนั้นแบตมือถือฉันจะหมด เลยชาร์จกับพาวเวอร์แบงค์เอาไว้ แต่พาวเวอร์แบงค์มีไฟนิดเดียว เลยทำให้ชาร์จได้ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นแต่ฉันก็ยังเสียบสายมันคาเอาไว้อย่างนั้น
เราต้องอยู่เฝ้าคุณตาจนกว่าน้าชายของฉันจะมาเปลี่ยนกันกับแม่ แต่วันนั้นน้าชายมาช้ามาก ฉันนั่งรอและเริ่มรู้สึกเดจาวูอีกครั้ง ฉันรู้สึกเหมือนเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน (จริงๆไม่เคย)
ตานอนตรงนี้ ฉันนั่งตรงนี้ แม่ใส่เสื้อตัวนี้..เดจาวูสุดๆ เกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่ นั่นคือสิ่งเที่เวียนวนอยู่ในหัวของฉันตลอดเวลา ฉันพยายามดูวันที่ในมือถือถี่ๆ อย่างไม่วางใจ จนกระทั่งหายนะมาถึง…แบตหมดจนเครื่องดับ
ฉันเริ่มระแวงคนรอบข้างทันที ฉันรู้สึกว่าในตอนนี้ฉันน่าจะไม่ได้อยู่ใน พ.ศ. 2563 และทุกคนรอบตัวน่าจะกำลังแสดงละครหลอกฉัน นั่นคงเป็นเหตุที่ทำให้พ่อแม่ดูแปลกไปในช่วงนี้
หากฉันถามแม่ว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่ หรือปีอะไร แม่จะต้องรู้ทันว่าฉันรู้ตัวแน่ๆ ฉันจึงถามแม่ว่า
“รู้จักพี่ A มั้ย?”
ถ้านี่คือแม่ของฉันตัวจริงก็ต้องรู้จักพี่สาวฉันแน่ๆ แต่ฉันคิดน้อยไปเพราะ แม่ตอบว่ารู้จัก ฉันจึงฉุกคิดได้ว่านี่อาจจะเป็นแม่ตัวจริง ไม่ใช่แม่ตัวปลอมอย่างที่ฉันคิดทีแรก เขาจึงรู้จักพี่สาวฉัน แต่ไอ้ระบบสมองเจ้าปัญหามันไม่ยอมจบ เพราะฉันยังคิดต่อว่าเขาน่าจะเป็นแม่ของฉันเมื่อหลายปีก่อน (มั่นใจมากว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในอดีต ถูกพามาใช้ชีวิตวนกลับไปในอดีต) จึงถามแม่ใหม่อีกครั้งว่า
“รู้จักพี่ B มั้ย?”
เนื่องจากพี่เขาเป็นแฟนใหม่ของพี่สาวฉัน ถ้านี่คือแม่ของฉันในปัจจุบัน แม่จะต้องรู้จักแน่ๆ แต่แล้วแม่กลับมีท่าทีหงุดหงิดแล้วถามฉันว่าจะถามทำไม! ในใจฉันคือแบบ เอาแล้ว มีพิรุธแล้วอะ ถ้าเป็นแม่คนปัจจุบันก็ตอบมาได้ชิลๆดิ แม่น่าจะกำลังกลัวว่าฉันจับได้แน่ๆ (ความจริงไปถามแม่ย้อนหลังมา แม่บอกว่าแม่ งง ว่าฉันถามทำไม แล้วตอนนั้นหงุดงิดเรื่องอื่นอยู่เลยรำคาญที่จะตอบ แงงงงง)
สุดท้ายแม่ตอบว่า ไม่รู้จัก! ฉันช็อคมาก แต่ก็ยังอยากถามอีกอย่างเพื่อความชัวร์ เลยถามไปว่า
“แม่รู้จัก MN มั้ย”
มันคือชื่อหมาของแฟนพี่สาวที่แม่ชอบมันมากเพราะมันแสนรู้ ไม่มีทางที่แม่จะตอบว่าไม่รู้จัก แต่แม่ก็ตอบฉันอีกว่าไม่รู้จัก วินาทีนั้นแนจึงมั่นใจมากว่านี่ไม่ใช่แม่ของฉันในปี 2563 แน่นอน ฉันกรี๊ดและวิ่งออกนอกห้องผู้ป่วยของคุณตาแล้วพุ่งไปที่กระจกบานใหญ่ที่โถงทางเดินชั้น 5 ฉันเอาขอบมือถือทุบกระจกจนสายชาร์จที่เสียบคาไว้มันหัก ฉันทุบอย่างไม่ลดละความพยายามเพื่อที่จะกระโดดลงไป หนีความจริงที่กำลังเกิดขึ้น ฉันไม่ต้องการถูกพาย้อนเวลาไปใช้ชีวิตวนซ้ำอีกครั้ง ระบบความคิดในตอนนั้นบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวและฉันไม่รู้ตัว รู้เพียงแต่ว่าต้องการจะหลุดพ้นจากตรงนี้
แม่รีบวิ่งมากระชากตัวฉันก่อนที่กระจกจะแตกและตะโกนเรียกพยาบาลให้มาช่วยกันลากฉันออกไป ทุกอย่างชุลมุนวุ่นวายมาก ฉันถูกพาไปยังห้องฉุกเฉินและฉีดยาระงับประสาท(Hadol + diazepam) ถูกมัดมือมัดเท้าติดกับเตียง ฉันกลัวมาก ไม่ว่าใครเข้ามาใกล้ก็ถีบออกหมด (โชคดีนะตอนโดนฉีดยาไม่ดิ้นจนเจ็บตัว)
ท้ายที่สุดฉันถูกส่งตัวไปยังห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลศรีธัญญา เขาให้ฉันตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และคุยกับหมอ
สผลออกมาว่าฉันไม่ได้เป็ฯโรคทางจิตเวช ผลแลปออกมาคือพบเม็ดเลือดขาวจำนวนมาก เพราะฉะนั้นที่เกิดอาการผิดปกติแบบนี้น่าจะเกิดความผิดปกติที่สมองมากกว่า
แม่พาฉันไปห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลวิภาวดีทันที ฉันงงมากว่าพามาทำไม ฉันปกติดีนะ
พอโรงพยาบาลทราบเรื่องก็ทำการตรวจสมองของฉันด้วยเครื่อง MRI ทันที ตอนนั้นฉันงงมากว่าตรวจแล้วจะเจออะไร แล้วต้องตรวจมากมายอีกแค่ไหนกว่าจะเลิก เพราะตรวจยังไงก็คงไม่เจออะ ฉันปกติดีเนี่ย!! จะกลับบ้าน!
18-19 มีนาคม
ความทรงจำของฉันในสองวันนี้หายไปเลยค่ะ เป็นหนึ่งในอาการของโรค คือความทรงจำบางช่วงจะหายไป
เท่าที่ทราบคือฉันแอทมิทที่วิภาวดี คุณหมอเจาะเลือดและไขสันหลังของฉันและส่งตรวจ ในใบรับรองแพทย์เขียนว่า มีการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมกำลังอยู่ในช่วงหาสาเหตุ และระหว่างรอผลแลปก็ให้ฉันกลับไปอยู่บ้านก่อน
24 มีนาคม
ฉันเริ่มคิดว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะโลกกำลังจะแตก และตัวฉันคือพระเจ้าค่ะ เลยตายไม่ได้ เลยถูกพาให้ย้อนเวลากลับไปในอดีต เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โลกแตก
คุณแม่ไม่ได้นิ่งนอนใจ พาฉันไปพบคุณหมอจิตเวชที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา แต่คุณหมอก็คอนเฟิร์มว่าไม่ใช่อาการทางจิตเวชชัวร์ๆ และแนะนำให้คุณแม่พาฉันไปหา second opinion ที่โรงพยาบาลอื่นๆ เพิ่มเติมระหว่างรอผลแลปของวิภาวดี
คุณแม่พาฉันไปโรงพยาบาลรามา โชคร้ายที่ช่วงนั้นเป็ฯช่วงที่วิดกำลังพีคมากๆ คุณหมอไม่ว่าง ได้แค่ใบนัดมาเป็น วันที่ 24 เดือน 6 ซึ่งนานเกิ๊น! จึงไปที่สถาบันประสาทวิทยา โชคดีมากที่เจอคุณหมอสุชญา เทอดอุดมธรรม คุณหมอท่านนี้คุยกับฉันนานมาก แต่ตอนนั้นฉันอ๊องไปแล้ว จำอะไรไม่ได้สักอย่างที่คุยกับคุณหมอ แต่คุณหมอค่อนข้างมั่นใจเลยว่า ฉันน่าจะเป็นโรคนี้แหละ
Anti NMDA Receptor Encephalitis
[ตัวอักษรจะเกิน ขอต่อที่คอมเม้นนะคะ]
ถ้าอ่านยากบอกได้นะคะ พยายามจัดหน้าให้อ่านง่ายสุดๆแล้ว แต่ไม่เคยใช้พันทิปป