หากพูดว่าจะไปจังหวัดตราด หลายๆ คนคงจะงง และถามว่าที่ตราดมีอะไร แต่ถ้าบอกว่าไปเกาะช้าง หรือเกาะกูด หลายคนคงจะร้องอ้อขึ้นมาทันใด ใช่ครับคนส่วนมากที่เดินทางไปเที่ยวจังหวัดตราดก็มักจะข้ามเกาะ ไปชมความสวยงามของชายหาด ทะเล และธรรมชาติตามเกาะต่างๆ ในจังหวัดตราด แต่ใครหละจะรู้ว่าจริงๆ แล้วจังหวัดตราดยังมีอะไรอีกมากมายให้ค้นหา วันนี้ผมในฐานะ คนที่พึ่งไปเที่ยวจังหวัดตราดมา 3 วัน 2 คืน ต้องบอกว่ายังไปไม่ครบและอาจจะต้องหาเวลาไปอีกสักรอบ จะขอแชร์ประสบการณ์ที่ได้ไปมา เผื่อเพื่อนๆ หรือใครก็ตามที่กำลังสนใจจะไปเที่ยวที่จ.ตราด
มาเริ่มที่การเดินทาง - การเดินทางไปจังหวัดตราด จาก กทม. มี 3 วิธีหลักๆ ได้แก่
1. นั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ด้วยสายการบิน Bangkok Airways แต่ต้องเช็คราคา กับวันบินดีๆ นะ เพราะไม่ได้บินทุกวัน
2. นั่งรถโดยสารสาธารณะ จากสถานนีขนส่งสายตะวันออก (เอกมัย) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชม.
3. เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ระยะทางจากกรุงเทพฯ เกือบๆ 400 กม. (ระยะทางขึ้นอยู่กับว่าเลือกใช้เส้นทางไหน ถ้าไปทาง Motorway วิ่งถนนเลี่ยงเมืองตรงไประยองเลยก็จะใกล้หน่อย)
วันที่ 1 เดินทางจาก กรุงเทพฯ - ตราด
สำหรับผมรอบนี้ผมเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว วิ่งเส้น Motorway - ออกตรงเส้นทางไปบ้านบึง - แกลง - จันทบุรี (จากที่ดูใน Google Map เส้นที่ใกล้สุด) ผมออกจากคอนโด (แถวๆ บางนา) ตั้งแต่ตี 5 เผื่อให้ไปถึง จ.ตราด ช่วงกลางวันจะได้ทานข้าวกลางวันที่ตราด พอดี (รีบออกเพราะปกติที่บ้านมักแวะตลอดทาง และวันที่เดินทางเป็นวันหยุดยาว 3 วัน คิดว่าคนน่าจะไปทะเลฝั่งตะวันออกกันเยอะกลัวรถติด)
เมื่อมาถึงตราดผมไม่ได้วิ่งตรงเข้าเมือง แต่เลือกเลี้ยวขวาออกมาทาง ถนนหมายเลข 3156 (ไปสนามบินตราด - แหลมหงอบ) ที่เลือกเส้นทางนี้เพราะว่าจะไป ททท. จ.ตราดเพื่อหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มก่อน
เนื่องจากปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมหาข้อมูลมาก่อนแล้วจากอินเตอร์เน็ต ทำให้ ททท. ปรับเปลี่ยนเวลาทำการจากเปิดให้บริการทุกวัน เป็นวันจันทร์ - ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 9.00 - 16.00 น.
ถัดจาก ททท. ไม่ไกลจะเจอกับประภาคารแหลมหงอบ หนึ่งในจุด Check-in และป้ายสุดแผ่นดินตะวันออก
มาถึงบริเวณนี้ ถ้าใครหิวแล้วหละก็ มีร้านอาหารแนะนำเลยคือร้านอาหารริมทะเลซีฟู๊ด เป็นร้านอาหารและคาเฟ่ต์ติดทะเล กรรเชียงปูนึ่งแกะมาแล้วคือฟินมาก
ถัดจากประภาคารแหลมงอบ ประมาณ 500 เมตร จะพบกับ อนุสรณ์สถานยุทธาวีที่เกาะช้าง ให้ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์การสู้รบทางทะเลในช่วง ร.ศ.112 หรือช่วงปี พ.ศ. 2484
ทางกลับเข้าเมืองจากประภาคารแหลมงอบประมาณ 2 ก.ม. จะเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดตราด นั้นก็คือหาดทรายดำ (หาดทรายดำนี้เป็น 1 ใน 5 หาดทรายดำทั่วโลก และที่นี่เป็นหาดทรายดำแห่งเดียวในประเทศไทย)
น่าเสียดายที่ช่วงเวลาที่มานั้นเป็นช่วงบ่าย และเป็นช่วงมรสุมจึงทำให้น้ำสูงกว่าปกติ ส่งผลให้เห็นหาดทรายดำเพียงพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น (สำหรับผู้ที่สนใจหาดทรายดำ ทาง ททท. แนะนำให้มาช่วงสายๆ นะครับ เพราะเป็นช่วงที่น้ำลงพอดี) ทางเดินจากต้นทางไปวนกลับออกมาจากหาดทรายดำจะใช้เวลาประมาณ 45 นาทีนะครับ
หลังจากที่เดินเล่นแถวหาดทรายดำจบแล้ว ผมก็มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง เพื่อสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองของจังหวัดตราด
เสาหลักเมืองจังหวัดตราดนั้น อาจจะดูแปลกตา เมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นๆ เนื่องจากเสาหลักของจังหวัดตราดนั้นตั้งอยู่ในศาลจีน การสักการะเสาหลังเมืองของตราดนั้นก็จะมีพิธีที่แตกต่างไปจากปกติ คือจะต้องทำพิธีตามหลักของจีน ใครที่ทำไม่เป็นไม่ต้องกังวลครับ ด้านในมีวิธีสักการะเขียนอธิบายอยู่
เมื่อเสร็จจากการสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองแล้วผมก็มุ่งหน้าสู่ที่พัก ซึ่งในครั้งนี้ผมเลือกที่พักเป็น บ้านปูรีสอร์ท หนึ่งในที่พักขึ้นชื่อสำหรับผู้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดตราด
วันที่ 2 ชุมชนบ้านท่าระแนะ - เส้นทางสู่อำเภอคลองใหญ่
เช้าวันที่ 2 หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกเดินทางไปที่ชุมชนบ้านท่าระแนะ ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักไม่ไกล เพียง 3 ก.ม. สิ่งที่พิเศษสำหรับบ้านท่าระแนะนั้น คือการนั่งเรือเข้าไปชมลานตะบูน หนึ่งใน Unseen ต้องห้ามพลาดของจังหวัดตราด ที่มีรากของต้นตะบูนสานต่อกันจนสามารถขึ้นไปเดินเล่นถ่ายรูปได้
จากที่เห็นรากของต้นตะบูนมีสีค่อนข้างเข้มเนื่องจากช่วงที่ผมไปมีฝนตกมาก และเป็นช่วงที่น้ำขึ้นสูง ทำให้ในช่วงบ่ายๆ ของทุกวันพื้นที่บริเวณนี้จะมีน้ำท่วมขัง ส่งผลให้มีความชื้นสูง (สำหรับผู้ที่สนใจลานตะบูน ชาวบ้านบอกว่าช่วงเดือน มีนาคม ถึง เมษายนของทุกปี เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการมาเที่ยวที่นี่ เนื่องจากน้ำจะลดต่ำ ทำให้ดินไม่ชื้นมากและจะเห็นรากของต้นตะบูนเป็นสีขาวชัด) ทางที่ดีควรเช็คกับชาวบ้านก่อนนะครับ ว่าน้ำขึ้น-ลง กี่โมง จะได้ไปไม่เสียเที่ยว
นอกจากลานตะบูนแล้วที่ชุมชนแห่งนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกหลายอย่างให้มาลอง ไม่ว่าจะเป็น ใบโกงกางทอด หรือ ชาร้อยรู หนึ่งในสมุนไพรจากป่าชายเลน ให้ได้ลองกันอีกด้วย
และที่สำคัญที่สุดถ้าคนเรือที่พาเข้าไปใจดีละก็ ท่าก็จะได้ภาพสวยๆ จากปากน้ำแบบนี้ด้วย
เมื่อเสร็จสิ้นจากบ้านท่าระแนะ ผมก็เดินทางต่อไปตามถนนคลองใหญ่ เพื่อไปที่ หาดบานชื่น หาดที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดบนฝั่งในจังหวัดตราด มีหาดทรายสีขาวละเอียด พื้นที่บริเวณนี้ มีร้านอาหารให้บริการมากมาย ถ้าเดินทางโดยรถยนต์จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจากตัวเมือง น่าเสียดายที่ช่วงที่ผมไปเป็นหน้ามรสุม ทำให้น้ำขึ้นสูงจนไม่เห็นหาดทรายสีขาวๆ
ใกล้ๆ กันนั้นยังมีหาดราชการุณย์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทหาร เป็นหาดเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย และอีกหนึ่ง Highlight ของที่นี่เลยคือแมงกระพรุนหลากสี ที่จะปรากฎให้เห็นทุกๆ ปีในช่วงปลายเดือนตุลาคม จนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี แต่ก็น่าเสียดายอีกที่ช่วงที่ผมเป็นนั้นหาดราชการุณย์ถูกปิดเนื่องจากใช้เป็นสถานที่สำหรับกักตัวผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ (ช่วง Covid-19)
หลังจากผิดหวังจากการไม่ได้เห็นชายหาดสีขาวแล้วนั้น ระหว่างทางกลับเข้าเมืองผมก็เกิดความสนใจอยากจะแวะดู รร. แห่งนึงที่ผมสนใจอยากจะพัก แต่ติดที่ว่าจองไม่ทันดันเต็มซะก่อน นั้นก็คือ Centara Chaan Talay Resort ซึ่ง รร. แห่งนี้มีหาดส่วนตัวด้วย จึงตัดสินใจแวะพักที่นี่เพื่อหากาแฟดื่มยามบ่าย และบรรยากาศที่ได้ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะนอกจากห้องอาหารจะเห็นวิวทะเลแล้วนั้น เรายังสามารถเดินลงไปเล่นที่ชายหาดส่วนตัวของ รร. นี้ได้อีกด้วย
หลังจากที่แวะทานอาหารว่างเสร็จแล้วผมและครอบครัวก็พุ่งตรงกลับที่พักเลย เนื่องจากฝนตั้งเค้าอีกแล้ว
วันที่ 3 เดินทางกลับ กรุงเทพฯ
ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ นั้นผมก็ได้แวะเข้าไปในตัวเมืองตราดอีกครั้งเพื่อเยี่ยมชมวัดบุปผาราม เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดตราด และได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมไทยดีเด่น อีกด้วย
หลังจากเยี่ยมชมวัดเสร็จแล้ว ก็กลับเข้ามาในเมือง ใจจริงอยากจะลองกล้วยปึ้งขึ้นชื่อของจังหวัดตราด แต่ติดตรงที่ว่าร้านดันปิดพอดี ชาวบ้านแถวนั้นเลยแนะนำให้ไปลองก๋วยเตี๋ยวปู ที่ร้าน "ก๋วยเตี๋ยวปู สุขมวิท" ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล และต้องขอบอกว่าก๋วยเตี๋ยวปูร้านนี้ ไม่หวงเครื่องใส่ปูมาเน้นๆ รวมถึงยังมีเนื้อปูนึ่งจำหน่ายสำหรับผู้ที่ชื่นชอบทานปูมากๆ อีกด้วย
และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว ระหว่างเดินทางกลับกรุงเทพฯ นั้นช่วงจังหวัดจันทบรีเข้า อ.แกลง จ.ระยอง ผมได้เลี้ยวซ้ายเข้าไปที่ ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต ถนนเรียบชายฝั่งขึ้นชื่อของจังหวัดจันทบุรี และแวะจุดชมวิวที่เนินนางพญา
และก่อนกลับกรุงเทพฯ ผมได้มีโอกาสแวะคาเฟ่ต์แห่งหนึ่งใน อ.แกลง (ซึ่งจริงๆ เห็นตั้งแต่ขามาแล้ว) นั้นก็คือคาเฟ่ต์ MAMA DON'T LIKE ร้านคาเฟ่ต์สีขาวที่ตั้งเด่นอยู่ริมทางใกล้ๆ กับ รพ.แกลง กาแฟที่นี่มีให้เลือกหลายแบบ (แต่อาจจะไม่มากถ้าท่านเป็นสาวกกาแฟจริงๆ) และขนมที่ทางร้านวางขายอยู่เป็นแบบ Homemade ทั้งหมด
และนี่ก็เป็นจุดแวะจุดสุดท้ายก่อนที่ผมจะมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ
ข้อมูลเพิ่มเติม
- ทาง ททท. แนะนำว่าช่วงที่ทะเลตราดสวยที่สุดจะเป็นช่วงหน้าหนาวของประเทศไทย คือตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ ของทุกปีโดยประมาณ
- ถ้าหากอยากข้ามไปเที่ยวเกาะ ททท. แนะนำว่าให้อยู่เกาะประมาณ 2 คืน/เกาะ เพื่อที่จะได้สัมผัสบรรยากาศเต็มอิ่ม
แหล่งท่องเที่ยวแนะนำเพิ่มเติม โดย ททท.
ในตัวเมือง
- พระบรมราชานุสาวรีย์ "เสด็จพ่อ"
- พิพิธภัณฑสถานเมืองตราด
- ชุมชนคลองบางพระ
รอบนอก
- ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว
- ชุมชนบ้านไม้รูด
- สวนสมโภชน์ (สวนสละ ที่เจ้าของดูแลอย่างพิถีพิถัน ททท. การันตีความอร่อย)
และในวันนี้ผมก็ขอสิ้นสุดการบอกเล่าประสบการณ์เพียงเท่านี้ หากมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสามารถบอกได้นะครับ
ตูดหมาน้อย
[CR] ตราด 3 วัน 2 คืน (แบบไม่ข้ามเกาะ)
มาเริ่มที่การเดินทาง - การเดินทางไปจังหวัดตราด จาก กทม. มี 3 วิธีหลักๆ ได้แก่
1. นั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ด้วยสายการบิน Bangkok Airways แต่ต้องเช็คราคา กับวันบินดีๆ นะ เพราะไม่ได้บินทุกวัน
2. นั่งรถโดยสารสาธารณะ จากสถานนีขนส่งสายตะวันออก (เอกมัย) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชม.
3. เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ระยะทางจากกรุงเทพฯ เกือบๆ 400 กม. (ระยะทางขึ้นอยู่กับว่าเลือกใช้เส้นทางไหน ถ้าไปทาง Motorway วิ่งถนนเลี่ยงเมืองตรงไประยองเลยก็จะใกล้หน่อย)
วันที่ 1 เดินทางจาก กรุงเทพฯ - ตราด
สำหรับผมรอบนี้ผมเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว วิ่งเส้น Motorway - ออกตรงเส้นทางไปบ้านบึง - แกลง - จันทบุรี (จากที่ดูใน Google Map เส้นที่ใกล้สุด) ผมออกจากคอนโด (แถวๆ บางนา) ตั้งแต่ตี 5 เผื่อให้ไปถึง จ.ตราด ช่วงกลางวันจะได้ทานข้าวกลางวันที่ตราด พอดี (รีบออกเพราะปกติที่บ้านมักแวะตลอดทาง และวันที่เดินทางเป็นวันหยุดยาว 3 วัน คิดว่าคนน่าจะไปทะเลฝั่งตะวันออกกันเยอะกลัวรถติด)
เมื่อมาถึงตราดผมไม่ได้วิ่งตรงเข้าเมือง แต่เลือกเลี้ยวขวาออกมาทาง ถนนหมายเลข 3156 (ไปสนามบินตราด - แหลมหงอบ) ที่เลือกเส้นทางนี้เพราะว่าจะไป ททท. จ.ตราดเพื่อหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มก่อน
เนื่องจากปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมหาข้อมูลมาก่อนแล้วจากอินเตอร์เน็ต ทำให้ ททท. ปรับเปลี่ยนเวลาทำการจากเปิดให้บริการทุกวัน เป็นวันจันทร์ - ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 9.00 - 16.00 น.
ถัดจาก ททท. ไม่ไกลจะเจอกับประภาคารแหลมหงอบ หนึ่งในจุด Check-in และป้ายสุดแผ่นดินตะวันออก
มาถึงบริเวณนี้ ถ้าใครหิวแล้วหละก็ มีร้านอาหารแนะนำเลยคือร้านอาหารริมทะเลซีฟู๊ด เป็นร้านอาหารและคาเฟ่ต์ติดทะเล กรรเชียงปูนึ่งแกะมาแล้วคือฟินมาก
ถัดจากประภาคารแหลมงอบ ประมาณ 500 เมตร จะพบกับ อนุสรณ์สถานยุทธาวีที่เกาะช้าง ให้ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์การสู้รบทางทะเลในช่วง ร.ศ.112 หรือช่วงปี พ.ศ. 2484
ทางกลับเข้าเมืองจากประภาคารแหลมงอบประมาณ 2 ก.ม. จะเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดตราด นั้นก็คือหาดทรายดำ (หาดทรายดำนี้เป็น 1 ใน 5 หาดทรายดำทั่วโลก และที่นี่เป็นหาดทรายดำแห่งเดียวในประเทศไทย)
น่าเสียดายที่ช่วงเวลาที่มานั้นเป็นช่วงบ่าย และเป็นช่วงมรสุมจึงทำให้น้ำสูงกว่าปกติ ส่งผลให้เห็นหาดทรายดำเพียงพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น (สำหรับผู้ที่สนใจหาดทรายดำ ทาง ททท. แนะนำให้มาช่วงสายๆ นะครับ เพราะเป็นช่วงที่น้ำลงพอดี) ทางเดินจากต้นทางไปวนกลับออกมาจากหาดทรายดำจะใช้เวลาประมาณ 45 นาทีนะครับ
หลังจากที่เดินเล่นแถวหาดทรายดำจบแล้ว ผมก็มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง เพื่อสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองของจังหวัดตราด
เสาหลักเมืองจังหวัดตราดนั้น อาจจะดูแปลกตา เมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นๆ เนื่องจากเสาหลักของจังหวัดตราดนั้นตั้งอยู่ในศาลจีน การสักการะเสาหลังเมืองของตราดนั้นก็จะมีพิธีที่แตกต่างไปจากปกติ คือจะต้องทำพิธีตามหลักของจีน ใครที่ทำไม่เป็นไม่ต้องกังวลครับ ด้านในมีวิธีสักการะเขียนอธิบายอยู่
เมื่อเสร็จจากการสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองแล้วผมก็มุ่งหน้าสู่ที่พัก ซึ่งในครั้งนี้ผมเลือกที่พักเป็น บ้านปูรีสอร์ท หนึ่งในที่พักขึ้นชื่อสำหรับผู้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดตราด
วันที่ 2 ชุมชนบ้านท่าระแนะ - เส้นทางสู่อำเภอคลองใหญ่
เช้าวันที่ 2 หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกเดินทางไปที่ชุมชนบ้านท่าระแนะ ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักไม่ไกล เพียง 3 ก.ม. สิ่งที่พิเศษสำหรับบ้านท่าระแนะนั้น คือการนั่งเรือเข้าไปชมลานตะบูน หนึ่งใน Unseen ต้องห้ามพลาดของจังหวัดตราด ที่มีรากของต้นตะบูนสานต่อกันจนสามารถขึ้นไปเดินเล่นถ่ายรูปได้
จากที่เห็นรากของต้นตะบูนมีสีค่อนข้างเข้มเนื่องจากช่วงที่ผมไปมีฝนตกมาก และเป็นช่วงที่น้ำขึ้นสูง ทำให้ในช่วงบ่ายๆ ของทุกวันพื้นที่บริเวณนี้จะมีน้ำท่วมขัง ส่งผลให้มีความชื้นสูง (สำหรับผู้ที่สนใจลานตะบูน ชาวบ้านบอกว่าช่วงเดือน มีนาคม ถึง เมษายนของทุกปี เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการมาเที่ยวที่นี่ เนื่องจากน้ำจะลดต่ำ ทำให้ดินไม่ชื้นมากและจะเห็นรากของต้นตะบูนเป็นสีขาวชัด) ทางที่ดีควรเช็คกับชาวบ้านก่อนนะครับ ว่าน้ำขึ้น-ลง กี่โมง จะได้ไปไม่เสียเที่ยว
นอกจากลานตะบูนแล้วที่ชุมชนแห่งนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกหลายอย่างให้มาลอง ไม่ว่าจะเป็น ใบโกงกางทอด หรือ ชาร้อยรู หนึ่งในสมุนไพรจากป่าชายเลน ให้ได้ลองกันอีกด้วย
และที่สำคัญที่สุดถ้าคนเรือที่พาเข้าไปใจดีละก็ ท่าก็จะได้ภาพสวยๆ จากปากน้ำแบบนี้ด้วย
เมื่อเสร็จสิ้นจากบ้านท่าระแนะ ผมก็เดินทางต่อไปตามถนนคลองใหญ่ เพื่อไปที่ หาดบานชื่น หาดที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดบนฝั่งในจังหวัดตราด มีหาดทรายสีขาวละเอียด พื้นที่บริเวณนี้ มีร้านอาหารให้บริการมากมาย ถ้าเดินทางโดยรถยนต์จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจากตัวเมือง น่าเสียดายที่ช่วงที่ผมไปเป็นหน้ามรสุม ทำให้น้ำขึ้นสูงจนไม่เห็นหาดทรายสีขาวๆ
ใกล้ๆ กันนั้นยังมีหาดราชการุณย์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทหาร เป็นหาดเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย และอีกหนึ่ง Highlight ของที่นี่เลยคือแมงกระพรุนหลากสี ที่จะปรากฎให้เห็นทุกๆ ปีในช่วงปลายเดือนตุลาคม จนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี แต่ก็น่าเสียดายอีกที่ช่วงที่ผมเป็นนั้นหาดราชการุณย์ถูกปิดเนื่องจากใช้เป็นสถานที่สำหรับกักตัวผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ (ช่วง Covid-19)
หลังจากผิดหวังจากการไม่ได้เห็นชายหาดสีขาวแล้วนั้น ระหว่างทางกลับเข้าเมืองผมก็เกิดความสนใจอยากจะแวะดู รร. แห่งนึงที่ผมสนใจอยากจะพัก แต่ติดที่ว่าจองไม่ทันดันเต็มซะก่อน นั้นก็คือ Centara Chaan Talay Resort ซึ่ง รร. แห่งนี้มีหาดส่วนตัวด้วย จึงตัดสินใจแวะพักที่นี่เพื่อหากาแฟดื่มยามบ่าย และบรรยากาศที่ได้ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะนอกจากห้องอาหารจะเห็นวิวทะเลแล้วนั้น เรายังสามารถเดินลงไปเล่นที่ชายหาดส่วนตัวของ รร. นี้ได้อีกด้วย
หลังจากที่แวะทานอาหารว่างเสร็จแล้วผมและครอบครัวก็พุ่งตรงกลับที่พักเลย เนื่องจากฝนตั้งเค้าอีกแล้ว
วันที่ 3 เดินทางกลับ กรุงเทพฯ
ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ นั้นผมก็ได้แวะเข้าไปในตัวเมืองตราดอีกครั้งเพื่อเยี่ยมชมวัดบุปผาราม เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดตราด และได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมไทยดีเด่น อีกด้วย
หลังจากเยี่ยมชมวัดเสร็จแล้ว ก็กลับเข้ามาในเมือง ใจจริงอยากจะลองกล้วยปึ้งขึ้นชื่อของจังหวัดตราด แต่ติดตรงที่ว่าร้านดันปิดพอดี ชาวบ้านแถวนั้นเลยแนะนำให้ไปลองก๋วยเตี๋ยวปู ที่ร้าน "ก๋วยเตี๋ยวปู สุขมวิท" ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล และต้องขอบอกว่าก๋วยเตี๋ยวปูร้านนี้ ไม่หวงเครื่องใส่ปูมาเน้นๆ รวมถึงยังมีเนื้อปูนึ่งจำหน่ายสำหรับผู้ที่ชื่นชอบทานปูมากๆ อีกด้วย
และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว ระหว่างเดินทางกลับกรุงเทพฯ นั้นช่วงจังหวัดจันทบรีเข้า อ.แกลง จ.ระยอง ผมได้เลี้ยวซ้ายเข้าไปที่ ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต ถนนเรียบชายฝั่งขึ้นชื่อของจังหวัดจันทบุรี และแวะจุดชมวิวที่เนินนางพญา
และก่อนกลับกรุงเทพฯ ผมได้มีโอกาสแวะคาเฟ่ต์แห่งหนึ่งใน อ.แกลง (ซึ่งจริงๆ เห็นตั้งแต่ขามาแล้ว) นั้นก็คือคาเฟ่ต์ MAMA DON'T LIKE ร้านคาเฟ่ต์สีขาวที่ตั้งเด่นอยู่ริมทางใกล้ๆ กับ รพ.แกลง กาแฟที่นี่มีให้เลือกหลายแบบ (แต่อาจจะไม่มากถ้าท่านเป็นสาวกกาแฟจริงๆ) และขนมที่ทางร้านวางขายอยู่เป็นแบบ Homemade ทั้งหมด
และนี่ก็เป็นจุดแวะจุดสุดท้ายก่อนที่ผมจะมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ
ข้อมูลเพิ่มเติม
- ทาง ททท. แนะนำว่าช่วงที่ทะเลตราดสวยที่สุดจะเป็นช่วงหน้าหนาวของประเทศไทย คือตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ ของทุกปีโดยประมาณ
- ถ้าหากอยากข้ามไปเที่ยวเกาะ ททท. แนะนำว่าให้อยู่เกาะประมาณ 2 คืน/เกาะ เพื่อที่จะได้สัมผัสบรรยากาศเต็มอิ่ม
แหล่งท่องเที่ยวแนะนำเพิ่มเติม โดย ททท.
ในตัวเมือง
- พระบรมราชานุสาวรีย์ "เสด็จพ่อ"
- พิพิธภัณฑสถานเมืองตราด
- ชุมชนคลองบางพระ
รอบนอก
- ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว
- ชุมชนบ้านไม้รูด
- สวนสมโภชน์ (สวนสละ ที่เจ้าของดูแลอย่างพิถีพิถัน ททท. การันตีความอร่อย)
และในวันนี้ผมก็ขอสิ้นสุดการบอกเล่าประสบการณ์เพียงเท่านี้ หากมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสามารถบอกได้นะครับ
ตูดหมาน้อย
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้