G.K.Line
19.
ฉันอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยม ที่มีผนังสามด้านและเพดานถูกทาด้วยสีขาวจนดูเหมือนๆ กันไปหมด ส่วนอีกด้านที่เหลือเป็นกระจกที่ไม่สามารถมองทะลุไปยังอีกด้านได้
เตียงนอน น้ำร้อน ห้องน้ำ โทรทัศน์ ของเล่นจำนวนหนึ่ง ในนี้มีเครื่องใช้ สิ่งอำนวยความสะดวก และสิ่งให้ความบันเทิงครบครันสำหรับเด็ก หรือหากว่ายังขาดอะไรไปก็สามารถเรียกร้องให้พวกเขาหามาให้ได้
ฉันนั่งอยู่บนพื้นห้อง แผ่นหลังแนบสนิทกับผนังด้านฝั่งตรงข้ามกระจก ความเย็นจากผนังแทรกซึมผ่านเนื้อผ้าบางเบามาสู่ผิวกาย ข้างๆ มีตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลขนปุยขนาดตัวพอๆ กันนั่งอยู่เป็นเพื่อน ฉันกุมมือมันเอาไว้ เพื่อนไร้ชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของฉันในห้องนี้
สายตาของพวกเราต่างก็จ้องมองไปยังกระจกตรงหน้า มีอะไรอยู่ฝั่งตรงข้ามบานกระจกนี้กันนะ บางทีพวกเขาอาจจะอยู่อีกฝั่งและกำลังเฝ้าสังเกตการณ์พวกเราอยู่ก็เป็นได้
ฉันอยู่ในสถานที่แบบนี้ ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่ไร้ซึ่งอิสรภาพมาตั้งแต่จำความได้ เดิมทีพวกเราอยู่ด้วยกันสองคนพี่น้อง ฉันและน้องสาวเป็นฝาแฝดที่แทบจะเหมือนกันทุกประการจนใครๆ ก็มักสับสนว่าใครเป็นใคร
ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ท่าทาง ความชอบไม่ชอบ หากจะมีอะไรที่พอจะแยกแยะพวกเราทั้งสองได้ ก็เห็นจะมีเพียงความขี้กลัวและไม่ช่างพูดช่างเจรจาของน้องสาวเท่านั้นที่แตกต่างกับฉัน
ใครที่ได้เห็นพวกเราต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเราคือเงาในกระจกของกันและกัน ยามที่เรามองหน้ากันก็เหมือนกับมองตัวเองในกระจกเงา
ไม่รู้ว่าพวกเราเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ไม่รู้ว่าใครคือผู้ให้กำเนิด โลกทั้งใบของฉันมีเพียงห้องๆ นี้และน้องสาวเท่านั้น เธอเองก็คงคิดเหมือนกันว่าฉันคือคนเดียวในโลกนี้สำหรับเธอ
“เช้านี้เป็นยังไงกันบ้าง เมื่อคืนหลับสบายมั้ยเด็กๆ มา ยื่นแขนมา อาขอเจาะเลือดหน่อยนะ จะได้รู้ว่าพวกหนูยังสบายกันดีอยู่”
พวกเขามาหาเราทั้งสองอยู่บ่อยๆ ทักทายด้วยน้ำเสียงและคำพูดที่ไร้ชีวิตชีวาแบบเดิมๆ แม้สีหน้าที่แสดงออกมานั้นจะดูยิ้มแย้มเป็นมิตร แต่ไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่ความจริง พวกเขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ
เขาบอกว่าฉันและน้องไม่สบาย ต้องเจาะเลือดไปตรวจเพื่อระวังไม่ให้อาการป่วยลุกลามไปมากกว่านี้
น้องสาวขี้กลัว เธอออกอาการกลัวเข็มฉีดยาอย่างไม่คิดปิดบัง เธอจะหลับตาปี๋และทำหน้าเหยเกทุกครั้งเพียงแค่ได้เห็นปลายแหลมๆ ของมัน ฉันจะนั่งอยู่กับเธอ จับมือและคอยปลอบให้คลายความกลัวลงเสมอ
ญาติเพียงคนเดียวของฉัน คนที่มีสายเลือดเดียวกัน สำหรับฉันแล้วเธอคือทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะปกป้องเธอจากทุกเรื่องในโลกนี้
พวกเราไม่มีชื่อ ฉันถูกเรียกว่าเอ็กซ์ศูนย์หนึ่ง ส่วนน้องสาวคือเอ็กซ์ศูนย์สอง แม้พวกเขาจะบอกว่านี่คือชื่อของเรา แต่ฉันว่ามันไม่ใช่หรอก มันฟังเหมือนจะเป็นรหัสมากกว่า เป็นรหัสที่ใช้เรียกสินค้าหรือสิ่งของไร้ชีวิตอะไรสักอย่าง
ที่ฉันคิดแบบนั้นเพราะอย่างน้อยชื่อของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ ไม่มีสักคนที่มีชื่อแบบนี้
พวกเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ทั้งยามหลับยามตื่น ยามกินยามนอน เราเล่นด้วยกัน อ่านหนังสือให้กันฟัง ผลัดกันเล่านิทานที่แต่งขึ้นมาเองจากจินตนาการ แม้จะเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่มีเพียงเราสองคน แต่พวกเราก็มีความสุขเหลือล้นแล้ว
ฉันไม่เคยต้องการท้องฟ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่ต้องการทุ่งกว้างที่มีดอกไม้สวยสดชูช่อ ไม่ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกหรือสิ่งบันเทิงเริงใจอะไร ต่อให้ใครจะทำอะไรกับพวกเราหรือจะเอาพวกเราไปทำอะไรมันก็ไม่สำคัญทั้งนั้น
แค่พวกเรามีกันและกันอย่างทุกวันนี้ ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เพียงในอ้อมกอดของเราทั้งสองมีเพียงเราทั้งสองก็เพียงพอแล้ว
ทั้งๆ ที่ต้องการเพียงแค่นั้นแท้ๆ แต่ฉันก็ยังต้องพบกับความผิดหวัง สุดท้ายแล้วทุกสิ่งที่เคยเป็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ยังเปลี่ยนแปลงไป วันหนึ่งฉันถูกแยกตัวออกจากน้องสาว เธอร้องไห้จ้าดิ้นรนให้หลุดจากการควบคุมจับยึดของพวกเขาเพื่อจะตามฉันมา น้ำตาของเธอทำเอาฉันแทบใจสลาย แต่ฉันจำเป็นต้องอดทนและแยกตัวออกมาทั้งๆ ที่ใจไม่อยากออกห่างจากเธอเลยแม้สักวินาทีเดียว
พวกเขาบอกว่าอาการป่วยของฉันหนักหนาสาหัสขึ้น และเกรงว่าอาการนั้นจะติดต่อไปยังน้องสาว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ฉันไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
โลกทั้งใบถูกตัดเฉือนออกเป็นสองซีก สำหรับฉันแล้ว โลกที่ไม่มีน้องสาวก็เหมือนโลกที่เหลืออยู่เพียงครึ่งใบ ต้องอยู่ลำพังอย่างโดดเดี่ยวโดยที่เหลือวิญญาณติดกับร่างกายเพียงครึ่งดวง
ช่างอ้างว้างเงียบเหงาจนแทบทนไม่ไหว ฉันคิดถึงเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเธอ โลกใบนี้ช่างเปล่าเปลี่ยวเหลือเกิน เธอเองก็คงไม่ต่างกันสินะ ก็เพราะพวกเราเหมือนกันทุกอย่าง บางทีเธออาจจะเป็นมากกว่าฉันเสียด้วยซ้ำ
วันเวลาผ่านไปโดยที่ฉันเอาแต่นอนนิ่งบนเตียงนอน ใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเหม่อมองเพดานสีขาวโพลน โดยแทบไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลย ใช่...สมองฉันก็เหมือนกัน มันขาวโพลนไปหมด ไม่มีอะไรเหลือ ไม่เหลืออะไรให้ปกป้องอีกแล้ว
ฉันมีชีวิตอยู่เพียงแค่ให้ผ่านไปเพียงวันๆ ความรู้สึกที่มีอยู่เริ่มจืดจางและเหือดหายไปจากวิญญาณ ทว่าในขณะนั้นเองพ่อก็ปรากฏตัวขึ้น พ่อเดินเข้ามาหาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ ในมือของพ่อมีขนมและตุ๊กตาตัวใหญ่มาฝาก ท่านนั่งลงข้างๆ และพูดคุยกับฉัน
พ่อบอกว่าน้องสาวที่อยู่อีกห้องยังสบายดีและคิดถึงฉันอยู่ทุกวันไม่ต่างกัน ท่านเล่าเรื่องราวของโลกภายนอกให้ฟังมากมาย บางเรื่องก็ฟังดูน่าสนุก บางเรื่องก็น่าตื่นเต้น บางเรื่องก็ดูน่าเหลือเชื่อเสียเหลือเกิน
แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาไม่นาน แต่ฉันกลับได้รู้เรื่องราวต่างๆ มากมายกว่าที่ทั้งชีวิตที่ผ่านมาของฉันได้รับรู้เสียอีก
พ่อมีรอยยิ้มที่สวยและดูจริงใจ ฉันรับรู้ได้ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากข้างในจริงๆ ไม่ใช่รอยยิ้มปลอมๆ เหมือนอย่างคนพวกนั้น ฉันยังอยากฟังเรื่องราวต่างๆ ที่พ่อเล่าให้ฟัง ยังอยากให้คนๆ นี้อยู่ด้วยกันต่อไปอีก เป็นช่วงเวลาแสนสั้นที่วิเศษสุดในชีวิตที่ไม่อยากให้ผ่านไปเลย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อก็มาหาฉันบ่อยๆ โดยมีขนมติดไม้ติดมือมา พร้อมกับเรื่องเล่าใหม่ๆ ที่เตรียมมาด้วยเสมอ ฉันเฝ้ารอเวลาที่จะได้พบกับพ่ออย่างใจจดใจจ่อ เฝ้ารอเวลาที่จะได้เข้าไปร่วมผจญภัยในโลกแห่งจินตนาการที่พ่อเล่าให้ฟัง
“เหม่ยจู ต่อไปจะเรียกหนูแบบนี้นะ จากนี้ไปเหม่ยจูคือชื่อของหนู แปลว่าไข่มุกที่งดงาม พ่อและแม่ของเหม่ยจูเองก็คงอยากเห็นเหม่ยจูเป็นเด็กที่เพียบพร้อมงดงาม เหมือนกับไข่มุกแบบชื่อของหนู”
เป็นชื่อที่เพราะจังเลย ฉันดีใจมากเพราะจะได้มีชื่อเหมือนกับคนอื่นๆ แล้ว ต่อจากนี้จะไม่ต้องถูกเรียกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นสิ่งของอีกแล้ว ถึงจะไม่ใช่พ่อจริงๆ แต่เขาคนนี้ละคือพ่อในหัวใจของฉัน ฉันเต็มใจและอยากเรียกเขาว่าพ่อตามความรู้สึกที่ยอมรับนับถือจากส่วนลึกของจิตใจ
“พ่อ”
สีหน้าแปลกใจของพ่อปรากฏขึ้นก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอื่น ฉันไม่เข้าใจว่าสีหน้าแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่แล้วพ่อก็ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับโอบกอดฉันไว้แน่น
“ขอบใจนะ เหม่ยจู”
ฉันกอดพ่อบ้างก่อนจะหลับตาอมยิ้มอย่างเป็นสุข เป็นความอบอุ่นและสัมผัสที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเลยในชีวิต อยากอยู่อย่างนี้ อยากซุกตัวอยู่ในความปลอดภัยนี้ตลอดไป
พ่อตั้งชื่อน้องสาวของฉันว่า ‘เหม่ยหลิน’ ท่านบอกว่าเหม่ยหลินแปลว่าหยกที่งดงาม เป็นอัญมณีล้ำค่าเหมือนๆ กับชื่อของฉัน นั่นเพราะเธอก็เป็นสิ่งสำคัญและงดงามสำหรับพ่อเช่นกัน
พวกเราทำกิจกรรมร่วมกัน ทำของเล่นจากสิ่งที่หาได้รอบตัวตามที่พ่อสอน ฉันและน้องต่างก็ทำมันออกมาและฝากพ่อเอาไปให้อีกคนเพื่อแลกกันเล่นอยู่บ่อยๆ
“แม่ของเหม่ยจูเป็นหญิงที่เพียบพร้อม น่ารัก อ่อนหวาน และฉลาดหลักแหลม เป็นคนที่งดงามและบริสุทธิ์ดุจน้ำค้างยามเช้า”
พ่อเล่าเรื่องแม่ของพวกเราให้ฟัง แม่คือผู้หญิงที่วิเศษสุดในจินตนาการของฉัน แต่น่าแปลกที่พ่อไม่เคยเล่าเรื่องพ่อจริงๆ ของพวกเราให้ฟังเลย ท่านจะมีอาการแปลกๆ เมื่อฉันเอ่ยปากถาม ฉันไม่อยากให้พ่อไม่สบายใจก็เลยไม่เคยถามอะไรแบบนั้นอีก
“เหม่ยจูและเหม่ยหลินเป็นของขวัญจากสรวงสวรรค์ เป็นคนที่เกิดมาเพื่อทำให้โลกนี้ดีขึ้น เหม่ยจูต้องดูแลน้องและดูแลตัวเองให้ดีนะ รอคอยจนกว่าวันที่โลกจะต้องการพวกหนู”
แม้จะไม่ได้พบหน้ากันอีก แต่ความอบอุ่น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ กลับมาสู่พวกเราสองพี่น้องอีกครั้ง โลกใบเดิมกำลังกลับมาประสานกันดังเดิมโดยมีพ่อเป็นตัวประสาน ทุกอย่างกำลังจะไปได้ดี ความสุขที่ขาดหายไปจากชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง
ฉันคิดแบบนั้นจริงๆ แต่ทุกครั้งที่เรื่องแบบนี้ผุดเข้ามาในความรู้สึก เหตุการณ์เลวร้ายมักจะตามมาเสมอราวกับฉันถูกคำสาปชั่วร้ายปกคลุมไว้ไม่ให้ได้พบกับคำว่าความสุข และต่อจากนั้นสิ่งที่วาดฝันไว้ก็จะพลันสูญสลายเป็นอากาศธาตุไปต่อหน้าต่อตา
แล้ววันหนึ่งบ้านหลังนี้ที่อยู่มาตลอดชีวิตที่ผ่านมาก็พังทลายลง ผนังกระจกที่กางกั้นระหว่างอีกฝั่งฟากกับความอยากรู้อยากเห็นของฉันพลันแตกร้าวทลายลง เปลวเพลิงโหมกระพือรุนแรงน่าหวาดหวั่น แสงไฟวิบวับติดๆ ดับๆ ประกายเจิดจ้าจากสะเก็ดไฟปรากฏตรงนั้นทีตรงนี้ที ความโกลาหลปรากฏให้เห็นทุกพื้นที่ในระยะสายตา
ไอร้อนแผ่ขยายอาณาเขตปกคลุมไปทั่ว ฉันรับรู้ได้ว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา พยายามสงบสติอารมณ์ กวาดตามองไปทั่วเพื่อหาทางออก ทั้งๆ ที่คิดอย่างนั้นแต่เอาเข้าจริงฉันกลับควบคุมตนเองไม่ได้
รหัสลับรัตติกาล ตอนที่ 19
19.
ฉันอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยม ที่มีผนังสามด้านและเพดานถูกทาด้วยสีขาวจนดูเหมือนๆ กันไปหมด ส่วนอีกด้านที่เหลือเป็นกระจกที่ไม่สามารถมองทะลุไปยังอีกด้านได้
เตียงนอน น้ำร้อน ห้องน้ำ โทรทัศน์ ของเล่นจำนวนหนึ่ง ในนี้มีเครื่องใช้ สิ่งอำนวยความสะดวก และสิ่งให้ความบันเทิงครบครันสำหรับเด็ก หรือหากว่ายังขาดอะไรไปก็สามารถเรียกร้องให้พวกเขาหามาให้ได้
ฉันนั่งอยู่บนพื้นห้อง แผ่นหลังแนบสนิทกับผนังด้านฝั่งตรงข้ามกระจก ความเย็นจากผนังแทรกซึมผ่านเนื้อผ้าบางเบามาสู่ผิวกาย ข้างๆ มีตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลขนปุยขนาดตัวพอๆ กันนั่งอยู่เป็นเพื่อน ฉันกุมมือมันเอาไว้ เพื่อนไร้ชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของฉันในห้องนี้
สายตาของพวกเราต่างก็จ้องมองไปยังกระจกตรงหน้า มีอะไรอยู่ฝั่งตรงข้ามบานกระจกนี้กันนะ บางทีพวกเขาอาจจะอยู่อีกฝั่งและกำลังเฝ้าสังเกตการณ์พวกเราอยู่ก็เป็นได้
ฉันอยู่ในสถานที่แบบนี้ ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่ไร้ซึ่งอิสรภาพมาตั้งแต่จำความได้ เดิมทีพวกเราอยู่ด้วยกันสองคนพี่น้อง ฉันและน้องสาวเป็นฝาแฝดที่แทบจะเหมือนกันทุกประการจนใครๆ ก็มักสับสนว่าใครเป็นใคร
ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ท่าทาง ความชอบไม่ชอบ หากจะมีอะไรที่พอจะแยกแยะพวกเราทั้งสองได้ ก็เห็นจะมีเพียงความขี้กลัวและไม่ช่างพูดช่างเจรจาของน้องสาวเท่านั้นที่แตกต่างกับฉัน
ใครที่ได้เห็นพวกเราต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเราคือเงาในกระจกของกันและกัน ยามที่เรามองหน้ากันก็เหมือนกับมองตัวเองในกระจกเงา
ไม่รู้ว่าพวกเราเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ไม่รู้ว่าใครคือผู้ให้กำเนิด โลกทั้งใบของฉันมีเพียงห้องๆ นี้และน้องสาวเท่านั้น เธอเองก็คงคิดเหมือนกันว่าฉันคือคนเดียวในโลกนี้สำหรับเธอ
“เช้านี้เป็นยังไงกันบ้าง เมื่อคืนหลับสบายมั้ยเด็กๆ มา ยื่นแขนมา อาขอเจาะเลือดหน่อยนะ จะได้รู้ว่าพวกหนูยังสบายกันดีอยู่”
พวกเขามาหาเราทั้งสองอยู่บ่อยๆ ทักทายด้วยน้ำเสียงและคำพูดที่ไร้ชีวิตชีวาแบบเดิมๆ แม้สีหน้าที่แสดงออกมานั้นจะดูยิ้มแย้มเป็นมิตร แต่ไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่ความจริง พวกเขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ
เขาบอกว่าฉันและน้องไม่สบาย ต้องเจาะเลือดไปตรวจเพื่อระวังไม่ให้อาการป่วยลุกลามไปมากกว่านี้
น้องสาวขี้กลัว เธอออกอาการกลัวเข็มฉีดยาอย่างไม่คิดปิดบัง เธอจะหลับตาปี๋และทำหน้าเหยเกทุกครั้งเพียงแค่ได้เห็นปลายแหลมๆ ของมัน ฉันจะนั่งอยู่กับเธอ จับมือและคอยปลอบให้คลายความกลัวลงเสมอ
ญาติเพียงคนเดียวของฉัน คนที่มีสายเลือดเดียวกัน สำหรับฉันแล้วเธอคือทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะปกป้องเธอจากทุกเรื่องในโลกนี้
พวกเราไม่มีชื่อ ฉันถูกเรียกว่าเอ็กซ์ศูนย์หนึ่ง ส่วนน้องสาวคือเอ็กซ์ศูนย์สอง แม้พวกเขาจะบอกว่านี่คือชื่อของเรา แต่ฉันว่ามันไม่ใช่หรอก มันฟังเหมือนจะเป็นรหัสมากกว่า เป็นรหัสที่ใช้เรียกสินค้าหรือสิ่งของไร้ชีวิตอะไรสักอย่าง
ที่ฉันคิดแบบนั้นเพราะอย่างน้อยชื่อของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ ไม่มีสักคนที่มีชื่อแบบนี้
พวกเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ทั้งยามหลับยามตื่น ยามกินยามนอน เราเล่นด้วยกัน อ่านหนังสือให้กันฟัง ผลัดกันเล่านิทานที่แต่งขึ้นมาเองจากจินตนาการ แม้จะเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่มีเพียงเราสองคน แต่พวกเราก็มีความสุขเหลือล้นแล้ว
ฉันไม่เคยต้องการท้องฟ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่ต้องการทุ่งกว้างที่มีดอกไม้สวยสดชูช่อ ไม่ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกหรือสิ่งบันเทิงเริงใจอะไร ต่อให้ใครจะทำอะไรกับพวกเราหรือจะเอาพวกเราไปทำอะไรมันก็ไม่สำคัญทั้งนั้น
แค่พวกเรามีกันและกันอย่างทุกวันนี้ ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เพียงในอ้อมกอดของเราทั้งสองมีเพียงเราทั้งสองก็เพียงพอแล้ว
ทั้งๆ ที่ต้องการเพียงแค่นั้นแท้ๆ แต่ฉันก็ยังต้องพบกับความผิดหวัง สุดท้ายแล้วทุกสิ่งที่เคยเป็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ยังเปลี่ยนแปลงไป วันหนึ่งฉันถูกแยกตัวออกจากน้องสาว เธอร้องไห้จ้าดิ้นรนให้หลุดจากการควบคุมจับยึดของพวกเขาเพื่อจะตามฉันมา น้ำตาของเธอทำเอาฉันแทบใจสลาย แต่ฉันจำเป็นต้องอดทนและแยกตัวออกมาทั้งๆ ที่ใจไม่อยากออกห่างจากเธอเลยแม้สักวินาทีเดียว
พวกเขาบอกว่าอาการป่วยของฉันหนักหนาสาหัสขึ้น และเกรงว่าอาการนั้นจะติดต่อไปยังน้องสาว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ฉันไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
โลกทั้งใบถูกตัดเฉือนออกเป็นสองซีก สำหรับฉันแล้ว โลกที่ไม่มีน้องสาวก็เหมือนโลกที่เหลืออยู่เพียงครึ่งใบ ต้องอยู่ลำพังอย่างโดดเดี่ยวโดยที่เหลือวิญญาณติดกับร่างกายเพียงครึ่งดวง
ช่างอ้างว้างเงียบเหงาจนแทบทนไม่ไหว ฉันคิดถึงเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเธอ โลกใบนี้ช่างเปล่าเปลี่ยวเหลือเกิน เธอเองก็คงไม่ต่างกันสินะ ก็เพราะพวกเราเหมือนกันทุกอย่าง บางทีเธออาจจะเป็นมากกว่าฉันเสียด้วยซ้ำ
วันเวลาผ่านไปโดยที่ฉันเอาแต่นอนนิ่งบนเตียงนอน ใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเหม่อมองเพดานสีขาวโพลน โดยแทบไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลย ใช่...สมองฉันก็เหมือนกัน มันขาวโพลนไปหมด ไม่มีอะไรเหลือ ไม่เหลืออะไรให้ปกป้องอีกแล้ว
ฉันมีชีวิตอยู่เพียงแค่ให้ผ่านไปเพียงวันๆ ความรู้สึกที่มีอยู่เริ่มจืดจางและเหือดหายไปจากวิญญาณ ทว่าในขณะนั้นเองพ่อก็ปรากฏตัวขึ้น พ่อเดินเข้ามาหาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ ในมือของพ่อมีขนมและตุ๊กตาตัวใหญ่มาฝาก ท่านนั่งลงข้างๆ และพูดคุยกับฉัน
พ่อบอกว่าน้องสาวที่อยู่อีกห้องยังสบายดีและคิดถึงฉันอยู่ทุกวันไม่ต่างกัน ท่านเล่าเรื่องราวของโลกภายนอกให้ฟังมากมาย บางเรื่องก็ฟังดูน่าสนุก บางเรื่องก็น่าตื่นเต้น บางเรื่องก็ดูน่าเหลือเชื่อเสียเหลือเกิน
แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาไม่นาน แต่ฉันกลับได้รู้เรื่องราวต่างๆ มากมายกว่าที่ทั้งชีวิตที่ผ่านมาของฉันได้รับรู้เสียอีก
พ่อมีรอยยิ้มที่สวยและดูจริงใจ ฉันรับรู้ได้ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากข้างในจริงๆ ไม่ใช่รอยยิ้มปลอมๆ เหมือนอย่างคนพวกนั้น ฉันยังอยากฟังเรื่องราวต่างๆ ที่พ่อเล่าให้ฟัง ยังอยากให้คนๆ นี้อยู่ด้วยกันต่อไปอีก เป็นช่วงเวลาแสนสั้นที่วิเศษสุดในชีวิตที่ไม่อยากให้ผ่านไปเลย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อก็มาหาฉันบ่อยๆ โดยมีขนมติดไม้ติดมือมา พร้อมกับเรื่องเล่าใหม่ๆ ที่เตรียมมาด้วยเสมอ ฉันเฝ้ารอเวลาที่จะได้พบกับพ่ออย่างใจจดใจจ่อ เฝ้ารอเวลาที่จะได้เข้าไปร่วมผจญภัยในโลกแห่งจินตนาการที่พ่อเล่าให้ฟัง
“เหม่ยจู ต่อไปจะเรียกหนูแบบนี้นะ จากนี้ไปเหม่ยจูคือชื่อของหนู แปลว่าไข่มุกที่งดงาม พ่อและแม่ของเหม่ยจูเองก็คงอยากเห็นเหม่ยจูเป็นเด็กที่เพียบพร้อมงดงาม เหมือนกับไข่มุกแบบชื่อของหนู”
เป็นชื่อที่เพราะจังเลย ฉันดีใจมากเพราะจะได้มีชื่อเหมือนกับคนอื่นๆ แล้ว ต่อจากนี้จะไม่ต้องถูกเรียกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นสิ่งของอีกแล้ว ถึงจะไม่ใช่พ่อจริงๆ แต่เขาคนนี้ละคือพ่อในหัวใจของฉัน ฉันเต็มใจและอยากเรียกเขาว่าพ่อตามความรู้สึกที่ยอมรับนับถือจากส่วนลึกของจิตใจ
“พ่อ”
สีหน้าแปลกใจของพ่อปรากฏขึ้นก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอื่น ฉันไม่เข้าใจว่าสีหน้าแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่แล้วพ่อก็ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับโอบกอดฉันไว้แน่น
“ขอบใจนะ เหม่ยจู”
ฉันกอดพ่อบ้างก่อนจะหลับตาอมยิ้มอย่างเป็นสุข เป็นความอบอุ่นและสัมผัสที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเลยในชีวิต อยากอยู่อย่างนี้ อยากซุกตัวอยู่ในความปลอดภัยนี้ตลอดไป
พ่อตั้งชื่อน้องสาวของฉันว่า ‘เหม่ยหลิน’ ท่านบอกว่าเหม่ยหลินแปลว่าหยกที่งดงาม เป็นอัญมณีล้ำค่าเหมือนๆ กับชื่อของฉัน นั่นเพราะเธอก็เป็นสิ่งสำคัญและงดงามสำหรับพ่อเช่นกัน
พวกเราทำกิจกรรมร่วมกัน ทำของเล่นจากสิ่งที่หาได้รอบตัวตามที่พ่อสอน ฉันและน้องต่างก็ทำมันออกมาและฝากพ่อเอาไปให้อีกคนเพื่อแลกกันเล่นอยู่บ่อยๆ
“แม่ของเหม่ยจูเป็นหญิงที่เพียบพร้อม น่ารัก อ่อนหวาน และฉลาดหลักแหลม เป็นคนที่งดงามและบริสุทธิ์ดุจน้ำค้างยามเช้า”
พ่อเล่าเรื่องแม่ของพวกเราให้ฟัง แม่คือผู้หญิงที่วิเศษสุดในจินตนาการของฉัน แต่น่าแปลกที่พ่อไม่เคยเล่าเรื่องพ่อจริงๆ ของพวกเราให้ฟังเลย ท่านจะมีอาการแปลกๆ เมื่อฉันเอ่ยปากถาม ฉันไม่อยากให้พ่อไม่สบายใจก็เลยไม่เคยถามอะไรแบบนั้นอีก
“เหม่ยจูและเหม่ยหลินเป็นของขวัญจากสรวงสวรรค์ เป็นคนที่เกิดมาเพื่อทำให้โลกนี้ดีขึ้น เหม่ยจูต้องดูแลน้องและดูแลตัวเองให้ดีนะ รอคอยจนกว่าวันที่โลกจะต้องการพวกหนู”
แม้จะไม่ได้พบหน้ากันอีก แต่ความอบอุ่น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ กลับมาสู่พวกเราสองพี่น้องอีกครั้ง โลกใบเดิมกำลังกลับมาประสานกันดังเดิมโดยมีพ่อเป็นตัวประสาน ทุกอย่างกำลังจะไปได้ดี ความสุขที่ขาดหายไปจากชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง
ฉันคิดแบบนั้นจริงๆ แต่ทุกครั้งที่เรื่องแบบนี้ผุดเข้ามาในความรู้สึก เหตุการณ์เลวร้ายมักจะตามมาเสมอราวกับฉันถูกคำสาปชั่วร้ายปกคลุมไว้ไม่ให้ได้พบกับคำว่าความสุข และต่อจากนั้นสิ่งที่วาดฝันไว้ก็จะพลันสูญสลายเป็นอากาศธาตุไปต่อหน้าต่อตา
แล้ววันหนึ่งบ้านหลังนี้ที่อยู่มาตลอดชีวิตที่ผ่านมาก็พังทลายลง ผนังกระจกที่กางกั้นระหว่างอีกฝั่งฟากกับความอยากรู้อยากเห็นของฉันพลันแตกร้าวทลายลง เปลวเพลิงโหมกระพือรุนแรงน่าหวาดหวั่น แสงไฟวิบวับติดๆ ดับๆ ประกายเจิดจ้าจากสะเก็ดไฟปรากฏตรงนั้นทีตรงนี้ที ความโกลาหลปรากฏให้เห็นทุกพื้นที่ในระยะสายตา
ไอร้อนแผ่ขยายอาณาเขตปกคลุมไปทั่ว ฉันรับรู้ได้ว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา พยายามสงบสติอารมณ์ กวาดตามองไปทั่วเพื่อหาทางออก ทั้งๆ ที่คิดอย่างนั้นแต่เอาเข้าจริงฉันกลับควบคุมตนเองไม่ได้