หลายๆท่านที่ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ระบบนิรายนะไม่ว่าจะสายไทย,สายภารตะหรือสายลูกผสมภารตะ-สากล มักจะคุ้นชินกับเรื่องดวงตรียางค์จักรและนวางค์จักรอยู่เสมอ เพราะดวงทั้งสองนี้เรามักเห็นปรากฎในตำราโหรเล่มต่างๆซึ่งจะผูกไว้ข้างเคียงกับดวงราศีจักรเป็นเสมอ ซึ่งหลายท่านอาจจะไม่ทราบว่าผูกมาเพื่ออะไรและผูกไว้ทำอะไร วันนี้ผมเลยจะมาขยายความอธิบายถึงเทคนิควิธีการใช้ดวงตรียางค์จักรและนวางค์จักรแบบที่หลายๆคนอาจจะไม่รู้มาก่อน ให้สมาชิกทุกท่านได้นำไปใช้พอสังเขปครับ
ตรียางค์จักรและนวางค์จักร เป็นดวงชะตาชนิดหนึ่งที่เกิดจากการขับสมผุสดาวเข้าครองวรรคต่างๆแล้วเกิดเป็นดวงชะตารูปแบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งตรียางค์และนวางค์เป็นการแบ่งวรรครูปแบบหนึ่งใน ๑๖ วรรค(โษฑวรรค)ของโหราศาสตร์ภารตะ โดยตรียางค์จะแบ่งวรรคออกเป็น ๓ ส่วนในราศี ระยะส่วนละ ๑๐ องศา แล้วให้ดาวเคราะห์เข้าครองตามลำดับคุณะของธาตุเดียวกัน ส่วนนวางค์แบ่งวรรคออกเป็น ๙ ส่วนในราศี ระยะส่วนละ ๓ องศา ๒๐ ลิปดา แล้วให้ดาวเคราะห์เข้าครองตามลำดับเกษตรราศีไปเรื่อยๆ โดยมีพระเคราะห์แม่ธาตุของทุกราศีกำกับตรงจุดเริ่มต้นเสมอ(ราศีธาตุไฟ ขึ้นต้นนวางค์ด้วยดาวอังคาร(เมษ), ราศีธาตุดินขึ้นต้นนวางค์ที่ดาวเสาร์(มกร), ราศีธาตุลมขึ้นต้นนวางค์ที่ดาวศุกร์(ตุลย์) และราศีธาตุน้ำขึ้นต้นนวางค์ด้วยจันทร์(กรกฎ))
เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้วเวลาที่เราจะทำดวงตรียางค์จักรและนวางค์จักร เราก็คิดสมผุสของดาวเคราะห์ทุกดวงและลัคนาให้เสร็จสิ้น จากนั้นนำไปเทียบวรรคตรียางค์และนวางค์ดู เราก็จะได้ดวงชะตาขึ้นมาใหม่อีกสองดวง คือ ดวงตรียางค์จักร(ราศีจักรขับดาวเข้าตรียางค์) และดวงนวางค์จักร(ราศีจักรขับดาวเข้านวางค์) ซึ่งหลายท่านคงคุ้นเคยกับดวงชะตาทั้งสองแบบนี้เป็นอย่างดีแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะไม่รู้แนวทางการใช้ดวงทั้งสองแบบนี้ หรือไปรับรู้วิธีการใช้ดวงสองแบบนี้มาบ้างแต่ยังไม่ลึกซึ้ง ซึ่งผมจะอรรถาธิบายวิธีการใช้ตามแบบฉบับโหรภารตะดั้งเดิมไว้ดังต่อไปนี้
ดวงตรียางค์ หรือทาเรกะณะ ตามคัมภีร์โหราศาสตร์ภารตะดั้งเดิมท่านไว้ใช้ดูถึงความตายและภพภูมิหลังความตาย ซึ่งดวงตรียางค์นี้โหรไทยบางสำนักบอกว่าให้ใช้ดูคนที่อายุเกิน ๕๐ ปีขึ้นไป(ปัจฉิมวัย)ซึ่งก็ค่อนข้างสอดคล้องกับหลักของภารตะ แต่วิธีการใช้และพิจารณาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยวิธีการดูท่านให้พินิจถึงภพมรณะและอริของดวงตรียางค์ว่ามีดาวใดสถิตย์อยู่บ้าง ถ้าไม่มีดาวให้ดูว่าเจ้าเรือนภพอริและมรณะเป็นดาวอะไรให้ทายไปตามนี้คือ ถ้าดาวพฤหัสบดีสถิตย์อยู่ท่านว่าตายไปจะจุติที่เทวโลก, ถ้าดาวจันทร์หรือดาวศุกร์จะไปจุติที่วิญญาณโลก, ถ้าดาวอาทิตย์หรือดาวอังคารจะไปจุติที่สัตว์โลก และถ้าดาวเสาร์หรือดาวพุธจะไปจุติที่นรก ส่วนบุคคลที่ตายไปแล้วไปสู่นิพพานจะมีดาวพฤหัสสถิตอยู่ในภพที่ ๑, ๔, ๗ หรือภพที่ ๑๐ จากลัคนาของดวงตรียางค์
ส่วนการใช้ตรียางค์ดูเหตุแห่งความตายนั้น ท่านว่าให้พิจารณาดาวเจ้าเรือนภพมรณะของดวงตรียางค์จักร เพราะดาวนี้จะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เจ้าชะตาตาย ซึ่งดาวเจ้าเรือนมรณะของดวงตรียางค์ ก็คือดาวที่ครองตรียางค์ที่ ๒๒ จากลัคนานั้นเอง ท่านว่าถ้าดาวบาปเคราะห์อยู่ในภพที่ ๘ จากลัคนาของดวงตรียางค์จักร เจ้าชะตาจะตายอย่างทรมาน แต่ถ้าเป็นศุภเคราะห์สถิตย์อยู่เจ้าชะตาจะตายอย่างสงบ นอกจากนี้ท่านให้พิจารณาว่าในภพมณะของดวงตรียางค์มีดาวอะไรสถิตย์อยู่บ้าง(ไม่มีดาวใช้เจ้าเรือนแทน)ให้พยากรณ์ตามนี้ ถ้าดาวอาทิตย์สถิตย์อยู่เจ้าชะตาจะตายเพราะไฟ, ถ้าดาวจันทร์เจ้าชะตาจะตายเพราะน้ำ, ถ้าดาวอังคารเจ้าชะตาจะตายเพราะอาวุธ, ถ้าดาวพุธเจ้าชะตาจะตายเพราะเป็นไข้, ถ้าดาวพฤหัสบดีเจ้าชะตาจะตายเพราะโรคเกี่ยวกับลำไส้ตับ, ถ้าดาวศุกร์เจ้าชะตาจะตายเพราะอดน้ำ, ถ้าดาวเสาร์เจ้าชะตาจะตายเพราะขาดอาหาร และนอกจากนี้ยังระบุอีกว่าถ้าภพมรณะจากลัคนาของดวงตรียางค์จักรเป็นจรราศีเจ้าชะตาจะตายในต่างถิ่น, ถ้าเป็นสถิรราศีเจ้าชะตาจะตายในถิ่นของตัวเอง และถ้าเป็นอุภัยราศีเจ้าชะตาจะตายกลางถนน
นอกจากนี้ยังมีเกร็ดอีกว่าถ้าดาวเจ้าตรียางค์ที่ ๒๒ จากลัคนา(เจ้าเรือนมรณะของดวงตรียางค์จักร)ติดลูกพิษ เจ้าชะตาจะตายโหง ฆ่าตัวตาย หรือตายด้วยพิษยาต่างๆ และถ้าดาวเสาร์โคจรไปทับดาวเจ้าเรือนมรณะของดวงตรียางค์จักร ช่วงนั้นเจ้าชะตาต้องระวังความตายไว้ให้มากเลยทีเดียว
ซึ่งนี่ก็คือเกร็ดการใช้ดวงตรียางค์จักรที่หลายๆท่านอาจจะไม่ทราบว่าโหราจารย์ท่านผูกไว้คู่เคียงข้างดวงราศีจักรทำไม ท่านที่อ่านแล้วก็ลองนำไปใช้ประยุกต์ดูน่าจะเกิดประโยชน์อย่างสูง และในลำดับต่อไปจะว่าด้วยเรื่องของดวงนวางค์ต่อกันเลย
ดวงนวางค์จักร ถือว่าเป็นดวงวรรคพันธ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดในโษฑวรรคของวิชาโหราศาสตร์ระบบนิรายนะ เพราะเป็นดวงที่ใช้ตรวจคุณภาพของดาวเคราะห์ได้อย่างแท้จริง โดยเมื่อเราดูดวงในราศีจักรแล้วหากพบว่ามีดาวใดได้มาตรฐานเกษตร อุจ ปรเกษตร นิจ จริงแท้หรือไม่ ท่านให้เอาดวงนวางค์จักรตัดสินเสมอ เพราะบางทีผลที่ว่าดีในราศีจักรอาจจะร้ายในนวางค์ได้ และในทางกลับกันผลที่ว่าร้ายในราศีจักรอาจจะดีในนวางค์จักรได้เช่นกัน ดังนั้นท่านจึงให้ตรวจคุณภาพดาวจากนวางค์จักรเสมอ
สมมติว่าเจ้าชะตาคนหนึ่งมีอาทิตย์ที่ราศีตุลย์เป็นนิจ แต่ทว่าเกาะองศา ๒๐ กว่าๆขึ้นไป อยู่ในนวางค์จักรราศีเมษ ดาวอาทิตย์นี่อาจจะให้คุณเป็นอุจและบรรดาผลดีก็เป็นได้ แต่ในทางกลับกันเราเห็นพฤหัสบดีในราศีกรกฎเป็นอุจ แต่อยู่ ๒๐ องศากว่าๆ ในนวางค์จักรอยู่ราศีมกร ก็ไม่อาจจะอนุมานได้ว่าดาวพฤหัสบดีในราศีกรกฎนี้เป็นอุจได้แท้จริง หรือบางกรณีเห็นเสาร์อยู่ราศีเมษเป็นนิจ และในนวางค์จักรก็อยู่ราศีเมษเป็นนิจอีก แบบนี้เสาร์เป็นอตินิจ ไม่ให้ผลอะไรแก่ดวงชะตาเลยก็ว่าได้
ดังนั้นในการพิจารณาคุณภาพสูงต่ำของดาวเคราะห์ โหรภารตะท่านจะให้พิจารณาราศีจักรควบคู่กับนวางค์จักรเสมอ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันความดีจริงเลวจริงของดาวเคราะห์ต่างๆอย่างชัดเจน นอกจากนี้โหรภารตะนิยมใช้ดวงนวางค์จักรดูเรื่องคู่ครองของเจ้าชะตาอีกด้วย โดยพิจารณาตามคุณสมบัติของภพปัตนิในดวงนวางค์จักรแล้วพยากรณ์ไปตามมูลฐานที่ปรากฎในดวงชะตานั้นเอง
ใครมีประสบการในเรื่องเหล่านี้นำมาแชร์กันได้ครับ
หิมาลัย
การใช้ตรียางค์จักรและนวางค์จักรในการตรวจดวงชะตา
ตรียางค์จักรและนวางค์จักร เป็นดวงชะตาชนิดหนึ่งที่เกิดจากการขับสมผุสดาวเข้าครองวรรคต่างๆแล้วเกิดเป็นดวงชะตารูปแบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งตรียางค์และนวางค์เป็นการแบ่งวรรครูปแบบหนึ่งใน ๑๖ วรรค(โษฑวรรค)ของโหราศาสตร์ภารตะ โดยตรียางค์จะแบ่งวรรคออกเป็น ๓ ส่วนในราศี ระยะส่วนละ ๑๐ องศา แล้วให้ดาวเคราะห์เข้าครองตามลำดับคุณะของธาตุเดียวกัน ส่วนนวางค์แบ่งวรรคออกเป็น ๙ ส่วนในราศี ระยะส่วนละ ๓ องศา ๒๐ ลิปดา แล้วให้ดาวเคราะห์เข้าครองตามลำดับเกษตรราศีไปเรื่อยๆ โดยมีพระเคราะห์แม่ธาตุของทุกราศีกำกับตรงจุดเริ่มต้นเสมอ(ราศีธาตุไฟ ขึ้นต้นนวางค์ด้วยดาวอังคาร(เมษ), ราศีธาตุดินขึ้นต้นนวางค์ที่ดาวเสาร์(มกร), ราศีธาตุลมขึ้นต้นนวางค์ที่ดาวศุกร์(ตุลย์) และราศีธาตุน้ำขึ้นต้นนวางค์ด้วยจันทร์(กรกฎ))
เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้วเวลาที่เราจะทำดวงตรียางค์จักรและนวางค์จักร เราก็คิดสมผุสของดาวเคราะห์ทุกดวงและลัคนาให้เสร็จสิ้น จากนั้นนำไปเทียบวรรคตรียางค์และนวางค์ดู เราก็จะได้ดวงชะตาขึ้นมาใหม่อีกสองดวง คือ ดวงตรียางค์จักร(ราศีจักรขับดาวเข้าตรียางค์) และดวงนวางค์จักร(ราศีจักรขับดาวเข้านวางค์) ซึ่งหลายท่านคงคุ้นเคยกับดวงชะตาทั้งสองแบบนี้เป็นอย่างดีแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะไม่รู้แนวทางการใช้ดวงทั้งสองแบบนี้ หรือไปรับรู้วิธีการใช้ดวงสองแบบนี้มาบ้างแต่ยังไม่ลึกซึ้ง ซึ่งผมจะอรรถาธิบายวิธีการใช้ตามแบบฉบับโหรภารตะดั้งเดิมไว้ดังต่อไปนี้
ดวงตรียางค์ หรือทาเรกะณะ ตามคัมภีร์โหราศาสตร์ภารตะดั้งเดิมท่านไว้ใช้ดูถึงความตายและภพภูมิหลังความตาย ซึ่งดวงตรียางค์นี้โหรไทยบางสำนักบอกว่าให้ใช้ดูคนที่อายุเกิน ๕๐ ปีขึ้นไป(ปัจฉิมวัย)ซึ่งก็ค่อนข้างสอดคล้องกับหลักของภารตะ แต่วิธีการใช้และพิจารณาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยวิธีการดูท่านให้พินิจถึงภพมรณะและอริของดวงตรียางค์ว่ามีดาวใดสถิตย์อยู่บ้าง ถ้าไม่มีดาวให้ดูว่าเจ้าเรือนภพอริและมรณะเป็นดาวอะไรให้ทายไปตามนี้คือ ถ้าดาวพฤหัสบดีสถิตย์อยู่ท่านว่าตายไปจะจุติที่เทวโลก, ถ้าดาวจันทร์หรือดาวศุกร์จะไปจุติที่วิญญาณโลก, ถ้าดาวอาทิตย์หรือดาวอังคารจะไปจุติที่สัตว์โลก และถ้าดาวเสาร์หรือดาวพุธจะไปจุติที่นรก ส่วนบุคคลที่ตายไปแล้วไปสู่นิพพานจะมีดาวพฤหัสสถิตอยู่ในภพที่ ๑, ๔, ๗ หรือภพที่ ๑๐ จากลัคนาของดวงตรียางค์
ส่วนการใช้ตรียางค์ดูเหตุแห่งความตายนั้น ท่านว่าให้พิจารณาดาวเจ้าเรือนภพมรณะของดวงตรียางค์จักร เพราะดาวนี้จะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เจ้าชะตาตาย ซึ่งดาวเจ้าเรือนมรณะของดวงตรียางค์ ก็คือดาวที่ครองตรียางค์ที่ ๒๒ จากลัคนานั้นเอง ท่านว่าถ้าดาวบาปเคราะห์อยู่ในภพที่ ๘ จากลัคนาของดวงตรียางค์จักร เจ้าชะตาจะตายอย่างทรมาน แต่ถ้าเป็นศุภเคราะห์สถิตย์อยู่เจ้าชะตาจะตายอย่างสงบ นอกจากนี้ท่านให้พิจารณาว่าในภพมณะของดวงตรียางค์มีดาวอะไรสถิตย์อยู่บ้าง(ไม่มีดาวใช้เจ้าเรือนแทน)ให้พยากรณ์ตามนี้ ถ้าดาวอาทิตย์สถิตย์อยู่เจ้าชะตาจะตายเพราะไฟ, ถ้าดาวจันทร์เจ้าชะตาจะตายเพราะน้ำ, ถ้าดาวอังคารเจ้าชะตาจะตายเพราะอาวุธ, ถ้าดาวพุธเจ้าชะตาจะตายเพราะเป็นไข้, ถ้าดาวพฤหัสบดีเจ้าชะตาจะตายเพราะโรคเกี่ยวกับลำไส้ตับ, ถ้าดาวศุกร์เจ้าชะตาจะตายเพราะอดน้ำ, ถ้าดาวเสาร์เจ้าชะตาจะตายเพราะขาดอาหาร และนอกจากนี้ยังระบุอีกว่าถ้าภพมรณะจากลัคนาของดวงตรียางค์จักรเป็นจรราศีเจ้าชะตาจะตายในต่างถิ่น, ถ้าเป็นสถิรราศีเจ้าชะตาจะตายในถิ่นของตัวเอง และถ้าเป็นอุภัยราศีเจ้าชะตาจะตายกลางถนน
นอกจากนี้ยังมีเกร็ดอีกว่าถ้าดาวเจ้าตรียางค์ที่ ๒๒ จากลัคนา(เจ้าเรือนมรณะของดวงตรียางค์จักร)ติดลูกพิษ เจ้าชะตาจะตายโหง ฆ่าตัวตาย หรือตายด้วยพิษยาต่างๆ และถ้าดาวเสาร์โคจรไปทับดาวเจ้าเรือนมรณะของดวงตรียางค์จักร ช่วงนั้นเจ้าชะตาต้องระวังความตายไว้ให้มากเลยทีเดียว
ซึ่งนี่ก็คือเกร็ดการใช้ดวงตรียางค์จักรที่หลายๆท่านอาจจะไม่ทราบว่าโหราจารย์ท่านผูกไว้คู่เคียงข้างดวงราศีจักรทำไม ท่านที่อ่านแล้วก็ลองนำไปใช้ประยุกต์ดูน่าจะเกิดประโยชน์อย่างสูง และในลำดับต่อไปจะว่าด้วยเรื่องของดวงนวางค์ต่อกันเลย
ดวงนวางค์จักร ถือว่าเป็นดวงวรรคพันธ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดในโษฑวรรคของวิชาโหราศาสตร์ระบบนิรายนะ เพราะเป็นดวงที่ใช้ตรวจคุณภาพของดาวเคราะห์ได้อย่างแท้จริง โดยเมื่อเราดูดวงในราศีจักรแล้วหากพบว่ามีดาวใดได้มาตรฐานเกษตร อุจ ปรเกษตร นิจ จริงแท้หรือไม่ ท่านให้เอาดวงนวางค์จักรตัดสินเสมอ เพราะบางทีผลที่ว่าดีในราศีจักรอาจจะร้ายในนวางค์ได้ และในทางกลับกันผลที่ว่าร้ายในราศีจักรอาจจะดีในนวางค์จักรได้เช่นกัน ดังนั้นท่านจึงให้ตรวจคุณภาพดาวจากนวางค์จักรเสมอ
สมมติว่าเจ้าชะตาคนหนึ่งมีอาทิตย์ที่ราศีตุลย์เป็นนิจ แต่ทว่าเกาะองศา ๒๐ กว่าๆขึ้นไป อยู่ในนวางค์จักรราศีเมษ ดาวอาทิตย์นี่อาจจะให้คุณเป็นอุจและบรรดาผลดีก็เป็นได้ แต่ในทางกลับกันเราเห็นพฤหัสบดีในราศีกรกฎเป็นอุจ แต่อยู่ ๒๐ องศากว่าๆ ในนวางค์จักรอยู่ราศีมกร ก็ไม่อาจจะอนุมานได้ว่าดาวพฤหัสบดีในราศีกรกฎนี้เป็นอุจได้แท้จริง หรือบางกรณีเห็นเสาร์อยู่ราศีเมษเป็นนิจ และในนวางค์จักรก็อยู่ราศีเมษเป็นนิจอีก แบบนี้เสาร์เป็นอตินิจ ไม่ให้ผลอะไรแก่ดวงชะตาเลยก็ว่าได้
ดังนั้นในการพิจารณาคุณภาพสูงต่ำของดาวเคราะห์ โหรภารตะท่านจะให้พิจารณาราศีจักรควบคู่กับนวางค์จักรเสมอ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันความดีจริงเลวจริงของดาวเคราะห์ต่างๆอย่างชัดเจน นอกจากนี้โหรภารตะนิยมใช้ดวงนวางค์จักรดูเรื่องคู่ครองของเจ้าชะตาอีกด้วย โดยพิจารณาตามคุณสมบัติของภพปัตนิในดวงนวางค์จักรแล้วพยากรณ์ไปตามมูลฐานที่ปรากฎในดวงชะตานั้นเอง
ใครมีประสบการในเรื่องเหล่านี้นำมาแชร์กันได้ครับ
หิมาลัย